‘คนแม่แจ่ม’ จ.เชียงใหม่ เดินหน้าพัฒนาเมืองทุกมิติ (2) จากภัยพิบัติ ‘บ้านยางหลวง’ สู่ยุค ‘สร้างบ้านแปงเมือง’

อำเภอแม่แจ่มมีช่างทอผ้าซิ่นตีนจกที่มีชื่อเสียง มีวัฒนธรรมประเพณีหลากหลายชาติพันธุ์  ทุกปีจะมีการจัดงาน ‘มหกรรมผ้าซิ่นตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม’

นอกจากแม่แจ่มจะร่ำรวยไปด้วยธรรมชาติ  ศิลปะ  วัฒนธรรม  ประเพณี มีรากเหง้าความเป็นมาของผู้คนที่หลากหลายน่าสนใจแล้ว แม่แจ่มยังเคยผ่านช่วงวิกฤต...ความยากลำบากมาหลายครั้ง พวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด...จนก้าวเข้าสู่ยุคสร้างบ้านแปงเมืองในปัจจุบัน...

(อ่านตอนที่ 1  รากเหง้า...วิถี...และสีสัน ‘มนต์เมืองแจ๋ม’ https://www.thaipost.net/public-relations-news/507537/)

‘ขัวโตงเตง’ สะพานแขวนข้ามน้ำแม่แจ่ม

แม่แจ่มยุคเมืองปิด

อำเภอแม่แจ่ม  จ.เชียงใหม่  ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย  อยู่ด้านหลังดอยอินทนนท์  ล้อมรอบไปด้วยขุนเขา  มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 500 เมตร อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว  123  กิโลเมตร  มีน้ำแม่แจ่มที่ไหลมาจากดอยอินทนนท์เป็นแม่น้ำสายหลัก  

ในอดีตอำเภอแม่แจ่มถือว่าเป็นพื้นที่ทุรกันดาร  การเดินทางยากลำบาก  ต้องใช้ทางเกวียน  หากเดินเท้าจากแม่แจ่มจะไปเชียงใหม่  จะต้องเลาะป่าฝ่าดงไปที่จอมทองก่อน (ระยะทางปัจจุบันประมาณ 70 กิโลเมตร) ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 วัน 2 คืน  จากนั้นจะมีรถบรรทุกโดยสารไปเชียงใหม่ 

นอกจากการติดต่อกับโลกภายนอกจะยากลำบากแล้ว  ข้าวปลาอาหารก็ยังขาดแคลน  ราษฎรจึงพากันอพยพครอบครัวไปอยู่ถิ่นอื่นที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า  ทำให้ประชากรลดน้อยลง   

ในปี พ.ศ. 2481  ทางราชการจึงลดฐานะอำเภอแม่แจ่มลงเป็นกิ่งอำเภอ  ขึ้นกับอำเภอจอมทอง  แต่การเดินทางไปติดต่อกับราชการที่อำเภอจอมทองก็ยังไกลโพ้นเช่นกัน  ต่อมาในปี  พ.ศ.2499  ทางราชการได้ยกขึ้นเป็นอำเภอแม่แจ่ม  เพื่อให้ประชาชนเกิดความสะดวกในการติดต่อกับทางราชการ

ราวปี 2505 อำเภอแม่แจ่มได้เกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันถากถางเส้นทางสร้างถนนเข้าสู่อำเภอ  เมื่อถนนแล้วเสร็จในปีต่อมา  จึงเริ่มมีรถยนต์จากเชียงใหม่เข้าสู่แม่แจ่ม  ทำให้การติดต่อเดินทางสะดวกมากขึ้น...แม่แจ่มไม่กลายเป็นเมืองปิดอีกต่อไป...

จิตรกรรมฝาผนังที่วัดป่าแดด ต.ท่าผา  ฝีมือช่างท้องถิ่น  เขียนในราวปี พ.ศ. 2432 แสดงวิถีชีวิตคนแม่แจ่มในยุคนั้น

ภัยพิบัติที่ ‘บ้านยางหลวง’ ยุคเริ่มต้นการพัฒนา

อำเภอแม่แจ่มมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านไร่  พื้นที่ส่วนใหญ่กรมป่าไม้ได้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ  ทำให้ชาวบ้านเกือบทั้งหมดไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่ดิน  แบ่งการปกครองเป็น 10 ตำบล  106 หมู่บ้าน  ประชากรประมาณ 60,000 คน  มีทั้งคนเมือง (ล้านนา)  กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) ม้ง  ลัวะ ลีซู  ฯลฯ  อาชีพหลักปลูกข้าวโพด  กะหล่ำปลี  ถั่วเหลือง   ข้าวไร่  ฯลฯ

ในเดือนกันยายนปี 2545  เกิดเหตุการณ์น้ำป่าจากดอยอินทนนท์ไหลหลาก  ดินโคลนจากภูเขาไหลถล่มลงสู่น้ำแม่แจ่มและน้ำแม่แรก เกิดผลกระทบต่อชาวแม่แจ่มหลายพื้นที่  แต่ที่บ้านยางหลวง  ต.ท่าผา  ที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่แจ่มประมาณ 4 กิโลเมตร  ได้รับความเสียหายมากที่สุด  เพราะเป็นที่ลุ่มและอยู่ติดกับน้ำแม่แรกซึ่งเป็นน้ำสาขาแม่แจ่ม   ดิน  โคลน  หิน  ทราย  ต้นไม้  ที่ไหลมาตามกระแสน้ำได้พัดพาบ้านเรือน  ทรัพย์สิน  ไร่นา   เสียหายประมาณ 30  ครัวเรือน  ระดับน้ำท่วมสูงประมาณ  2 เมตร

สภาพความเสียหายที่บ้านยางหลวงในปี 2545 

จากหนังสือบันทึก ‘เล่าขานตำนานเมืองแจ๋ม’ ตีพิมพ์ในปี 2546  โดยฝอยทอง  สมบัติ  ชาวแม่แจ่ม  ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ภัยพิบัติที่บ้านหลวงในครั้งนั้นว่า...

“ผู้เขียนได้ไปดูที่เกิดเหตุ  เห็นแล้วน่าสลดใจ  เพราะไม่ใช่น้ำท่วมธรรมดา  แต่เป็นการถล่มทลายของดอย (ภูเขา) ต้นน้ำ      จึงทำให้มีทั้งต้นไม้ใหญ่น้อย  หิน  ดิน  ทราย  ทะลักทลายเข้าทับถมบ้านเรือนเสียหายหลายสิบหลังคาเรือน  แม้ผู้คนจะรอดชีวิต      แต่สิ่งที่ได้ล่องลอยไปพร้อมกับน้ำคือความสูญเสียด้านจิตใจของผู้ที่หนีตายในวันเกิดเหตุ...บางคนเหม่อลอย  แต่ละคนแม้ไม่ถึงขั้นสติฟั่นเฟือน  แต่ก็มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่สับสน  บางคนเหม่อลอย  ไม่มีกะจิตกะใจจะฟื้นฟูสภาพบ้านตัวเอง...”

สำราญ  กุลนันท์  ผู้ใหญ่บ้าน  เล่าว่า  พอเกิดภัยพิบัติในครั้งนั้น   ทางหน่วยงานราชการต่างๆ  ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน   แต่ชาวบ้านก็ยังหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เมื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายแล้ว  ในปีต่อมา       ตนและชาวบ้าน 8  ครอบครัวจึงอพยพจากบ้านยางหลวงขึ้นมาหาพื้นที่ปลูกบ้านบนบริเวณสันดอย ‘ม่อนบ่อเฮาะ’ ซึ่งเป็นพื้นที่สูง  เดิมเป็นไร่ข้าวโพด  อยู่ห่างจากที่เดิมประมาณ  2-3 กิโลเมตร

“พอปี  2548   เกิดน้ำท่วมเพราะน้ำป่าไหลลงมาท่วมที่เดิมอีก  ชาวบ้านยางหลวงหลายครอบครัวจึงทยอยย้ายขึ้นมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะ  โดยเฉพาะครอบครัวที่มีคนแก่คนเฒ่า  มีเด็กเล็ก  เพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัว  แต่ก็มีอีกหลายครอบครัวที่ยังไม่อยากจะย้ายขึ้นมา  เพราะคิดว่าเหตุการณ์น้ำท่วม  น้ำป่าอาจจะไม่ได้มีทุกปี   อีกทั้งการย้ายบ้านเรือนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก   ที่ดินที่จะสร้างบ้านใหม่ก็ไม่มี”  สำราญบอกเหตุผล

ผู้ใหญ่สำราญกับซากความเสียหาย

ที่ดินบริเวณม่อนบ่อเฮาะซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดนั้น   เป็นที่ดินที่มีผู้ครอบครองอยู่ก่อน ( ‘ม่อนบ่อเฮาะ’ สมัยโบราณเป็นดินแดนของชาวลัวะ ยังไม่ทราบความหมายชื่อที่แน่ชัด)   เมื่อชาวบ้านยางหลวงอพยพจากหมู่บ้านเดิมขึ้นมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะก็ต้องขอซื้อที่ดินจากผู้ที่จับจองปลูกข้าวโพดอยู่ก่อน   ราคาประมาณไร่ละ 10,000 บาท   แต่เนื่องจากที่ดินบนม่อนบ่อเฮาะมีเนื้อที่ไม่มากนัก  ชาวบ้านที่ย้ายขึ้นมาปลูกบ้านจึงต้องแบ่งปันที่ดินกัน   รายละประมาณ 1 งาน  หรือ 100 ตารางวา   พอได้ปลูกบ้านอยู่อาศัย  ปลูกผักสวนครัว  และเลี้ยงสัตว์เล็กๆ น้อยๆ

สร้างบ้านแปงเมืองที่ม่อนบ่อเฮาะ

หลังเหตการณ์น้ำป่าในปี 2548  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ สำนักงานภาคเหนือ  ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานร่วมกับชาวบ้าน   สนับสนุนให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา  โดยเฉพาะการสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะเพื่อไม่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาติอีก

ปี 2549  ชาวบ้านยางหลวงที่ทยอยย้ายขึ้นมาปลูกสร้างบ้านเรือนที่ม่อนบ่อเฮาะได้รวมตัวกันจัดทำโครงการ ‘บ้านมั่นคงชนบทม่อนบ่อเฮาะ’ ที่ พอช. ให้การสนับสนุน (พอช.เริ่มโครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศในปี 2546) มีชาวบ้านเข้าร่วมโครงการในช่วงแรกรวม 48  ครอบครัว  ได้รับงบสนับสนุนสินเชื่อครัวเรือนละ 50,000 บาทจาก พอช. เพื่อก่อสร้างบ้านใหม่  และสินเชื่อครัวเรือนละ 20,000 บาทกรณีที่ต่อเติมบ้าน  ผ่อนชำระปีละ 3,000 บาท

“ชาวบ้านใช้เงินสร้างบ้านกันไม่มาก  เพราะใช้ไม้เก่า  ใช้หลังคาที่รื้อย้ายมา  แล้วแต่ละหลังชาวบ้านจะช่วยกันรื้อ  ช่วยกันสร้าง   ช่วยกันยกเสาและขึ้นโครง  ไม่ต้องเสียค่าจ้าง  ใช้เวลา 2-3 วัน  พอขึ้นโครงบ้านแต่ละหลังแล้ว   เจ้าของบ้านก็จะสร้างบ้านเอง  ให้ญาติพี่น้องมาช่วยกันสร้าง  บางหลังก็ต่อเติมไปเรื่อยๆ  จนแล้วเสร็จ”  ผู้ใหญ่บ้านม่อนบ่อเฮาะเล่าย้อนอดีต

ในการสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะนั้น  ชาวบ้านมีข้อตกลงร่วมกันในการจัดระบบการจัดการที่ดินที่อยู่อาศัยในลักษณะกรรมสิทธิ์ร่วม  และเพื่อปกป้องที่ดินเอาไว้ให้ลูกหลาน  เช่น  ห้ามขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอก  ที่ดินสามารถตกทอดทางมรดกให้แก่ครอบครัว  หากมีการซื้อขายที่ดินภายในชุมชนจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการชุมชน   มีการจัดทำผังชุมชน   แบ่งพื้นที่ชุมชนออกเป็นพื้นที่ใช้สอยต่างๆ  เช่น   พื้นที่สร้างวัด  ศูนย์เด็กเล็ก  ศาลาประชาคม  ที่อยู่อาศัยและทำกิน   ฯลฯ

นอกจากนี้   จากประสบการณ์ที่ชาวบ้านเคยประสบปัญหาน้ำท่วมมาหลายครั้ง  ทำให้พวกเขามองเห็นความสำคัญในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  เช่น  กันพื้นที่เพื่อสงวนไว้เป็นป่าชุมชน  เนื้อที่ประมาณ 120 ไร่  สร้างและซ่อมแซมเหมืองฝายเพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดปี   จัดตั้งเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลาในน้ำแม่แจ่ม  โดยใช้พิธีกรรมและความเชื่อถือศรัทธาทางศาสนาเป็นเครื่องมือ  สร้างกฎระเบียบให้ชาวชุมชนช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม  ฯลฯ

ช่วยกันสร้างบ้านใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะ

สร้างกองทุนสวัสดิการ-บ้านมั่นคง

นอกจากการอพยพขึ้นมาจากบ้านยางหลวงเพื่อสร้างบ้านมั่นคงที่ม่อนบ่อเฮาะในช่วงปี 2549-2550   แล้ว  ในเวลาเดียวกันนั้น  พอช.ได้สนับสนุนให้ชาวม่อนบ่อเฮาะจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือกันอีกหลายกองทุน  เช่น  กองทุนสวัสดิการชุมชน  หรือ ‘กองทุนวันละ 1   บาท’  มีสมาชิกเริ่มต้น 60 คน  (ตามจำนวนครัวเรือนที่ย้ายขึ้นมาที่ม่อนบ่อเฮาะในช่วงนั้น)  เพื่อช่วยเหลือสมาชิกในยามที่เดือดร้อนจำเป็นสวัสดิการ

เช่น  คลอดบุตร  ช่วยเหลือ 500 บาท  เจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล  ช่วยเหลือคืนละ 100   บาท  ปีหนึ่งไม่เกินคนละ 1,000 บาท,   เสียชีวิต  เป็นสมาชิก 1   ปีขึ้นไป  ช่วยเหลือไม่เกิน 10,000 บาท  และช่วยเหลือภัยพิบัติตามความเหมาะสม  ปัจจุบันกองทุนมีสมาชิกทั้งหมดประมาณ  300 คน  มีเงินกองทุนประมาณ 400,000 บาท 

‘กลุ่มออมทรัพย์หมู่บ้านมั่นคงม่อนบ่อเฮาะ’ จัดตั้งในปี 2549 พร้อมกับกองทุนสวัสดิการชุมชน  โดยให้สมาชิกออมเงินเข้ากลุ่มเป็นรายเดือนอย่างน้อยเดือนละ 30 บาท  สามารถกู้ยืมเพื่อสร้าง  ซ่อมแซมบ้านได้ไม่เกินรายละ 25,000 บาท  คิดดดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท  ผ่อนชำระคืนปีละ 3,000 บาท  ระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี   กู้ยืมประกอบอาชีพ  ไม่เกินรายละ 15,000 บาท  ดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท  ชำระคืนภายใน 6 เดือน  (ปัจจุบันช่วยเหลือให้สมาชิกกู้ยืมแก้ไขความเดือดร้อน  รวมเป็นเงินประมาณ 1.5 ล้านบาท  มีเงินสดหมุนเวียนประมาณ 5 แสนบาท)

นับจากภัยพิบัติที่บ้านยางหลวงในปี 2545  บัดนี้เป็นเวลาเกือบ 20 ปีที่พวกเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะ (ปัจจุบันมี 74 ครอบครัว  ประมาณ 300 คน)  ทำให้พวกเขามีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง  ปลอดภัย  มีกองทุนต่างๆ เอาไว้ช่วยเหลือดูแลกัน  ทั้งยังช่วยกันดูแลป่าเขาและแม่น้ำ ถือเป็นหมู่บ้านต้นแบบแห่งหนึ่งของอำเภอแม่แจ่มที่ชาวบ้านได้ช่วยกันพลิกฟื้นหมู่บ้านที่เคยล่มจมเพราะภัยพิบัติ...และช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นมาใหม่...!!

(ติดตามอ่านตอนต่อไป...”จากม่อนบ่อเฮาะ...สู่แม่แจ่มโมเดล...การพัฒนาที่ยั่งยืน”)

ม่อนบ่อเฮาะในปัจจุบัน

***************

เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

อำเภอแม่แจ่มมีช่างทอผ้าซิ่นตีนจกที่มีชื่อเสียง มีวัฒนธรรมประเพณีหลากหลายชาติพันธุ์  ทุกปีจะมีการจัดงาน ‘มหกรรมผ้าซิ่นตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม’

นอกจากแม่แจ่มจะร่ำรวยไปด้วยธรรมชาติ  ศิลปะ  วัฒนธรรม  ประเพณี มีรากเหง้าความเป็นมาของผู้คนที่หลากหลายน่าสนใจแล้ว แม่แจ่มยังเคยผ่านช่วงวิกฤต...ความยากลำบากมาหลายครั้ง พวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด...จนก้าวเข้าสู่ยุคสร้างบ้านแปงเมืองในปัจจุบัน...

(อ่านตอนที่ 1  รากเหง้า...วิถี...และสีสัน ‘มนต์เมืองแจ๋ม’ https://www.thaipost.net/public-relations-news/507537/)

‘ขัวโตงเตง’ สะพานแขวนข้ามน้ำแม่แจ่ม

แม่แจ่มยุคเมืองปิด

อำเภอแม่แจ่ม  จ.เชียงใหม่  ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย  อยู่ด้านหลังดอยอินทนนท์  ล้อมรอบไปด้วยขุนเขา  มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 500 เมตร อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว  123  กิโลเมตร  มีน้ำแม่แจ่มที่ไหลมาจากดอยอินทนนท์เป็นแม่น้ำสายหลัก  

ในอดีตอำเภอแม่แจ่มถือว่าเป็นพื้นที่ทุรกันดาร  การเดินทางยากลำบาก  ต้องใช้ทางเกวียน  หากเดินเท้าจากแม่แจ่มจะไปเชียงใหม่  จะต้องเลาะป่าฝ่าดงไปที่จอมทองก่อน (ระยะทางปัจจุบันประมาณ 70 กิโลเมตร) ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 วัน 2 คืน  จากนั้นจะมีรถบรรทุกโดยสารไปเชียงใหม่ 

นอกจากการติดต่อกับโลกภายนอกจะยากลำบากแล้ว  ข้าวปลาอาหารก็ยังขาดแคลน  ราษฎรจึงพากันอพยพครอบครัวไปอยู่ถิ่นอื่นที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า  ทำให้ประชากรลดน้อยลง   

ในปี พ.ศ. 2481  ทางราชการจึงลดฐานะอำเภอแม่แจ่มลงเป็นกิ่งอำเภอ  ขึ้นกับอำเภอจอมทอง  แต่การเดินทางไปติดต่อกับราชการที่อำเภอจอมทองก็ยังไกลโพ้นเช่นกัน  ต่อมาในปี  พ.ศ.2499  ทางราชการได้ยกขึ้นเป็นอำเภอแม่แจ่ม  เพื่อให้ประชาชนเกิดความสะดวกในการติดต่อกับทางราชการ

ราวปี 2505 อำเภอแม่แจ่มได้เกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันถากถางเส้นทางสร้างถนนเข้าสู่อำเภอ  เมื่อถนนแล้วเสร็จในปีต่อมา  จึงเริ่มมีรถยนต์จากเชียงใหม่เข้าสู่แม่แจ่ม  ทำให้การติดต่อเดินทางสะดวกมากขึ้น...แม่แจ่มไม่กลายเป็นเมืองปิดอีกต่อไป...

จิตรกรรมฝาผนังที่วัดป่าแดด ต.ท่าผา  ฝีมือช่างท้องถิ่น  เขียนในราวปี พ.ศ. 2432 แสดงวิถีชีวิตคนแม่แจ่มในยุคนั้น

ภัยพิบัติที่ ‘บ้านยางหลวง’ ยุคเริ่มต้นการพัฒนา

อำเภอแม่แจ่มมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านไร่  พื้นที่ส่วนใหญ่กรมป่าไม้ได้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ  ทำให้ชาวบ้านเกือบทั้งหมดไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่ดิน  แบ่งการปกครองเป็น 10 ตำบล  106 หมู่บ้าน  ประชากรประมาณ 60,000 คน  มีทั้งคนเมือง (ล้านนา)  กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) ม้ง  ลัวะ ลีซู  ฯลฯ  อาชีพหลักปลูกข้าวโพด  กะหล่ำปลี  ถั่วเหลือง   ข้าวไร่  ฯลฯ

ในเดือนกันยายนปี 2545  เกิดเหตุการณ์น้ำป่าจากดอยอินทนนท์ไหลหลาก  ดินโคลนจากภูเขาไหลถล่มลงสู่น้ำแม่แจ่มและน้ำแม่แรก เกิดผลกระทบต่อชาวแม่แจ่มหลายพื้นที่  แต่ที่บ้านยางหลวง  ต.ท่าผา  ที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่แจ่มประมาณ 4 กิโลเมตร  ได้รับความเสียหายมากที่สุด  เพราะเป็นที่ลุ่มและอยู่ติดกับน้ำแม่แรกซึ่งเป็นน้ำสาขาแม่แจ่ม   ดิน  โคลน  หิน  ทราย  ต้นไม้  ที่ไหลมาตามกระแสน้ำได้พัดพาบ้านเรือน  ทรัพย์สิน  ไร่นา   เสียหายประมาณ 30  ครัวเรือน  ระดับน้ำท่วมสูงประมาณ  2 เมตร

สภาพความเสียหายที่บ้านยางหลวงในปี 2545 

จากหนังสือบันทึก ‘เล่าขานตำนานเมืองแจ๋ม’ ตีพิมพ์ในปี 2546  โดยฝอยทอง  สมบัติ  ชาวแม่แจ่ม  ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ภัยพิบัติที่บ้านหลวงในครั้งนั้นว่า...

“ผู้เขียนได้ไปดูที่เกิดเหตุ  เห็นแล้วน่าสลดใจ  เพราะไม่ใช่น้ำท่วมธรรมดา  แต่เป็นการถล่มทลายของดอย (ภูเขา) ต้นน้ำ      จึงทำให้มีทั้งต้นไม้ใหญ่น้อย  หิน  ดิน  ทราย  ทะลักทลายเข้าทับถมบ้านเรือนเสียหายหลายสิบหลังคาเรือน  แม้ผู้คนจะรอดชีวิต      แต่สิ่งที่ได้ล่องลอยไปพร้อมกับน้ำคือความสูญเสียด้านจิตใจของผู้ที่หนีตายในวันเกิดเหตุ...บางคนเหม่อลอย  แต่ละคนแม้ไม่ถึงขั้นสติฟั่นเฟือน  แต่ก็มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่สับสน  บางคนเหม่อลอย  ไม่มีกะจิตกะใจจะฟื้นฟูสภาพบ้านตัวเอง...”

สำราญ  กุลนันท์  ผู้ใหญ่บ้าน  เล่าว่า  พอเกิดภัยพิบัติในครั้งนั้น   ทางหน่วยงานราชการต่างๆ  ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน   แต่ชาวบ้านก็ยังหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  เมื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายแล้ว  ในปีต่อมา       ตนและชาวบ้าน 8  ครอบครัวจึงอพยพจากบ้านยางหลวงขึ้นมาหาพื้นที่ปลูกบ้านบนบริเวณสันดอย ‘ม่อนบ่อเฮาะ’ ซึ่งเป็นพื้นที่สูง  เดิมเป็นไร่ข้าวโพด  อยู่ห่างจากที่เดิมประมาณ  2-3 กิโลเมตร

“พอปี  2548   เกิดน้ำท่วมเพราะน้ำป่าไหลลงมาท่วมที่เดิมอีก  ชาวบ้านยางหลวงหลายครอบครัวจึงทยอยย้ายขึ้นมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะ  โดยเฉพาะครอบครัวที่มีคนแก่คนเฒ่า  มีเด็กเล็ก  เพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัว  แต่ก็มีอีกหลายครอบครัวที่ยังไม่อยากจะย้ายขึ้นมา  เพราะคิดว่าเหตุการณ์น้ำท่วม  น้ำป่าอาจจะไม่ได้มีทุกปี   อีกทั้งการย้ายบ้านเรือนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก   ที่ดินที่จะสร้างบ้านใหม่ก็ไม่มี”  สำราญบอกเหตุผล

ผู้ใหญ่สำราญกับซากความเสียหาย

ที่ดินบริเวณม่อนบ่อเฮาะซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดนั้น   เป็นที่ดินที่มีผู้ครอบครองอยู่ก่อน ( ‘ม่อนบ่อเฮาะ’ สมัยโบราณเป็นดินแดนของชาวลัวะ ยังไม่ทราบความหมายชื่อที่แน่ชัด)   เมื่อชาวบ้านยางหลวงอพยพจากหมู่บ้านเดิมขึ้นมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะก็ต้องขอซื้อที่ดินจากผู้ที่จับจองปลูกข้าวโพดอยู่ก่อน   ราคาประมาณไร่ละ 10,000 บาท   แต่เนื่องจากที่ดินบนม่อนบ่อเฮาะมีเนื้อที่ไม่มากนัก  ชาวบ้านที่ย้ายขึ้นมาปลูกบ้านจึงต้องแบ่งปันที่ดินกัน   รายละประมาณ 1 งาน  หรือ 100 ตารางวา   พอได้ปลูกบ้านอยู่อาศัย  ปลูกผักสวนครัว  และเลี้ยงสัตว์เล็กๆ น้อยๆ

สร้างบ้านแปงเมืองที่ม่อนบ่อเฮาะ

หลังเหตการณ์น้ำป่าในปี 2548  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ สำนักงานภาคเหนือ  ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานร่วมกับชาวบ้าน   สนับสนุนให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา  โดยเฉพาะการสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะเพื่อไม่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาติอีก

ปี 2549  ชาวบ้านยางหลวงที่ทยอยย้ายขึ้นมาปลูกสร้างบ้านเรือนที่ม่อนบ่อเฮาะได้รวมตัวกันจัดทำโครงการ ‘บ้านมั่นคงชนบทม่อนบ่อเฮาะ’ ที่ พอช. ให้การสนับสนุน (พอช.เริ่มโครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศในปี 2546) มีชาวบ้านเข้าร่วมโครงการในช่วงแรกรวม 48  ครอบครัว  ได้รับงบสนับสนุนสินเชื่อครัวเรือนละ 50,000 บาทจาก พอช. เพื่อก่อสร้างบ้านใหม่  และสินเชื่อครัวเรือนละ 20,000 บาทกรณีที่ต่อเติมบ้าน  ผ่อนชำระปีละ 3,000 บาท

“ชาวบ้านใช้เงินสร้างบ้านกันไม่มาก  เพราะใช้ไม้เก่า  ใช้หลังคาที่รื้อย้ายมา  แล้วแต่ละหลังชาวบ้านจะช่วยกันรื้อ  ช่วยกันสร้าง   ช่วยกันยกเสาและขึ้นโครง  ไม่ต้องเสียค่าจ้าง  ใช้เวลา 2-3 วัน  พอขึ้นโครงบ้านแต่ละหลังแล้ว   เจ้าของบ้านก็จะสร้างบ้านเอง  ให้ญาติพี่น้องมาช่วยกันสร้าง  บางหลังก็ต่อเติมไปเรื่อยๆ  จนแล้วเสร็จ”  ผู้ใหญ่บ้านม่อนบ่อเฮาะเล่าย้อนอดีต

ในการสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะนั้น  ชาวบ้านมีข้อตกลงร่วมกันในการจัดระบบการจัดการที่ดินที่อยู่อาศัยในลักษณะกรรมสิทธิ์ร่วม  และเพื่อปกป้องที่ดินเอาไว้ให้ลูกหลาน  เช่น  ห้ามขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอก  ที่ดินสามารถตกทอดทางมรดกให้แก่ครอบครัว  หากมีการซื้อขายที่ดินภายในชุมชนจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการชุมชน   มีการจัดทำผังชุมชน   แบ่งพื้นที่ชุมชนออกเป็นพื้นที่ใช้สอยต่างๆ  เช่น   พื้นที่สร้างวัด  ศูนย์เด็กเล็ก  ศาลาประชาคม  ที่อยู่อาศัยและทำกิน   ฯลฯ

นอกจากนี้   จากประสบการณ์ที่ชาวบ้านเคยประสบปัญหาน้ำท่วมมาหลายครั้ง  ทำให้พวกเขามองเห็นความสำคัญในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  เช่น  กันพื้นที่เพื่อสงวนไว้เป็นป่าชุมชน  เนื้อที่ประมาณ 120 ไร่  สร้างและซ่อมแซมเหมืองฝายเพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดปี   จัดตั้งเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลาในน้ำแม่แจ่ม  โดยใช้พิธีกรรมและความเชื่อถือศรัทธาทางศาสนาเป็นเครื่องมือ  สร้างกฎระเบียบให้ชาวชุมชนช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม  ฯลฯ

ช่วยกันสร้างบ้านใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะ

สร้างกองทุนสวัสดิการ-บ้านมั่นคง

นอกจากการอพยพขึ้นมาจากบ้านยางหลวงเพื่อสร้างบ้านมั่นคงที่ม่อนบ่อเฮาะในช่วงปี 2549-2550   แล้ว  ในเวลาเดียวกันนั้น  พอช.ได้สนับสนุนให้ชาวม่อนบ่อเฮาะจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือกันอีกหลายกองทุน  เช่น  กองทุนสวัสดิการชุมชน  หรือ ‘กองทุนวันละ 1   บาท’  มีสมาชิกเริ่มต้น 60 คน  (ตามจำนวนครัวเรือนที่ย้ายขึ้นมาที่ม่อนบ่อเฮาะในช่วงนั้น)  เพื่อช่วยเหลือสมาชิกในยามที่เดือดร้อนจำเป็นสวัสดิการ

เช่น  คลอดบุตร  ช่วยเหลือ 500 บาท  เจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล  ช่วยเหลือคืนละ 100   บาท  ปีหนึ่งไม่เกินคนละ 1,000 บาท,   เสียชีวิต  เป็นสมาชิก 1   ปีขึ้นไป  ช่วยเหลือไม่เกิน 10,000 บาท  และช่วยเหลือภัยพิบัติตามความเหมาะสม  ปัจจุบันกองทุนมีสมาชิกทั้งหมดประมาณ  300 คน  มีเงินกองทุนประมาณ 400,000 บาท 

‘กลุ่มออมทรัพย์หมู่บ้านมั่นคงม่อนบ่อเฮาะ’ จัดตั้งในปี 2549 พร้อมกับกองทุนสวัสดิการชุมชน  โดยให้สมาชิกออมเงินเข้ากลุ่มเป็นรายเดือนอย่างน้อยเดือนละ 30 บาท  สามารถกู้ยืมเพื่อสร้าง  ซ่อมแซมบ้านได้ไม่เกินรายละ 25,000 บาท  คิดดดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท  ผ่อนชำระคืนปีละ 3,000 บาท  ระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี   กู้ยืมประกอบอาชีพ  ไม่เกินรายละ 15,000 บาท  ดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท  ชำระคืนภายใน 6 เดือน  (ปัจจุบันช่วยเหลือให้สมาชิกกู้ยืมแก้ไขความเดือดร้อน  รวมเป็นเงินประมาณ 1.5 ล้านบาท  มีเงินสดหมุนเวียนประมาณ 5 แสนบาท)

นับจากภัยพิบัติที่บ้านยางหลวงในปี 2545  บัดนี้เป็นเวลาเกือบ 20 ปีที่พวกเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะ (ปัจจุบันมี 74 ครอบครัว  ประมาณ 300 คน)  ทำให้พวกเขามีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง  ปลอดภัย  มีกองทุนต่างๆ เอาไว้ช่วยเหลือดูแลกัน  ทั้งยังช่วยกันดูแลป่าเขาและแม่น้ำ ถือเป็นหมู่บ้านต้นแบบแห่งหนึ่งของอำเภอแม่แจ่มที่ชาวบ้านได้ช่วยกันพลิกฟื้นหมู่บ้านที่เคยล่มจมเพราะภัยพิบัติ...และช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นมาใหม่...!!

(ติดตามอ่านตอนต่อไป...”จากม่อนบ่อเฮาะ...สู่แม่แจ่มโมเดล...การพัฒนาที่ยั่งยืน”)

ม่อนบ่อเฮาะในปัจจุบัน

***************

เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'กกร.เชียงใหม่' จ่อชง 'ครม.สัญจร' เยียวยาผู้ประกอบการน้ำท่วม

นายอาคม สุวรรณกันทา ประธานสมาพันธ์ SMEs ไทย จังหวัดเชียงใหม่ และรองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า มาหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นกับเชียงใหม่ปีนี้

'ดอยอินทนนท์' หนาว! เริ่มเปิดเส้นทางชมธรรมชาติ

นายเกรียงไกร ไชยพิเศษ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า วันนี้อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ กำหนดจัดกิจกรรมเปิดการท่องเที่ยว

เทศบาลนครเชียงใหม่ ยันพร้อมจัดงานประเพณีเดือนยี่เป็ง ยิ่งใหญ่อลังการหลังน้ำท่วม

นายมนต์ชัย พงษ์เกียรติก้อง รองปลัดเทศบาลนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เทศบาลนครเชียงใหม่ได้เริ่มดำเนินการเตรียมความพร้อมและแผนการจัดงานประเพณีเดือนยี่เป็งเชียงใหม่ประจำปี 2567 แล้ว ซึ่งในปีนี้จะมีการจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการไม่ลดความอลังการใดๆ โดยจัดภายใต้แนวคิด

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

วางคิว ‘นายกฯอิ๊งค์’ ลงพื้นที่แม่สายเดือนพ.ย. ก่อนประชุม ครม.สัญจรครั้งแรก จ.เชียงใหม่

ในเดือนหน้า นายกฯมีกำหนดลงพื้นที่ตรวจราชการที่ จ.เชียงราย และเป็นประธานประชุม ครม.สัญจร ที่จ.เชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นการประชุม ครม.สัญจรนัดแรกของรัฐบาลชุดนี้