รัฐ-ราษฎร์ร่วมใจ พลิกฟื้นคลองเปรมประชากร ‘คลอง 6 แผ่นดิน’...และน้ำพระทัยจากในหลวง

สภาพชุมชนและคลองเปรมประชากรด้านถนนแจ้งวัฒนะก่อนการพัฒนา

คลองเปรมประชากรเป็นคลองสายแรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 5   มีพระราชดำริให้ขุดขึ้นในปี พ.ศ. 2413  เพื่อเป็นคลองลัดเชื่อมแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าด้วยกัน  เริ่มจากคลองผดุงกรุงเกษมบริเวณหน้าวัดโสมนัสวิหาร  ไปทะลุแม่น้ำเจ้าพระยาที่อำเภอบางปะอิน  จังหวัดพระนครศรี อยุธยา  ระยะทางประมาณ  50 กิโลเมตรเศษ  มีความกว้างประมาณ 12 เมตร

โดยมีพระราชประสงค์เพื่อย่นระยะทางระหว่างกรุงเทพฯ  กับกรุงเก่า (อยุธยา) เนื่องจากเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมเป็นทางน้ำอ้อมวกเวียนใช้เวลาเดินทางนาน   และเพื่อขยายพื้นที่การทำนาริมสองฝั่งคลอง   เพราะเดิมพื้นที่แถบนี้เป็นป่ารกเต็มไปด้วยโขลงช้างป่า  ไม่มีใครไปบุกเบิกถากถาง  เพราะไม่มีคลองน้ำ  เมื่อขุดคลองขึ้นมาแล้ว ประชาชนจะได้มีความสะดวกสบาย  ทั้งด้านการทำมาค้าขายและการสัญจรไปมา

ดังที่พระองค์ทรงบันทึกเอาไว้ว่า  “จะให้ราษฎรได้ความเย็นใจ  ราษฎรชายหญิง  ทั้งคฤหัฐ บรรพชิต  ลูกค้าวานิชและต่างภาษา  ค้าขายขึ้นล่องคลองนี้โดยสะดวกทุกท่าน” 

จึงโปรดเกล้าฯ จ้างแรงงานจีนมาขุด  ใช้เวลาขุด 16 เดือน  ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์  จำนวน  2,544 ชั่ง     2 ตำลึง (ประมาณ 203,520 บาท)  และพระราชทานนามว่า “คลองสวัสดิ์เปรมประชากร”

ในการขุดคลองครั้งนั้นได้มีการปักหมุดหมายริมคลองเปรมฯ จากคลองผดุงกรุงเกษมถึงพระนครศรีอยุธยา  เพื่อบอกระยะทางทุกๆ 100  เส้น  หรือ 4 กิโลเมตร  รวม  13  หลัก  แต่ปัจจุบันหลักหมุดทั้งหมดได้หายไป  เหลือเพียงแต่ชื่อเช่น  หลักสี่  (กรุงเทพฯ)  และหลักหก (รังสิต) 

ขณะเดียวกันเมื่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงไป  มีการใช้รถยนต์  ใช้ถนนสัญจรไปมา  คลองเปรมประชากรก็ลดความสำคัญลง....เมื่อเมืองมีการขยายตัว  ที่ดินมีราคาแพง  จึงทำให้มีผู้คนมาบุกเบิกจับจองสร้างบ้านเรือนริมสองฝั่งคลองเรียงรายหนาแน่น  ตั้งแต่ย่านหลักสี่  ดอนเมือง  รังสิต  ปทุมธานี  คนที่มาทีหลังหรือคนที่มีครอบครัวขยายก็ปลูกบ้านลงไปในคลอง  จนกลายเป็นชุมชนต่าง ๆ  รวมทั้งหมด 38 ชุมชน  กว่า 6,000 ครอบครัว

ภาพถ่ายทางอากาศของคลองเปรมประชากร บริเวณดอนเมืองไปทางบางเขน ปี 2483  มีแต่ทุ่งนาและบ้านเรือนเป็นหย่อม /ภาพจาก U.of Wisconsin/facebook  : Misc.Today

วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ปี 2554  และแผนฟื้นฟูคลองในกรุงเทพฯ

จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2554  สาเหตุหนึ่งมาจากการระบายน้ำในคลองสายหลักในกรุงเทพฯ ไม่มีประสิทธิภาพ  เนื่องจากมีบ้านเรือนปลูกสร้างรุกล้ำลำคลองจำนวนมาก   ทำให้ลำคลองคับแคบ  ตื้นเขิน 

ในปี 2555  คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ได้เสนอแผนงานการแก้ไขปัญหาและป้องกันน้ำท่วม   ตามแผนจะมีการสร้างเขื่อนระบายน้ำและขุดลอกคลองในลำคลองสายหลักในกรุงเทพฯ  จำนวน 9 แห่ง  คือ  คลองลาดพร้าว  คลองเปรมประชากร  คลองบางเขน  คลองสามวา  คลองลาดบัวขาว  คลองพระยาราชมนตรี  คลองบางซื่อ คลองประเวศบุรีรมย์  และคลองพระโขนง  แต่รัฐบาลในขณะนั้นยังไม่ได้ดำเนินการ

ในสมัยรัฐบาล คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ)  พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี  ได้แต่งตั้ง ‘คณะกรรมการอำนวยการกำหนดนโยบายการบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ’  มีพลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ  เป็นประธาน  เริ่มดำเนินการในคลองลาดพร้าวเป็นแห่งแรกในปี 2559  โดยกรุงเทพมหานครรับผิดชอบก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลองลาดพร้าวเพื่อป้องกันน้ำท่วม  ระยะทางทั้งสองฝั่งประมาณ 45 กิโลเมตร   

สภาพบ้านเรือนริมคลองลาดพร้าว

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  โดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จัดทำโครงการรองรับที่อยู่อาศัยของประชาชนที่สร้างบ้านเรือนรุกล้ำคลองลาดพร้าว (ที่ดินราชพัสดุ  กรมธนารักษ์ดูแล)  จำนวน 50 ชุมชน  รวม 7,069 ครัวเรือน    โดยชุมชนเหล่านี้จะต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวคลองและแนวก่อสร้างเขื่อน   และ พอช.จะสนับสนุนงบประมาณและสินเชื่อการก่อสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่

มีหลักการสำคัญ  คือ  1.ชุมชนที่รื้อบ้านแล้ว  หากอาศัยอยู่ในชุมชนเดิมได้  ชุมชนจะต้องรวมกลุ่มกันในนามสหกรณ์เคหสถานเพื่อขอเช่าที่ดินอยู่อาศัยอย่างถูกต้องจากกรมธนารักษ์   เช่าระยะยาว 30 ปีในอัตราผ่อนปรน  2.หากที่ดินไม่เพียงพอ  อาจจัดหา  หรือซื้อที่ดินแปลงใหม่  เพื่อสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่ 

เริ่มรื้อย้ายบ้านที่รุกล้ำคลองเพื่อก่อสร้างบ้านหลังแรกที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญ  ซอยพหลโยธิน 54 (ตรงข้ามตลาดยิ่งเจริญ  สะพานใหม่) ในเดือนเมษายน 2559   โดยมีพลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ  รองนายกฯ เป็นประธานในพิธี  ต่อมาในช่วงต้นปี 2560  การก่อสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่แห่งแรกริมคลองลาดพร้าวที่ชุมชนศาลเจ้าพ่อสมบุญก็แล้วเสร็จ  รวมทั้งหมด 65 หลัง

(ปัจจุบัน  การรื้อย้ายเพื่อก่อสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่  ดำเนินการไปแล้ว  จำนวน  35 ชุมชน  41 โครงการ  สร้างบ้านเสร็จและมีประชาชนเข้าอยู่อาศัยแล้ว รวม 3,553  ครัวเรือน  ส่วนการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลองลาดพร้าว  บริษัทรับเหมาก่อสร้างได้ก่อสร้างเขื่อนฯ  โดยตอกเสาเข็มเพื่อเป็นฐานรากเขื่อน  รวมระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตรเศษ  จากระยะทางทั้งหมดประมาณ 45 กิโลเมตร)

บ้านใหม่ ชุมชนริมคลองลาดพร้าวหลังมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม  เขตจตุจักร

การฟื้นฟูคลองเปรมประชากร...น้ำพระทัยจากในหลวง

ส่วนคลองเปรมประชากรที่ขุดในสมัยรัชกาลที่ 5   มีความยาวกว่า 50 กิโลเมตร  เชื่อมกับคลองผดุงกรุงเกษมใจกลางพระนคร ผ่านหลักสี่  ดอนเมือง  รังสิต  ปทุมธานี  และบางปะอิน  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ซึ่งเคยเป็นคลองที่มีความสำคัญด้านการคมนาคม  การขนส่งข้าวและสินค้าต่างๆ  

แต่สภาพปัจจุบันกลับกลายเป็นท่อน้ำทิ้งขนาดใหญ่  มีสภาพไม่ต่างจากคลองลาดพร้าว  คือ   น้ำในคลองเน่าเสีย  มีบ้านเรือน  สิ่งปลูกสร้าง  รุกล้ำคูคลอง  ทำให้ลำคลองคับแคบ  ตื้นเขิน  ขยะลอยฟ่อง  กีดขวางทางไหลของน้ำ  คลองไม่สามารถช่วยระบายน้ำในยามน้ำท่วมได้  โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554

ความเสื่อมโทรมของคลองเปรมประชากรดังกล่าวนี้ อยู่ในสายพระเนตรพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว  ในหลวงรัชกาลที่ 10  พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินโครงการพัฒนาคลองเปรมประชากรทั้งระบบ  เพื่อฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของลำคลอง  ทำให้ลำคลองกลับมาใสสะอาด

โดยพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยราชการในพระองค์ประสานความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาคลองเปรมประชากร  ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560    โดยจัดทำ ‘โครงการจิตอาสาพัฒนาคลองเปรมประชากร’ ขึ้นมา  มีกิจกรรมต่างๆ  เช่น   ประชาชนจิตอาสาร่วมกันเก็บขยะในคลอง   ขุดลอกคลอง  ปรับสภาพน้ำในคลองให้สะอาดขึ้น   รวมทั้งการพัฒนาที่อยู่อาศัยและคุณภาพชีวิตของชาวชุมชนริมคลอง  ซึ่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 26  กรกฎาคมที่ผ่านมา  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ขยายผลการดำเนินงานโครงการจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ  โดยจัดทำโครงการ ‘จิตอาสาพัฒนาด้านการเกษตร’  บริเวณคลองเปรมประชากร  ต.เชียงรากน้อย  อ.บางปะอิน  จ.พระนครศรีอยุธยา  เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายพระพร  เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2566

โดยมีกิจกรรมต่างๆ  เช่น  1.การปรับภูมิทัศน์และพัฒนาพื้นที่สาธารณะบริเวณคลองเปรมประชากร  2. การปล่อยพันธุ์ปลาลงคลองเปรมประชากรและมอบพันธุ์ปลา 3. การพัฒนาส่งเสริมการเรียนรู้การงานอาชีพเกษตรกรรมให้แก่นักเรียนโรงเรียนวัดเปรมปรีชา และชาวบ้านในชุมชนตำบลเชียงรากน้อย  การปลูกผัก การเลี้ยงปลาดุกและกบ  ฯลฯ

ทหารและจิตอาสาช่วยกันรื้อบ้านที่รุกล้ำคลองเปรมฯ เพื่อสร้างบ้านใหม่บนฝั่ง

แผนแม่บทการพัฒนาคลองเปรมฯ

จากโครงการจิตอาสาพัฒนาคลองเปรมประชากรตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน  2560  ต่อมาในวันที่ 9 เมษายน 2562  คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ‘แผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร’  ระยะเวลาดำเนินการ 9 ปี (พ.ศ.2562-2570) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ  ป้องกันน้ำท่วม  และบำบัดน้ำเสียในคลองเปรมประชากรทั้งระบบ  ความยาวทั้งหมด 50.8 กิโลเมตร 

ทั้งนี้เนื่องจากคลองเปรมฯ เป็นลำคลองที่รับน้ำมาจากทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ  จากอยุธยา-ปทุมธานี-ลงมาถึงกรุงเทพฯ และไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทย  คลองเปรมฯ จึงมีความสำคัญในการช่วยระบายน้ำ  ป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ   โดยรัฐบาลมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินงานตามแผนงานหลักระยะเร่งด่วน  ปี 2562-2565  จำนวน 4 โครงการ  วงเงิน  4,448 ล้านบาท   คือ

1.กรุงเทพมหานครดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำ  จากถนนเทศบาลสงเคราะห์ – สุดเขต กทม.  ระยะทางทั้งสองฝั่ง 27.2  กิโลเมตร  วงเงิน 3,443 ล้านบาท

2.กรมโยธาธิการและผังเมืองดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนคลองเปรมประชากรจากคลองบ้านใหม่ – คลองรังสิตประยูรศักดิ์  วงเงิน 980 ล้านบาท  

3.กรมชลประทานดำเนินการขุดลอกคลองเปรมประชากรในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีจากคลองรังสิตประยูรศักดิ์ – คลองเชียงรากน้อย  ระยะทาง 15.3 กิโลเมตร วงเงิน 16 ล้านบาท

4.ขุดลอกคลองเปรมประชากรในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  จากคลองเชียงรากน้อย – สถานีสูบน้ำเปรมเหนือบางปะอิน  ระยะทาง 8.1 กิโลเมตร  วงเงิน 9 ล้านบาท

นอกจากนี้  กรุงเทพมหานครยังมีโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองเปรมประชากรลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ระยะทาง 13.5 กิโลเมตร  สามารถระบายน้ำได้ประมาณ 60 ลูกบาศก์เมตร/วินาที   ใช้งบประมาณ 9,800 ล้านบาท  เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำในพื้นที่เขตดอนเมือง  เขตหลักสี่  เขตบางเขน  เขตจตุจักร  ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 650 ตารางกิโลเมตร  

เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่  รวมถึงยังช่วยรับน้ำฝนที่ระบายในพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ข้างเคียง คือ  นนทบุรีและปทุมธานี และสามารถสูบน้ำกลับเพื่อเจือจางน้ำเสียในคลองเปรมประชากรได้อีกด้วย...!!

ภาพกราฟฟิก  แสดงอุโมงค์ระบายน้ำจากคลองเปรมฯ สู่แม่น้ำเจ้าพระยา

บ้านมั่นคงของคนคลองเปรมฯ

ส่วนการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากรนั้น  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’  มีแผนพัฒนาเช่นเดียวกับชุมชนริมคลองลาดพร้าว  ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจ  พบว่า  มีชุมชนริมคลองเปรมประชากรที่ปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ในลำคลองและพื้นที่ริมตลิ่งซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุที่กรมธนารักษ์ดูแลอยู่ทั้งหมด38 ชุมชน  รวม 6,386 ครัวเรือนในพื้นที่เขตจตุจักร  หลักสี่   ดอนเมือง และใน จ.ปทุมธานี 

โดยชุมชนเหล่านี้สามารถอยู่อาศัยในชุมชนเดิมได้ทั้งหมด   แต่จะต้องรื้อย้ายขึ้นมาสร้างบ้านใหม่บนฝั่ง  เพื่อให้พ้นแนวคลองและแนวก่อสร้างเขื่อน  และจะต้องทำสัญญาเช่าที่ดินระยะยาว (30 ปี) กับกรมธนารักษ์ในฐานะหน่วยงานดูแลที่ดินราชพัสดุ  เปลี่ยนสถานะจาก “ผู้บุกรุกเป็นเช่าที่ดินอยู่อาศัยอย่างถูกกฎหมาย”

นอกจากนี้ตามแผนงานจะมีการปรับทัศนียภาพชุมชนริมคลอง   ปลูกต้นไม้ให้มีความร่มรื่น  เพื่อให้คลองเปรมประชากรมีความสวยงาม   มีสภาพแวดล้อมที่ดี   บ้านเรือนสวยงาม  เปลี่ยนจากชุมชนแออัด  เป็น  “ชุมชนสุขภาวะดี”  ส่งเสริมอาชีพชาวชุมชน  ส่งเสริมการท่องเที่ยวทางเรือ-ท่องเที่ยวชุมชน  เชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมรถ-ราง (ไฟฟ้า) -เรือ 

การรองรับที่อยู่อาศัยชาวชุมชนริมคลองเปรมประชากร   พอช. ได้ดำเนินการเช่นเดียวกับคลองลาดพร้าว  และนำหลักการของโครงการ ‘บ้านมั่นคง’ ที่ พอช.ใช้แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยประชาชนที่มีรายได้น้อยทั่วประเทศมาใช้ (เริ่มโครงการบ้านมั่นคงตั้งแต่ปี 2546)  มีหลักการสำคัญ คือ “ชาวชุมชนที่มีความเดือดร้อนจะต้องรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา”

เช่น  ร่วมกันจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินงาน   จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุน  ร่วมกันออกแบบบ้าน-ผังชุมชน  จดทะเบียนเป็นสหกรณ์เคหสถาน  เพื่อให้มีสถานะเป็นนิติบุคคล  สำหรับทำนิติกรรมสัญญาเช่าที่ดิน  ทำเรื่องขอใช้สินเชื่อจาก พอช.  และร่วมกันบริหารโครงการ  ฯลฯ

ขณะที่ พอช. นอกจากจะสนับสนุนกระบวนการรวมกลุ่มของชุมชน  ส่งสถาปนิกเข้าไปร่วมทำงานกับชุมชนแล้ว พอช.ยังสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาที่อยู่อาศัย  ครัวเรือนละ 147,000 บาท  เพื่อก่อสร้างบ้าน  สร้างสาธารณูป โภคส่วนกลาง  และสนับสนุนสินเชื่อสร้างบ้านไม่เกินครัวเรือนละ 360,000 บาท  ผ่อนระยะยาว 20 ปี

เริ่มก่อสร้างบ้านหลังแรกที่ชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร  ในเดือนมกราคม 2563   โดยมีพลเอกประยุทธ์  จัทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธียกเสาเอก   ส่วนใหญ่เป็นบ้านแถว 2 ชั้น  ขนาด 4 X 7 ตารางเมตร  หลังจากนั้นการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลองเปรมประชากรและการก่อสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่ก็มีความคืบหน้าเป็นลำดับ

ปัจจุบัน (กรกฎาคม 2566) การก่อสร้างบ้านมั่นคงอยู่ในระหว่างการดำเนินการ 14 ชุมชน  รวม 1,318 ครัวเรือน  ก่อสร้างแล้วเสร็จและชาวบ้านเข้าอยู่อาศัยแล้ว 924 ครัวเรือน  ส่วนที่เหลือจะดำเนินการต่อไป  ส่วนการก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำ  ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการช่วงที่ 4 ในพื้นที่เขตดอนเมือง  โดย กทม.ก่อสร้างเขื่อนได้ความยาวรวม 3,200 เมตร จาก 10,700 เมตร มีความคืบหน้าของโครงการรวม 26%

บ้านใหม่  ชุมชนใหม่ริมคลองเปรมฯ  สร้างเสร็จแล้ว 14 ชุมชน 924 ครัวเรือน มีสันเขื่อนเป็นทางเดินและขี่จักรยานเลียบคลองได้

สุพิชญา สร้อยคำ  ประธานสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่่นคงเปรมประชาสมบููรณ์ จำกัด  บอกว่า  ชุมชนเดิมมีสภาพเป็นสลัม  ชาวบ้านสร้างบ้านรุกลงไปในคลอง  บ้านเรือนทรุดโทรม  เพราะอยู่กันมานานหลายสิบปี   เมื่อรัฐบาลมีโครงการพัฒนาคลองเปรมฯ ชาวบ้านก็ไม่ได้คัดค้านเพราะอยากจะมีบ้านใหม่  มีชีวิตที่ดีขึ้น  จึงเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงที่ พอช.สนับสนุน  รวมทั้งหมด 123 ครอบครัว  เป็นบ้านแถว 2 ชั้น  ค่าก่อสร้างประมาณหลังละ 495,000 บาท  ผ่อนชำระเดือนละ 2,900 บาท  โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณรวมทั้งหมด 19 ล้านบาทเศษ  และให้สินเชื่อสร้างบ้าน  รวม 53 ล้านบาท

“คนจนๆ  ไม่มีรายได้ประจำ  ถ้าเราจะไปกู้ธนาคารเพื่อจะสร้างบ้าน  คงไม่มีธนาคารที่ไหนจะให้กู้แน่ๆ  ต้องขอขอบคุณ พอช.และหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาช่วยให้ชาวชุมชนคลองเปรมฯ มีที่อยู่อาศัยที่ถูกกฎหมาย  มีบ้านใหม่ที่สวยงาม  มั่นคง  ไม่ต้องกลัวถูกไล่รื้ออีกต่อไป”   แกนนำบ้านมั่นคงบอก

ไม่นานหลังจากนี้  คลองเปรมประชากรที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 5  ทรงมีพระราชดำริให้ขุดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2413  ล่วงมาถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 150 ปี  ผ่านแผ่นดินมาแล้ว  6 รัชสมัย  และเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา  ขณะนี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่   เพื่อให้ลำคลองกลับคืนความสมบูรณ์  ใสสะอาด  ประชาชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  สามารถเชื่อมโยงการเดินทาง  ทั้งทางรถยนต์  รถรางไฟฟ้า  ทางเรือ และจักรยาน เพื่อการคมนาคมและการท่องเที่ยวชุมชนได้

สมดังพระราชปณิธานของพระองค์ที่ว่า  “จะให้ราษฎรได้ความเย็นใจ  ราษฎรชายหญิง  ทั้งคฤหัฐ บรรพชิต  ลูกค้าวานิชและต่างภาษา  ค้าขายขึ้นล่องคลองนี้โดยสะดวกทุกท่าน” 

ผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ นำโดยนายจุติ  ไกรฤกษ์ (ที่ 5 จากซ้าย) ร่วมกิจกรรมศิลปะที่ชุมชนประชาร่วมใจ 1 เขตจตุจักร  เมื่อเร็วๆ นี้

****************

เรื่องและภาพ :  สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พลเอกนิพัทธ์ ทองเล็ก นำทีมช่างชุมชน Kick Off ซ่อมบ้านผู้ประสบภัยพิบัติ ‘แม่ยาวโมเดล’

พอช. หนุนงบกว่า 30 ล้าน ซ่อม สร้าง 6 ตำบล 875 ครัวเรือน สร้างรูปธรรม การจัดการที่ดิน ที่อยู่อาศัย ยกระดับคุณภาพชีวิต พร้อมยื่นข้อเสนอเชิงนโยบายจากชุมชน ถึงรัฐบาล

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน

รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด

เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”

คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย

บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ

สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ