ตลาดหลักทรัพย์คึกคักร่วมงาน “สานพลังเอกชนเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก” BOI หนุนภาคธุรกิจพัฒนาชุมชนลดความเหลื่อมล้ำ-สร้างความเข้มแข็ง

ผู้เข้าร่วมงาน “สานพลังเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานราก” ที่ตลาดหลักทรัพย์ (1 มีนาคม)

ตลาดหลักทรัพย์ / BOI-ก.ล.ต.-ภาคธุรกิจ-พอช. ร่วมจัดงาน “สานพลังเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมจากฐานรากสู่ความยั่งยืน” (Multilateral Collaboration for Sustainability) เชื่อมประสานพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจากฐานรากสู่ความยั่งยืน และสร้างความเข้าใจมาตรการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนและสังคมภายใต้การสนับสนุนจาก BOI  ที่จะยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 200% ของเงินลงทุนให้แก่ภาคเอกชนที่จะสนับสนุนการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ  สร้างความเข้มแข็งชุมชน

วันนี้ (1 มีนาคม) ระหว่างเวลา 13.00-16.30 น. ที่หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ มีการจัดงาน “สานพลังเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมจากฐานรากสู่ความยั่งยืน” (Multilateral Collaboration for Sustainability) ร่วมจัดโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (THAI LCA) สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม (สวส.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมประสานพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจากฐานรากสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ รวมถึงเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนและสังคมภายใต้การสนับสนุนจาก BOI  โดยมีผู้บริหารบริษัทต่างๆ เข้าร่วมงานกว่า 350 คน เช่น บริษัทมิตรผล  โตโยต้า คูโบต้า ฯลฯ และมีผู้แทนชุมชนจำนวน 14 ชุมชนจากเครือข่ายการพัฒนาที่อยู่อาศัย  การพัฒนาเศรษฐกิจและทุนชุมชน  และเครือข่ายป่าชุมชนจากภูมิภาคต่างๆ ร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

สานพลังเอกชนหนุนชุมชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานราก

ศ.ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า ก.ล.ต. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนไทย มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนและสังคม  ตลอดจนส่งเสริมความเสมอภาคและความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อความยั่งยืน  ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายด้านตลาดทุนที่สำคัญของ ก.ล.ต.  ที่สอดรับตามแผนยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายภาครัฐ ในการลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยให้เกิดการจ้างงาน และมีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง โดยพัฒนาเกณฑ์ผลิตภัณฑ์ และเครื่องมือทางการเงินเพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ให้ภาครัฐและเอกชนมีเครื่องมือระดมทุนในโครงการที่มุ่งเน้นความยั่งยืน

ตลอดจนส่งเสริมให้ภาคธุรกิจซึ่งเป็นภาคีสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนผนวกแนวคิดเรื่อง ESG และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เข้าไปในกระบวนการดำเนินธุรกิจของบริษัทตลอดห่วงโซ่คุณค่า (value chain) และสามารถเปิดเผยข้อมูลให้ได้ตามมาตรฐานสากล อันจะช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมจากฐานรากสู่ความยั่งยืน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญต่อเสถียรภาพ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่โดยรวมของคนในประเทศเพื่อที่ทุกคนจะก้าวเดินไปด้วยกันอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ  มุ่งส่งเสริมความยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตอย่างสมดุลทั้งภาคธุรกิจและสังคม ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่ได้เห็นความร่วมมือจากภาครัฐ และภาคเอกชน ประสานพลังความร่วมมือขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ รวมถึงเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนและสังคม ภายใต้การสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อันจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทจดทะเบียนไทย ชุมชน และหน่วยงานเพื่อสังคม ซึ่งสอดคล้องกับแผนงานของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่กำลังก้าวสู่ปีที่ 50 ในการพัฒนาตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนภายใต้วิสัยทัศน์  “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone”  พร้อมส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของทุกภาคส่วน เพื่อให้ตลาดทุนเป็นพื้นที่สำหรับอนาคตของทุกคน

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า  จากกระแสของโลกและกระแสของการลงทุนที่เปลี่ยนไป เมื่อมาประกอบกับจุดแข็งของประเทศไทย บีโอไอจึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนโดยมุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศในระยะยาว หรือยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) โดยบีโอไอได้วางเป้าหมายให้บรรลุผล 3 ด้าน ได้แก่ (1) Innovative เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ (2) Competitive เป็นเศรษฐกิจที่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน สามารถปรับตัวเร็ว และสร้างการเติบโตสูง (3) Inclusive เป็นเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งการสร้างโอกาส และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ

โดยมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมของบีโอไอถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนแบบมีส่วนร่วมระหว่างภาคเอกชนกับชุมชน อันจะช่วยสร้างโอกาส และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ โดยให้สิทธิและประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 200% ของเงินลงทุนที่ภาคเอกชนสนับสนุนองค์กรท้องถิ่น เพื่อเป็นเครื่องมือผลักดันให้บริษัทเอกชนที่มีศักยภาพมีบทบาทในการช่วยพัฒนาชุมชนและสังคมให้มากยิ่งขึ้น

ผู้แทนภาคเอกชนที่ร่วมเวทีอภิปรายและเสวนา

นำจุดแข็งด้าน ‘การตลาด’ ของภาคเอกชนช่วยสร้างชุมชนเข้มแข็ง

ดร.กอบศักดิ์  ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย อุปนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กล่าวในประเด็นการร่วมกันสานพลังเอกชนเพื่อช่วยกันลดความเหลื่อมล้ำว่า  เนื่องจากการพัฒนาของประเทศไทยมีปัญหา ยิ่งพัฒนาไปมีแต่ความอ่อนแอ มีแต่ความเหลื่อมล้ำ  โดยเชื่อว่าต้องสร้างหัวรถจักรก่อน ตามแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ ทำให้เกิดการสร้างเมืองหลวง นำไปสู่ปัญหาชุมชนแออัด โดย กทม.มีชุมชนเมืองที่แออัดกว่า 30% มีการทำลายป่า ทำลายแหล่งน้ำ จนนำไปสู่การเดินขบวนเรียกร้องในประเด็นของความเหลื่อมล้ำ  ถ้ามาจัดการปัญหาความเหลื่อล้ำตอนที่มีปัญหา มีหนี้แล้ว จะยิ่งทำให้การออกจากปัญหาจะยากยิ่งกว่าเดิม

ดร.กอบศักดิ์  ภูตระกูล

“ทำไมต้องสานพลัง  โดยเฉพาะภาคเอกชน หลายบริษัทได้มีการช่วยเหลือชุมชน ทำการบริจาค โดยเฉพาะในบริษัทใหญ่ก็ทำ CSR   ถ้าบริษัทเอกชนที่ทำการบริจาคก็จะมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท และจะสามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาได้อย่างไร เช่น ขยะ น้ำ สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญภาคเอกชน มีความเข้าใจ ‘ตลาด’  เพราะตลาด คือจุดแข็งของภาคเอกชนที่จะเป็นสะพานเชื่อมชุมชนให้เกิดการพัฒนาไปด้วยกันกับระบบตลาดได้  จะทำให้ชุมชนมีรายได้อย่างยั่งยืนและจะสามารถมีรายได้เลี้ยงตัวเองได้  ภาครัฐถ้าเป็นผู้นำชุมชนเข้าสู่ตลาดอาจไม่ประสบความสำเร็จ จึงต้องให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการพาเข้าสู่ระบบตลาด หาพื้นที่ หาตลาดให้  ดังนั้นการสานพลังเป็นสิ่งจำเป็น เพราะถ้าต่างคนต่างทำก็จะเป็นเบี้ยหัวแตก”  ดร.กอบศักดิ์บอกถึงเหตุผลที่ต้องสานพลังภาคเอกชน

 ดร.กอบศักดิ์กล่าวด้วยว่า ถ้าภาคเอกชนได้เข้ามาช่วยพัฒนาชุมชน 1 บริษัทต่อ 1 ชุมชน ก็อาจทำให้เกิดระบบชุมชนเข้มแข็งขึ้นมาได้   สุดท้ายการสานพลังในครั้งนี้จะไม่ใช่ทำแค่ภาคเอกชน แต่ยังเป็นการสานพลังทุกภาคส่วนกับ พอช. กับ สวส. ที่จะช่วยคัดเลือกชุมชนที่เข้มแข็งเข้ามาร่วมทำงานกับภาคเอกชน  รวมถึง BOI ที่มีการสนับสนุนและสานพลังกับชุมชนแบบพุ่งเป้าตามรูปแบบการสนับสนุน อย่างไรก็ตาม หลายเรื่องถ้าภาครัฐไม่เอื้อหรือเข้ามาช่วยก็ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด  จึงต้องนำไปสู่การสานพลังแบบ 1บวก 1 และมากกว่า

นายกฤษดา สมประสงค์  ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ กล่าวว่าพอช.มีภารกิจกสำคัญคือการส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรชุมชนมีความสามารถและความเข้มแข็ง  ให้องค์กรชุมชนสามารถรวมกลุ่มกันได้ และถึงจุดหนี่งก็สนับสนุนให้องค์กรชุมชนสามารถแสวงหาทรัพยากรในการส่งเสริมความเข้มแข็งจากแหล่งอื่น ซี่งการพัฒนาของชุมชนพบว่าความรู้บางส่วนอาจยังมีไม่เพียงพอจึงต้องไปสรรหาความรู้จากแหล่งอื่นเข้ามาสนับสนุน 

“ชุมชนเข้มแข็งเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ ซี่งชุมชนที่เข้มแข็งจะสามารถเป็นที่รองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเข้ามาได้ ดังนั้นการพัฒนาต่อยอดให้องค์กรชุมชนนั้นมีความเข้มแข็งแล้วนั้น นอกจากภาครัฐและภาคชุมชนเองแล้วก็ต้องมีการพัฒนาต่อยอดจากภาคธุรกิจเอกชนที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดย พอช.จะทำหน้าที่ช่วยให้การเชื่อมโยงดังกล่าวเกิดขึ้นและจะการันตีองค์กรชุมชนที่เข้มแข็ง”  ผอ.พอช. กล่าว

พอช.-ขบวนชุมชนภูเก็ตชวนภาคเอกชนหนุนการพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก

นางวารุณี สกุลรัตนธารา แกนนำขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดภูเก็ตที่ร่วมกับชุมชนต่างๆ ในจังหวัดขับเคลื่อนแนวคิด ภูเก็ตเกาะสวรรค์ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของโครงการว่า คนภูเก็ตต้องมีสุขภาพดี มีการศึกษา ซึ่งมียุทธศาสตร์ที่เกิดจากภาคประชาชนของจังหวัด ซึ่งถึงแม้ว่าจังหวัดภูเก็ตจะมีภาพของจังหวัดที่มีภาคธุรกิจอยู่มากมาย แต่ก็พบว่ามีความเหลื่อมล้ำอยู่มาก ตอนนี้มีการดำเนินการโครงการส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้เด็กปฐมวัยในโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ทำงานสนับสนุนร่วมกับทางมูลนิธิยุวพัฒน์ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน โดยมีแนวทางการขอรับการสนับสนุนจาก BOI  ซี่งอยู่ในระหว่างการยื่นเสนอโครงการมายัง BOI ผ่านบริษัท Innovation ที่มีทาง พอช.ร่วมสนับสนุนการดำเนินการด้วย 

นพ.สันติ ลาภเบญจกุล ผู้อำนวยการ โครงการพัฒนาเด็กปฐมวัย (ICAP) มูลนิธิยุวพัฒน์  กล่าวว่า  การลงทุนการพัฒนากับเด็กเป็นสิ่งสำคัญมาก ปัจจุบันประเทศไทยมีศูนย์เด็กเล็กที่ครอบคลุมทั้งประเทศอยู่ 5 หมื่นกว่าแห่ง ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอยู่แล้ว แต่ใช้แค่เพียงสำหรับให้เด็กกินนอนเท่านั้น  ดังนั้นโครงการพัฒนาเด็กให้เด็กเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา  ICAP ที่คาดหวังว่าเด็กนั้น ๆ จะมีสุขภาพที่ดีหลังจากได้รับการพัฒนาตามแนวทางของ ICAP ที่มีการจัดการทั้งภายในและภายนอก และได้เรียนรู้อย่างสนุกของเด็ก 2-4 ขวบ ที่มีกระบวนการ Discussion กัน ซึ่งเด็กจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก

นายกฤษดา  สมประสงค์ ผอ.พอช. กับเด็กที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในจังหวัดภูเก็ตที่ พอช.เชื่อมประสานให้ภาคธุรกิจเข้ามาสนับสนุนชุมชน

ทั้งนี้ก่อนการจัดงานสานพลังเอกชนฯ ในวันนี้  จากการเชื่อมประสานของ พอช. ระหว่างเครือข่ายชุมชนในจังหวัดภูเก็ตกับภาคธุรกิจตามแนวทางการสานพลังภาคเอกชนของ BOI ทำให้ขณะนี้มีบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ให้ความสนใจที่จะสนับสนุนโครงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กในจังหวัดภูเก็ต  ซึ่งเป็นโครงการที่ พอช.ร่วมกับมูลนิธิยุวพัฒน์ดำเนินการนำร่องในศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศตั้งแต่กลางปี 2566 ที่ผ่านมา รวม 60  แห่ง รวมทั้งที่ภูเก็ตด้วย  โดยนำเอารูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบ High Scope ที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลกมาใช้แทนการเรียนการสอนแบบเดิมๆ หรือเป็นเพียง “สถานที่กินนอนของเด็ก”  โดยเน้นให้เด็ก (อายุ 2-6 ขวบ) ได้เรียนรู้ด้วยการลงมือทำ  ผ่านมุมกิจกรรมการเล่นและสื่อที่เหมาะสมหลากหลาย  ทำให้เด็กมีพัฒนาการต่างๆ ดีขึ้น  ทั้งร่างกาย  จิตใจ  อารมณ์  สติปัญญา สังคม   (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://web.codi.or.th/20230607-46045/)

โดยขบวนองค์กรชุมชนจังหวัดภูเก็ตได้นำโครงการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กนี้มาเสนอต่อบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา  เพื่อขยายโครงการศูนย์เด็กเล็กจากเดิมที่มีอยู่เป็น 10 แห่งในเมืองภูเก็ต  โดยจะใช้งบประมาณรวมทั้งหมด 6,200,000 บาท  เพื่อปรับปรุงห้องเรียน  จัดมุมกิจกรรมการเล่น  จัดหาสื่อ หนังสือ  ของเล่น  และจัดกระบวนการเรียนการสอนใหม่  โดยเบื้องต้นบริษัทแห่งนี้ได้ตกลงที่จะสนับสนุนโครงการและงบประมาณแล้ว  ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาอนุมัติโครงการตามกระบวนการของ BOI เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องการลดหย่อนภาษีให้บริษัทเอกชน

อย่างไรก็ตาม  ภายหลังการจัดงาน “สานพลังเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมจากฐานรากสู่ความยั่งยืนในวันนี้แล้ว  พอช.จะร่วมกับภาคีเครือข่ายและชุมชนที่มีความเข้มแข็งและมีความสนใจที่จะพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ เช่น  การพัฒนาเศรษฐกิจ  สร้างอาชีพ  การเกษตร  พัฒนาที่อยู่อาศัย  ดูแลสิ่งแวดล้อม  ป่าชุมชน  ฯลฯ  ได้ร่วมกันพัฒนาโครงการเพื่อสานพลังกับภาคเอกชนในการสนับสนุนเสริมสร้างชุมชนให้เข้มแข็งตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมของบีโอไอต่อไป

ส่วนหนึ่งของผู้แทนชุมชนที่เข้าร่วมงานสานพลังเอกชนฯ ในวันนี้

***************

เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนาองค์ความรู้และสื่อสารองค์กร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน

รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด

เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”

คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย

บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ

สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ

รมว.พม. แจ้งตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง ใน 13 จว. ช่วยกลุ่มเปราะบาง-ผู้ประสบภัยน้ำท่วมริมแม่น้ำโขง ด้าน พอช. พร้อมอนุมัติงบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติภาคเหนือและอีสาน

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลกระทบในพื้นที่ 8 จังหวัด 47 อำเภอ 207 ตำบล 22,817 ครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา