มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.) ร่วมกับ สมาคมการ์ตูนไทย เครือข่ายการ์ตูนไทยสร้างสรรค์สังคม โดยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดประชุมโฟกัสกรุ๊ปเรื่อง "นักวาดการ์ตูนไทย ใส่ใจพิษภัยบุหรี่" เมื่อวันอังคารที่ 23 พฤษภาคม 2566 ณ โรงแรมเดอะรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพ มีนักวาดการ์ตูนจากหนังสือพิมพ์และสื่อสำนักต่างๆเข้าร่วม โดยมี นายพิธพงษ์ จตุรพิธพร ผู้ประกาศ ข่าวเด็ด 7 สี สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 HD เป็นผู้ดำเนินรายการ
รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ผู้ที่ศึกษาเรื่องพิษภัยของบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าจาก ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่ามี 3 ความเข้าใจผิดและ 8 ข้อเท็จจริงเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่คนไทยควรรู้ 3 ความเข้าใจผิดคือ1. บุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา 2. บุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ และ 3. บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้พุ่งเป้าที่เด็กและเยาวชน สิ่งที่ถูกต้องคือบุหรี่ไฟฟ้า มีอันตรายไม่น้อยกว่าบุหรี่มวน ไม่ได้ช่วยให้เลิกสูบบุหรี่มิหนำซ้ำยังมีโอกาสกลับไปสูบบุหรี่แบบมวนด้วย และสุดท้ายกลุ่มเป้าหมายของบุหรี่ไฟฟ้าคือเด็ก เยาวชนและคนหนุ่มสาววันทำงาน ทั้ง 3 ประเด็นความเข้าใจผิดเป็นข้อมูลที่ออกมาจากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อทำการตลาดและและสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้เคยถูกใช้มาก่อนกับการโฆษณาบุหรี่ในอดีต
รศ.พญ.เริงฤดี กล่าวต่อว่าข้อเท็จจริง 8 ข้อที่ทุกคนควรรับรู้คือ 1. บุหรี่ไฟฟ้ามีสารนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดเช่นเดียวกับในบุหรี่ธรรมดา และยังพบว่าบุหรี่ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ มีปริมาณสารนิโคตินสูงกว่าบุหรี่ ธรรมดาหลายเท่า โดยบางยี่ห้อ บุหรี่ไฟฟ้า 1 แท่งมีปริมาณสารนิโคตินสูงเทียบเท่าบุหรี่ธรรมดา 50 มวน นิโคตินเป็นสารเสพติดที่อันตรายส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนโดยสารนิโคตินจะไปทำลายกระบวนการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการทางสมองของเด็กและวัยรุ่นส่งผลกระทบในระยะยาว
2.บุหรี่ไฟฟ้ามีสารเสพติดอื่น ๆ ที่เป็นพิษอีกมหาศาล ซึ่งมีสารพิษจำนวนมากที่ยังไม่รู้จัก ที่สำคัญพบว่าในบุหรี่ไฟฟ้าประกอบด้วยสารก่อมะเร็งหลายตัว รวมทั้งโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว นิกเกิ้ล และสารที่มีอนุภาคขนาดเล็กหรือฝุ่นจิ๋วที่เข้าสู่ปอดได้ง่ายทำอันตรายต่อสุขภาพ 3. พบปัญหาโรคปอดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในระยะเฉียบพลันและระยะสั้นซึ่งรุนแรงกว่าผลจากการสูบบุหรี่ธรรมดา เช่น โรคปอดอักเสบเฉียบพลันที่ระบาดในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2562-2563 ทำให้คนป่วยรุนแรงถึงเกือบ 3,000 คนและมีคนเสียชีวิตรวม 68 คน ซึ่งในประเทศไทยเริ่มพบคนสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีอาการปอดอักเสบเฉียบพลันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 4. ผลกระทบระยะยาวจากบุหรี่ไฟฟ้ายังไม่ทราบ แต่หากผลกระทบระยะเฉียบพลันและระยะสั้นของการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการสูบบุหรี่ธรรมดา ปัจจุบันมีงานวิจัยจำนวนมากพบอันตรายต่อสุขภาพที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าโดยเฉพาะ โรคหัวใจวายเฉียบพลัน โรคปอดอักเสบ และพบว่าบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เกิดมะเร็งปอดในหนูทดลอง แต่ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ามักจะสร้างข้อมูลบิดเบือนอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า จากงานวิจัยพบว่า งานวิจัยที่สนับสนุนโดยธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ (93%) มักจะสรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่อันตราย ซึ่งต่างโดยสิ้นเชิงกับงานวิจัยที่เป็นกลางที่ส่วนใหญ่ (95%) ที่สรุปว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ 5. อันตรายจาก การสูบบุหรี่ไฟฟ้าบางอย่างทับซ้อนกับการสูบบุหรี่ธรรมดา แต่บุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษบางอย่างที่ไม่พบในบุหรี่ธรรมดา ดังนั้น บุหรี่ไฟฟ้าจึงไม่ใช่บุหรี่ธรรมดาที่มีความเจือจางลง 6. บุหรี่ไฟฟ้ากำลังทำการตลาดพุ่งเป้า ไปที่กลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งนำไปสู่รุ่นของผู้เสพติดนิโคตินอันเป็นภัยพิบัติ และจากงานวิจัยพบว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นประตูสู่การสูบบุหรี่ธรรมดา ซ้ำยังทำให้คนที่เลิกสูบบุหรี่ธรรมดาไปแล้วกลับมาสูบบุหรี่ธรรมดา เพิ่มขึ้น 7. องค์การอนามัยโลกยืนยันบุหรี่ไฟฟ้าไม่ช่วยให้เลิกสูบบุหรี่ ซ้ำพบว่าคนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเลิกสูบบุหรี่ส่วนมากจะสูบบุหรี่ทั้งสองอย่างซึ่งมีอันตรายมากกว่าสูบอย่างเดียว 8. บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในประเทศไทย ทั้งกรณีจำหน่าย ให้บริการ นำเข้า ครอบครองและสูบในที่สาธารณะที่ห้ามสูบ
“ที่น่าเป็นห่วงคือกลุ่มสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าในไทยที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทบุหรี่ข้ามชาติพยายามจะผลักดันให้ฝ่ายการเมืองของไทยยกเลิกกฎหมายห้ามบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย มีการตั้งมูลนิธิเพื่อโลกปลอดควันบุหรี่ (Foundation for a Smoke Free World) เป็นองค์กรบังหน้าเพื่อโปรโมทผลิตภัณฑ์บุหรี่และกลุ่มสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยก็ทำงานให้กับองค์กรที่รับเงินจากมูลนิธินี้เช่นกัน จึงขอฝากไปยังรัฐบาลใหม่ให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับเด็กและเยาวชนด้วย” คุณหมอเริงฤดีกล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่คนทำงานด้านเด็กและเยาวชนนายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนในปัจจุบันมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น หากย้อนภาพในอดีตเพื่อเปรียบเทียบกับบุหรี่มวนจะพบว่ากลุ่มที่สูบบุหรี่เป็น กลุ่มวัยรุ่นระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายอายุ 13-18 ปี แต่ขณะนี้บุหรี่ไฟฟ้าระบาดไปยังกลุ่มเด็กระดับประถมศึกษาอา ยุ 10-12 ปี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และปัญหาที่สำคัญคือครูและผู้ปกครองยังขาดความเข้าใจและยังไม่รู้จักอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้ารูปแบบต่าง ๆ ส่งผลทำให้การคัดกรองของใช้ในกลุ่มเด็กถูกละเลยไปทำให้การพกพาหรือการสั่งซื้อสินค้าในกลุ่มบุหรี่ไฟฟ้าทำได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนั้นในน้ำยาบุหรี่ ไฟฟ้าพบสารเคมีหลายชนิด เช่น โพรไพลีนไกลคอล เป็นส่วนประกอบทำให้เกิดไอระเหยและกลีเซอรีน เป็นสารเพิ่มความชื้นที่จะผสมกับสารโพรไพลีนไกลคอล แม้องค์การอาหารและยา (FDA) สหรัฐอเมริกา จะยืนยันถึงความปลอดภัยว่าใช้ได้ทั้งในอาหารและยา แต่ยังไม่ได้รับการยืนยันถึงความปลอดภัยกรณี กลายสภาพเป็นไอที่สูบหรือสูดในบุหรี่ไฟฟ้า ขณะเดียวกันในบุหรี่ไฟฟ้ายังมีสารเสพติดอย่างนิโคตินเช่นเดียวกับบุหรี่มวน ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสมอง ระบบอวัยวะสืบพันธุ์และการเจริญเติบโตของร่างกายในเด็กและเยาวชนด้วย
ด้านนักวาดการ์ตูน ได้ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า การประชุมครั้งนี้มีประโยชน์มากเพราะข้อมูลหลายอย่างที่ได้รับฟังไม่เคยรู้มาก่อนและหลายอย่างก็เกิดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะสิ่งที่สังคมรับรู้คือบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวนซึ่งไม่เป็นความจริงและการสื่อสารจากผู้สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าที่บอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยให้เลิกบุหรี่มวนได้ก็กลายเป็นว่าต้องมาสูบทั้ง 2 อย่างยิ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้น ผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าจะต้องช่วยกันสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องผ่านสื่อการ์ตูนในช่องทางต่างๆที่น่าจะเข้าถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนได้ และสุดท้ายนายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ ได้กล่าวปิดการประชุมว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการดำเนินงานตามโครงการ เสริมพลังสื่อมวลชนไทย สร้างเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อน สังคมสุขภาวะ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นักวาดการ์ตูนเป็นสื่อมวลชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการทำงานของมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะและสสส. ข้อมูลที่ได้รับรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในวันนี้ จะนำไปสู่การสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆให้ผู้ปกครอง เด็กและเยาวชนได้เห็นพิษภัยของบุหรี่ฟ้าเพื่อปกป้องสังคมจากพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้าได้
ลิงก์เอกสารออนไลน์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชาวเชียงใหม่อุ่นใจ สสส.-มช. เดินหน้าโครงการ "Chiang Mai Greentopia" ช่วยลดสารเคมีตกค้างในเลือดได้สูง ภายใน 2 ปี ลดเหลือ 66% จาก 90%
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 13 ม.ค. 2568 ที่สวนผักฮักร้องขุ้ม อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ตัวแทนเกษตรกร ภาคีเครือข่าย และสื่อมวลชน ติดตามการดำเนินงานโครงการ Chiang Mai Greentopia : ต้นแบบการสร้างความมั่นคงทางอาหาร
พลังแห่งการเล่น..พาเด็กก้าวข้ามวิกฤต ไทยเปิดตัว"สมาคมการเล่นนานาชาติ"
การเล่นเพื่อเปลี่ยนโลก!! เชื่อว่าผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ มีปุจฉา และต้องการวิสัชนาว่า ทำไม?!? เรื่องเล่นๆ ถึงจะมาเปลี่ยนโลกได้ และท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ
สสส. สานพลัง พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม)-Mappa-กสศ.-กทม. จัดเทศกาล 'Relearn Festival 2025' ชูแนวคิด 'Intergeneration ลดช่องว่างระหว่างวัย สร้างความเข้าใจระหว่างกัน' วันที่ 11 ม.ค.-9 ก.พ.68 นี้
เปิดพื้นที่ชวนครอบครัวเปลี่ยนมุมมอง-สร้างทักษะการเลี้ยงดูเด็กยุคใหม่ ลดช่องว่างระหว่างวัยของเด็ก-ผู้ใหญ่ หลังพบเด็ก 25.6% ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ ความรุนแรงในครอบครัวพุ่งสูงขึ้น 2 เท่า ในรอบ 7 ปี
เด็กไทยป่วยซึมเศร้าทะลุ 2,200 คน ต่อประชากรแสนคน เสี่ยงทำร้ายตัวเอง 17.4% ซ้ำเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพจิต
ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สานพลังภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน จัดกิจกรรม “ดูแลวัยเด็กด้วยศิลปะด้านใน เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2568” ภายใต้โครงการโมเดลวิทยากรต้นแบบศิลปะด้านในเชิงลึกเพื่อขยายชุมชนการเรียนรู้และพัฒนาสุขภาวะเด็กก่อนวัยรุ่น เปิดพื้นที่ให้เด็ก เยาวชน พ่อแม่
กรมกิจการเด็กและเยาวชน จับมือ มูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว-สสส. จัดเสวนาสะท้อนปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ 68 เสริมแกร่งความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิเด็ก
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 8 ม.ค. 2568 ที่โรงแรมแมนดาริน กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมด้วยมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ชี้คนไทย"พร่อง"กิจกรรมทางกาย สสส.รณรงค์สร้างสุขกระฉับกระเฉง
โรคไม่ติดต่อ (NCDs) เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 1 เฉลี่ย 3 แสนคนต่อปี คิดเป็น 75% ของสาเหตุการตายทั้งหมด ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูง