เราเชื่อว่าสิ่งที่หลายคนอาจจะสงสัยจนทำให้ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกทำ SEO เจ้าไหนดีคือคำถามที่ว่าระหว่างการทำ SEO สายขาว ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 3-6 เดือนขึ้นไปกว่าจะเริ่มเห็นผล และการทำ SEO สายดำที่หลายคนการันตีมาว่าให้สามารถมอบผลลัพธ์ที่เราต้องการได้ภายในเวลาอันรวดเร็วนั้น ทางเลือกไหนคือทางเลือกที่ตอบโจทย์กับธุรกิจของเรามากกว่ากัน และเพื่อเป็นการพาทุกคนที่มีคำถามว่าเราควรเลือกทำ SEO เจ้าไหนดีไปไขข้อข้องใจดังกล่าว วันนี้เราเลยขออาสามาบอกต่อข้อแตกต่างระหว่างการทำ SEO สายขาว และสายดำตามรายละเอียดด้านล่าง ดังนี้
ขั้นตอนของการทำ SEO มีอะไรบ้าง?
ก่อนจะพาทุกคนที่มีคำถามว่าตัวเองควรเลือกทำ SEO เจ้าไหนดีระหว่างการทำ SEO สายดำ และสายขาว เราอยากจะขอพูดถึงขั้นตอนการทำ SEO เบื้องต้นเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจภาพรวมทั้งหมดกันสักเล็กน้อย โดยขั้นตอนดังกล่าวประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนหลักๆ ได้แก่
1.การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม – คือการมองหาคำที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรามักใช้เสิร์ช Google เวลาต้องการหาข้อมูลของสินค้าและการบริการที่ตัวเองสนใจแล้วนำมาปรับใช้กับเนื้อหาบนหน้าเว็บฯ เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนเจอเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น
2.การวางโครงสร้างเว็บไซต์ – คือการวางโครงสร้างเว็บไซต์ของเราให้สะดวกและปลอดภัยต่อการใช้งานของผู้ชม อีกทั้งยังช่วยให้ระบบของ Google สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้มากขึ้น
3.การพัฒนาและปรับปรุงการทำงานของเว็บไซต์ – คือการปรับปรุงรายละเอียดต่างๆ บนเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ดีของการทำ SEO ทั้งการออกแบบหน้าต่างเว็บไซต์ตามหลัก UX/UI และการเชื่อมเพจหนึ่งไปสู่อีกเพจหนึ่งบนหน้าเว็บฯ เดียวกัน เป็นต้น
4.การสร้างลิงก์กลับมายังเว็บไซต์จากเว็บฯ อื่น - คือการสร้างคอนเทนต์บนหน้าเว็บฯ อื่นที่มีการแทรกลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา
SEO สายขาว VS SEO สายดำ
หลังจากพาคนที่มีคำถามว่าเราควรเลือกทำ SEO เจ้าไหนดีไปทำความรู้จักับว่าการทำ SEO นั้นประกอบไปด้วยขั้นตอนแบบไหนบ้าง ลำดับต่อมาเราจะขอพูดถึงความแตกต่างระหว่าง SEO สายขาว และสายดำ ตามรายละเอียดด้านล่าง ดังนี้
SEO สายขาว
คือการทำ SEO ตามขั้นตอนที่เราได้พูดถึงไปในข้างต้นอย่างถูกต้องและครบครัน โดยข้อดีของการทำ SEO สายขาวคือการช่วยให้เว็บไซต์ของเราสามารถเติบโตบนโลกออนไลน์ได้อย่างยั่งยืนโดยปราศจากความเสี่ยงต่อการโดน Google แบน และการช่วยปรับปรุงให้หน้าเว็บไซต์ของเรามีเนื้อหาและฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานได้อย่างตรงจุดจนนำไปสู่การมีภาพลักษณ์ที่ดีและมีความเชื่อถือในสายตาของผู้ใช้งาน
SEO สายดำ
คือการทำ SEO ที่นำเอาเทคนิคซึ่งในทางหนึ่งอาจจะช่วยให้เว็บไซต์ของเราสามารถไต่อันดับบนหน้าผลแสดงการค้นหาได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ความเสี่ยงที่เว็บไซต์ของเราจะโดนตัดคะแนน, โดนจัดอันดับให้ต่ำลงกว่าเดิม, โดน Google ปฏิเสธการแสดงเว็บไซต์บนหน้าแสดงการค้นหา และโดนแบนค่อนข้างสูง เช่น การใส่คีย์เวิร์ดในเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ในปริมาณที่มากเกินไปจนคนอ่านไม่เข้าใจ, การใช้โปรแกรมสร้างลิงก์จำนวนมากจากเว็บไซต์ด้านนอกกลับมายังเว็บไซต์ของเรา และการแสดงเนื้อหาให้ระบบของ Google และคนอ่านเห็นเนื้อหาคนละแบบกัน
สายดำ VS สายขาว เลือกทำ SEO เจ้าไหนดี?
ถ้าจะให้เราตอบคำถามของคนที่สงสัยว่าตัวเองควรทำ SEO เจ้าไหนดี ระหว่างสายขาว และสายดำ แน่นอนว่าคำตอบของเราย่อมต้องอยากให้ทุกคนเลือกการทำ SEO สายขาวที่ถึงแม้จะใช้เวลาอยู่บ้างแต่ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมคุ้มค่ากว่าการทำ SEO สายดำแน่นอน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
4 เทคนิคที่ SEO Agency ใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์การตลาดที่น่าทึ่ง
ไม่ว่าธุรกิจไหน ๆ ก็อยากประสบความสำเร็จและเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมกันทั้งนั้น ดังนั้นหลายธุรกิจต่างมองหา SEO Agency ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างได้จริง แต่อะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จที่ SEO Agency ชั้นนำใช้กัน?
5 กลยุทธ์สุดล้ำ เพิ่มยอดขายโตไวเกินคาดด้วยบริษัทรับทำ SEO
ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางธุรกิจรุนแรง การมีเว็บไซต์ที่ดึงดูดลูกค้าและสร้างยอดขายได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ หลายธุรกิจจึงหันมาพึ่งพาบริการจากบริษัทรับทำ SEO (Search Engine Optimization)
7 เทคนิคเลือกบริษัทรับทำ SEO เว็บไซต์ธุรกิจ เพิ่มยอดขาย
ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันในตลาดออนไลน์ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization
หาคำตอบ! Keyword คืออะไร สำคัญอย่างไรในการทำ SEO
Keyword หรือ คีย์เวิร์ด คือ คำหรือวลีที่ผู้คนใช้เพื่อค้นหาข้อมูลในเครื่องมือค้นหา เช่น Google, Bing และ Yahoo! ในความหมายของ SEO Keyword
ทำไมถึงควรใช้บริการ “รับทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google”
ในปัจจุบัน การทำการตลาดออนไลน์กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภท การทำเว็บไซต์เป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและส
3 เคล็ดลับการเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ดี มีคุณภาพต้องเลือกยังไง
ปัจจุบันจำนวนธุรกิจประเภท Start up นั้นเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าคู่แข่งในท้องตลาดย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะเข้ามาเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จและทำให้ธุรกิจ Start up