รมว.ทส.“วราวุธ ศิลปอาชา” หนุน เครือข่ายป่าชุมชน 68 จังหวัด มุ่งสู่ 2 เป้าหมายหลัก สร้างเศรษฐกิจครัวเรือน สังคมมีสุข ชุมชนเข้มแข็ง มุ่งสู่เศรษฐกิจใหม่ สังคมคาร์บอนต่ำ เน้นการสร้างประโยชน์ในหลายมิติจากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสอดรับกับบริบทความเปลี่ยนแปลงของโลก

วันนี้ (15 ธันวาค ม 2564 ) เวลา 9.00 น. กรมป่าไม้ ได้จัดให้มีการสัมมนาออนไลน์ เรื่อง “การพัฒนาศักยภาพผู้นำเครือข่ายป่าชุมชน” เพื่อขับเคลื่อนการทำงานของเครือข่ายป่าชุมชนให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย อันจะนำไปสู่การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในป่าชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ และความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศมีความสมบูรณ์และยั่งยืน โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนาออนไลน์ จำนวน 1,000 คน ประกอบด้วย ประธานเครือข่ายป่าชุมชน ตัวแทนสมาชิกเครือข่ายป่าชุมชนจาก 68 จังหวัดจากทั่วประเทศ รวมจำนวน 400 คน ภาคเอกชนและสื่อมวลชน 25 คน และ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในปฏิบัติงานด้านป่าชุมชนจำนวน 575 คน ในการนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการสัมมนาฯ และปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ปี 2565 เป็นปีแห่งการปรับตัวและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
ทั้งนี้ นายวราวุธ กล่าวในการปาฐกถาพิเศษว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบด้านการอนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟู และใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยบูรณาการ และสร้างการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ รักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อม และอำนวยประโยชน์อย่างยั่งยืน ภายใต้นโยบาย “ทส.ยกกำลังเอ็กซ์” มองไปข้างหน้าอย่างไร้ขีดจำกัด มุ่งสู่วิสัยทัศน์” ที่ช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนววิถีใหม่ ภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ด้วยการม่งเดินหน้าใน 2 เป้าหมายหลัก

“ เป้าหมายที่ 1 การสร้างเศรษฐกิจครัวเรือน สังคมมีสุข ชุมชนเข้มแข็ง ประกอบด้วย การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนเพิ่มเติมภายใต้โครงการ คทช. จัดสรรที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามกฎหมายใหม่ให้ได้ 1.78 ล้านไร่ 2,700 หมู่บ้านทั่วประเทศ ควบคู่การสร้างป่าชุมชน เพื่อเป็นแหล่งรายได้ให้ชุมชน รวมทั้งการจัดที่ดินทำกินและอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ การจัดตั้งป่าชุมชน การปลูกป่าเพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน และการป้องกันไฟป่า ที่เป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกให้กับประเทศไทย เพื่อการแบ่งปันคาร์บอนเครดิต ตลอดจนยกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เพื่อเสริมรายได้ให้กับชุมชนรอบพื้นที่ พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวหลังการเปิดประเทศ การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ตามมาตรการ ขาว-เขียว-เทา การพัฒนาแหล่งน้ำ และระบบกระจายน้ำผิวดินและการพัฒนาขุดเจาะบ่อบาดาลในพื้นที่ คทช. พื้นที่โครงการในพระองค์ และโครงการพระราชดำริ และพื้นที่แล้งซ้ำซาก”

นายวราวุธ กล่าวต่อไปว่า เป้าหมายที่ 2 การมุ่งสู่เศรษฐกิจแบบใหม่ (BCG Model) และสังคมคาร์บอนต่ำ ประกอบด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียวหรือBio Circular Green Economy เป็นหัวใจที่จะต้องทำเพื่อฟื้นสภาพเศรษฐกิจและสามารถแข่งกับนานาประเทศ ทั้งนี้ในการประชุมผู้นำรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP 26 ประเทศไทยประกาศว่า จะมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Netzero GHG emission) ภายในปีค.ศ.2065 ตาม(ร่าง)ยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทย (Thailand LT-LEDS) เพื่อร่วมกับประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย(ร่าง)ยุทธศาสตร์ดังกล่าวในส่วนของการพัฒนาศักยภาพการกักเก็บก๊าซเรือนกระจก ประเทศไทยมีมาตรการการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการปลูก และบำรุงรักษาป่าสำหรับองค์กรหรือบุคคลภายนอก การส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทร่วมปลูก และฟื้นฟูป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ให้เป็นไปตามเป้าหมายนโยบายป่าไม้แห่งชาติ และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเรื่องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทุกประเภทให้ได้ร้อยละ 55 ภายในปีพ.ศ. 2580 ประกอบด้วย พื้นที่ป่าธรรมชาติ ร้อยละ35 พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ ร้อยละ15 และพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองและชนบทร้อยละ5 และยุทธศาสตร์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องการเพิ่มพื้นที่การดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ให้ได้ 120 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า (MtCO2eq) ในปี พ.ศ. 2580

“การสัมมนาที่กรมป่าไม้จัดขึ้นในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมของเครือข่ายป่าชุมชน และเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน สู่การฟื้นฟูและปรับตัวในปี 2565 ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับตัวการทำงานรูปแบบใหม่ในหลายมิติไปพร้อมกับการสร้างรายได้ให้ชุมชน รวมไปถึงความสำคัญของพื้นที่ป่าชุมชนซึ่งเป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกให้กับประเทศไทย เพื่อการแบ่งปันคาร์บอนเครดิต และเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำประเทศไทยไปสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในอนาคต ซึ่งการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง ถือเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์ฟื้นฟู จัดการบำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืน เป็นมรดกทางธรรมชาติส่งต่อให้ลูกหลานสืบไป” นายวราวุธ กล่าว

ด้าน นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า บทบาทหน้าที่ของเครือข่ายป่าชุมชน ถือเป็นพลังภาคประชาชนที่สำคัญที่จะทำงานเคียงคู่กับภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันมีป่าชุมชนตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 จำนวน 11,327 ป่าชุมชน โดยชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม 13,028 หมู่บ้าน รวมเนื้อที่ 6.29 ล้านไร่ และกรมป่าไม้ได้มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายป่าชุมชนในการดูแล ปกป้องรักษาพื้นที่ป่าผ่านกระบวนการเสริมสร้างศักยภาพผู้นำเครือข่ายป่าชุมชนมาอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 168,576 คน จาก 10,742 หมู่บ้าน ในท้องที่ 68 จังหวัด และได้รับการรับรองให้เป็นเครือข่ายป่าชุมชนตามกฎหมาย โดยมีบทบาทตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ตามความในมาตรา 9 (4) ที่กำหนดให้กลุ่มผู้แทนประธานเครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัดเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน มาตรา 23 (4) กำหนดให้ประธาน เครือข่ายป่าชุมชนระดับจังหวัดเป็นกรรมการในคณะกรรมการป่าชุมชนประจำจังหวัด มาตรา 23 (5) กำหนดให้ผู้แทนคณะกรรมการจัดการป่าชุมชนในจังหวัด จำนวนไม่ เกิน 3 คน เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง และมีการจดแจ้งเป็นเครือข่ายป่าชุมชน ระดับจังหวัด รวมทั้งสิ้น 68 จังหวัด

“ ในส่วนของกรมป่าไม้นั้น ได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนที่อยู่รอบ ๆ ป่าเข้ามามีส่วนร่วมกับภาครัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ในการ จัดตั้งป่าชุมชน โดยมีหน้าที่และสิทธิตามที่กฎหมายป่าชุมชนกำหนด ซึ่งสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมินิเวศในแต่ละท้องที่ และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวในที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'วราวุธ' เผยอบอุ่น-มีพลังอยู่บ้านภูมิใจไทย ไม่แคร์ 'ยศชนัน' เปิดซิงสุพรรณฯ ลั่นเจาะได้ก็ลองกันดู
“วราวุธ” ลั่น "เจาะได้ก็ลองกันดู" หลัง “ยศนัน” หอบคณะเพื่อไทย ลงพื้นที่หาเสียงสุพรรณบุรี บอก แย่งพื้นที่ได้หรือไม่ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
“รองนายกฯ สุชาติ สั่ง คพ. จับตาลักลอบทิ้งสารเคมี 24 ชม. รุกสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมฉะเชิงเทรา ตรวจพบต้องสอบทันที”
นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความห่วงใยต่อสถานการณ์การลักลอบทิ้งกากของเสียและสารอันตรายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยเฉพาะจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น
รองนายกฯ สุชาติ เรียกประชุมนัดแรก คกก.อำนวยการฯ เร่งเครื่องแก้ปัญหาหมอกควัน-ฝุ่น PM2.5 ปี 2569
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ ครั้งที่ 1/2569 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2568
'หนูนา' เปิดใจร่ายยาว ทำไม 'ท็อป' ปล่อยมือ 'ชทพ.' ไปอยู่ ภท.
'หนูนา' เปิดใจ 'ท็อป' ลา ชทพ. เหตุต้องหาพื้นที่อยู่บนถนนการเมืองต่อไปได้ รับรุ่นลูกไม่เก่งเท่าพ่อบรรหาร เลือก ภท. เพราะยึดมั่นในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เผยรักษาการหัวหน้าพรรค แต่ไม่มีกิจกรรมการเมือง
“รองนายกฯ สุชาติ” เป็นประธาน กก.สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เห็นชอบ EIA โครงการสำคัญ แก้ปัญหาอุทกภัย–เสริมบริหารจัดการน้ำ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2568 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
รองนายกฯ สุชาติ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการมรดกโลก เดินหน้าผลักดันแหล่งวัฒนธรรมไทยสู่เวทีโลก
วันที่ 16 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุม 1001 ชั้น 10 สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาคารทิปโก้ และผ่านระบบประชุมทางไกล นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี

