จากภัยพิบัติสู่การฟื้นฟูดินน้ำป่า-พัฒนาอาชีพ... รูปธรรมจากตำบลสรอย อ.วังชิ้น จ.แพร่

ชาวตำบลสรอยช่วยกันสร้างฝายชะลอน้ำ  ในฤดูน้ำหลากฝายจะช่วยลดความรุนแรงของกระแสน้ำ  และช่วยกักเก็บน้ำในหน้าแล้ง

ย้อนกลับไปในคืนวันที่ 4 พฤษภาคม 2544  หลังฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน  มวลน้ำป่าจำนวนมหาศาลได้ไหลทะลักจากพื้นที่สูงลงมาตามลำห้วยแม่สรอยเข้าสู่หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมน้ำในอำเภอวังชิ้น  จังหวัดแพร่  ความแรงของกระแสน้ำได้พัดพาเอาดินโคลน  ต้นไม้ใหญ่น้อยลงมาปะทะกับบ้านเรือน   ผู้คนที่กำลังหลับใหล  สัตว์เลี้ยง   และทรัพย์สินต่างๆ 

หลังความเกรี้ยวกราดของสายน้ำยุติลง   พบว่ามีชาวบ้านใน 3 ตำบล  คือ  ตำบลสรอย  ตำบลป่าสัก  และตำบลแม่พุง   อำเภอวังชิ้น  เสียชีวิตจำนวน   43  ราย  ทรัพย์สินเสียหายทั้งหมดประมาณ 171 ล้านบาท

ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาสาเหตุของภัยพิบัติครั้งนี้  เช่น  ศูนย์วิจัยและพัฒนาวิศวกรรมปฐพีและฐานราก  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  พบว่า  ปัญหาหลักนอกจากภัยธธรรมชาติที่เกิดจากฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันแล้ว 

ยังมีสาเหตุมาจากการบุกรุกป่าอนุรักษ์ที่อยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติเวียงโกศัย   เพื่อทำเกษตรกรรม  ไร่ข้าว  ข้าวโพด  (ในอดีตเคยเป็นพื้นที่สัมปทานทำไม้ซุงด้วย)  ประกอบกับการเกิดไฟป่า  การลักลอบตัดไม้  ฯลฯ  ทำให้เกิดการสูญเสียหน้าดิน  ดินจึงพังทลายลงมาสะสมอยูในลำห้วยแม่สรอยและลำห้วยต่างๆ  รวมทั้งพื้นที่บริเวณป่าต้นน้ำห้วยแม่สรอยอยู่ในแนวรอยเลื่อนที่ดินและหินอาจจะสไลด์ลงมาได้ 

เมื่อฝนตกหนัก  มวลน้ำที่ทะลักลงสู่ลำห้วยแม่สรอยจึงพัดพาเอาตะกอนดินและหิน  รวมทั้งต้นไม้ใหญ่น้อยลงมาถล่มหมู่บ้านจนสร้างความเสียหายยับเยินต่อชีวิตและทรัพย์สินต่างๆในหน้าแล้ง  ฝายจะช่วยกักเก็บน้ำ   สร้างความชุ่มชื้นให้ผืนป่า  ป้องกันหรือเป็นแนวป้องกันไฟป่าได้ด้วย

จากภัยพิบัติสู่การฟื้นฟู

ตำบลสรอย (สะหรอย)  อ.วังชิ้น  จ.แพร่  มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ  98 ตารางกิโลเมตร  ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา  (60 %) รายล้อมพื้นที่ราบ  (40 %)  มี  11 หมู่บ้าน   ประชากรประมาณ 6,400 คน  ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม  ทำนา  ปลูกไผ่  เลี้ยงวัว   รับจ้างทั่วไป  ค้าขาย  ฯลฯ 

หลังภัยพิบัติในเดือนพฤษภาคม 2544  มีเศษซากไม้  รากไม้  ตอไม้  ที่ถูกกระแสน้ำพัดพาลงมาถล่มหมู่บ้านกองพะเนินอยู่เป็นจำนวนมาก  ชาวบ้านที่มีฝีมือทางช่างไม้จึงนำเอารากไม้  ตอไม้  ซึ่งมีทั้งไม้สักและไม้มีค่าต่างๆ นำมาทำเฟอร์นิเจอร์  เก้าอี้  โต๊ะ  เครื่องประดับตกแต่งบ้านเรือน   จำหน่ายเป็นรายได้   (ปัจจุบันต่อยอดเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตเฟอร์นิเจอร์จากรากไม้  ตอไม้)

ขณะเดียวกันหลังภัยพิบัติ  หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เช่น  กรมชลประทานได้เข้ามาศึกษาพื้นที่ในตำบลสรอยพบปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมซ้ำซาก  ต่อมาในปี 2545  กรมชลประทานจึงได้สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กจำนวน 5 แห่งในตำบลสรอยเพื่อรองรับน้ำในฤดูน้ำหลาก   ป้องกันภัยพิบัติ  และเป็นแหล่งน้ำใช้ในการเกษตรของชาวบ้าน   ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2547

อัจฉริยะพงษ์  ปันฟอง  หรือ ‘ผู้ใหญ่ยอด’  ผู้ใหญ่บ้านแม่ขมิง  และ ประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลสรอย  บอกว่า  หลังภัยพิบัติในตำบลสรอย  หน่วยงานต่างๆ ได้เข้ามาส่งเสริมให้ชาวบ้านในตำบลได้ร่วมกันฟื้นฟู  ดิน  น้ำ  ป่า   การดูแลรักษาป่าชุมชน  ป่าต้นน้ำ  เพื่อป้องกันภัยพิบัติ  ป้องกันปัญหาน้ำท่วม  น้ำแล้ง  การทำแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟป่า  ฯลฯ

‘ผู้ใหญ่ยอด’ และห้วยแม่สรอย

แต่อย่างไรก็ตาม  ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่เข้ามาใช้ประโยชน์จากป่า  แต่ไม่สนใจที่จะดูแลรักษาป่า  เช่น   นำวัวมาเลี้ยงในป่า  แล้วจุดไฟเผาหญ้า  เผาป่าในช่วงหน้าแล้ง  เมื่อฝนตก  หญ้าที่ถูกเผาก็จะแตกใบกลายเป็นอาหารให้วัว  รวมทั้งการเผาป่าเพราะเชื่อว่าจะทำให้เห็ดป่าเกิดขึ้นเยอะๆ  โดยเฉพาะเห็ดถอบที่มีราคาแพง  (ช่วงต้นฤดูประมาณกิโลกรัมละ 400-500 บาท) แต่การเผาป่าก็จะทำให้เกิดปัญหาฝุ่นควัน  เกิดความแห้งแล้ง  ต้นไม้ที่กำลังจะโตก็จะถูกเผาทำลายไปด้วย

“ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี  ถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ  ภัยพิบัติ  น้ำท่วม  ดินโคลนถล่มก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีก   ผมจึงชวนชาวบ้านมาเริ่มฟื้นฟูดิน  น้ำ  ป่า  อย่างจริงจังอีกครั้งในปี 2560   โดยช่วยกันทำฝายชะลอน้ำในลำห้วย  ช่วยกันปลูกต้นไม้ในพื้นที่ป่าต้นน้ำ  ดูแลรักษาป่าชุมชนบ้านแม่ขมิง  ช่วยกันขุดลอกฟื้นฟูอ่างเก็บน้ำเพื่อไม่ให้อ่างตื้นเขิน  สามารถกักเก็บน้ำได้มากขึ้น  รวมทั้งปล่อยพันธุ์ปลาในอ่างเก็บน้ำเพื่อให้เป็นแหล่งอาหาร   และจะนำรายได้จากปลามาใช้พัฒนาชุมชน”  ประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลสรอยบอก

การฟื้นฟูดินน้ำป่านับจากปี 2560  ยังดำเนินการต่อเนื่อง  รวมทั้งการดูแลป่าชุมชนบ้านแม่ขมิงเนื้อที่เกือบ 400 ไร่   โดยการสร้างแนวกันไฟ  สร้างฝาย  ปลูกป่าเสริม   ฯลฯ  โดยชุมชนมีข้อตกลงร่วมกันว่า   ทุกครัวเรือนต้องส่งตัวแทนมาร่วมกิจกรรมดูแลดินน้ำป่าของชุมชนทุกครั้ง  

  ในปี 2562  มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์  ได้สนับสนุนการจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริในจังหวัดแพร่หลายแห่ง  รวมทั้งที่ตำบลสรอย  อ.วังชิ้น  โดยสนับสนุนการพัฒนาอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ปะยางที่ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2545  (หลังภัยพิบัติ)  เพื่อให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ในหน้าแล้ง  และรองรับน้ำหลากในฤดูฝน  โดยขุดลอกอ่างที่เดิมมีความจุประมาณ 9 แสนลูกบาศก์เมตร  เพิ่มเป็น 1.2 ล้าน ลบ.ม.  ใช้งบประมาณราว 8 แสนบาท

ผลจากการดูแลดินน้ำป่าอย่างต่อเนื่อง  ในปี 2562  ป่าชุมชนบ้านแม่ขมิงได้รับรางวัลชนะเลิศ “โครงการคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน” ซึ่งเป็นการประกวดป่าชุมชนตัวอย่างระดับประเทศที่กรมป่าไม้และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  จัดประกวดต่อเนื่องมานานกว่า 10 ปี   เป็นต้นแบบของป่าชุมชนที่ชาวบ้านร่วมมือกันอย่างแข็งขัน  ดูแลและปกป้อง “ดิน  น้ำ  ป่า  ตามแนวศาสตร์พระราชา”  (อ่านรายละเอียดได้ที่ https://train.cdd.go.th/wp-content/uploads/sites/104/2021/11/Course-03.pdf ) โดยชุมชนได้รับเงินรางวัลจำนวน 1 แสนบาท  นำมาใช้เป็นทุนในการดูแลดินน้ำป่าต่อไป

ความร่วมมือของชาวบ้าน รวมทั้งกลุ่มเยาวชนทำให้ป่าชุมชนบ้านแม่ขมิงได้รับรางวัล

‘ไผ่เป๊าะ’ สร้างเศรษฐกิจชุมชน

นอกจากรางวัลจาก “โครงการคนรักษ์ป่า ป่ารักชุมชน”  ที่ทำให้ชาวบ้านเกิดความภาคภูมิใจแล้ว  ในเดือนมกราคม 2565  ‘สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา’  (พระองค์ภา) ได้เสด็จทอดพระเนตรการจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่มูลนิธิอุทกพัฒน์  ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้สนับสนุนการพัฒนาอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ปะยาง  ต.สรอย  อ.วังชิ้น   และทรงเยี่ยมเยียนราษฎร   สร้างความปลื้มปีติแก่ชาวสรอยถ้วนหน้า

ส่วนด้านการพัฒนาชุมชนชาวบ้านตำบลสรอยยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง  ในปี 2565  สภาองค์กรชุมชนตำบลสรอยจัดทำ ‘โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยตำบลสรอย’ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  หรือ ‘พอช.’  จำนวน 1 แสนบาท   นำมาจัดทำโครงการต่างๆ  เช่น  การนำไม้ไผ่เป๊าะมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์  ทำถ่านแท่ง  สบู่จากถ่าน  ฯลฯ  จัดอบรมวิธีการทำในเดือนสิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา

สวนไผ่เป๊าะของลุงเกษม  ยะพันธ์  เนื้อที่ 4 ไร่  ช่วงแล้งนี้จะได้หน่อไม้ไม่ต่ำกว่าวันละ 100 กิโลกรัม  ราคาประมาณ ก.ก.ละ 30 บาท  วันหนึ่งจะมีรายได้ประมาณ   3-4,000 บาท

เกษม  ยะพันธ์  ประธานคณะกรรมการปลูกไผ่เป๊าะแปลงใหญ่  บอกว่า  ‘ไผ่เป๊าะ’ เป็นไผ่กินหน่อ   รสชาติ  หวาน  กรอบ  อร่อย  นำมาแกง  ต้ม  ยำ  และทำอาหารได้อีกหลายอย่าง   ตนนำต้นพันธุ์มาจากบ้านป่าแดง   อ.เมือง    จ.แพร่  นำมาปลูกเมื่อประมาณปี 2559  แต่ต้องดูแลอย่างดี   ให้ปุ๋ย  ให้น้ำ  โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้งต้องให้น้ำตลอด  ไผ่จะได้ออกนอกฤดู  ขายได้ราคาดี   ปัจจุบันชาวบ้านรวมกันเป็นกลุ่มปลูกไผ่เป๊าะแปลงใหญ่  มีสมาชิกจำนวน 81 ราย   เพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิต

“ช่วงปี  2562  หน่อไผ่เป๊าะขายได้ราคาดี  ทั้งตำบลขายไผ่เป๊าะได้เงินทั้งหมดประมาณ 24 ล้านบาท  คนจากที่อื่นก็มาซื้อพันธุ์ไผ่เป๊าะจากที่นี่ไปปลูก  แต่ได้หน่อไม่อร่อยเท่าที่สรอย    เมื่อปลูกแล้วปีนึงจะต้องตัดแต่งต้น  เพื่อให้ไผ่แตกหน่อใหม่   จึงมีไม้ไผ่ที่ตัดต้นเก่าทิ้งจำนวนมาก”  ประธานกลุ่มปลูกไผ่เป๊าะบอก

‘ไผ่เป๊าะ’  พืชเศรษฐกิจ  ในปี 2562 สร้างรายได้เข้าตำบลประมาณ 24 ล้านบาท

อัจฉริยะพงษ์  หรือ ‘ผู้ใหญ่ยอด’  ในฐานะประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลสรอย  เสริมว่า  จากปริมาณลำไผ่ที่ชาวบ้านต้องตัดทิ้งในแต่ละปีมีจำนวนมาก  ตนจึงมีแนวคิดนำไม้ไผ่เหล่านี้มาสร้างมูลค่าเพิ่ม  เป็นเศรษฐกิจหมุนเวียน  ช่วยลดการเผา  ลดปัญหาฝุ่นควันด้วย  เพราะหากมีไม้ไผ่เหลือทิ้งจำนวนมาก  ชาวบ้านไม่มีที่ทิ้งก็จะต้องเผาไม้ไผ่   ตนจึงเสนอโครงการนำไม้ไผ่มาแปรรูป  ได้รับการสนับสนุนจาก พอช.  จัดอบรมเพื่อนำไม้ไผ่มาแปรรูป   เช่น  ทำถ่านไม้อัดแท่ง  ให้พลังงานความร้อนสูง  ไม่มีควัน   เหมาะที่จะเอาไปปิ้งย่าง  ขายให้ร้านอาหาร  ราคาถุงละ 20 บาท

“นอกจากนี้เรายังนำผงถ่านมาผลิตเป็นสินค้าบำรุงผิวพรรณ   ทำสบู่  ทำ Charcoal  shower cream  เพราะผงถ่านไม้ไผ่จะช่วยกำจัดแบคทีเรีย  กำจัดไขมันและสิ่งสกปรกบนใบหน้าและร่างกายได้ดี”  ผู้ใหญ่ยอดบอกถึงการนำสิ่งเหลือใช้มาสร้างมูลค่า

ผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่เป๊าะ

สร้างป่าเปียก-เดินตามแนวศาสตร์พระราชา

นอกจากการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนจากไผ่เป๊าะแล้ว   ชาวตำบลสรอยยังร่วมกันดูแลดินน้ำป่าอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะการลดปัญหาการเผาป่า   ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความแห้งแล้ง  หน้าดินถูกทำลาย  สาเหตุสำคัญประการหนึ่งมาจากการเลี้ยงวัวของชาวบ้าน

ชาวบ้านตำบลสรอยนอกจากทำนาปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักแล้ว  ยังเลี้ยงวัวพื้นบ้านเพื่อขาย  ถือเป็นทรัพย์สินในครอบครัว   เมื่อวัวโตหรือยามจำเป็นก็จะขายให้พ่อค้า  วัวที่เลี้ยงรวมกันทั้งตำบลมีกว่า 2,000 ตัว  แต่ที่ผ่านมา  ชาวบ้านจะเลี้ยงแบบปล่อย  คือต้อนให้วัวออกไปหากินหญ้าในป่า   และมักจะเผากอหญ้าแห้ง   เมื่อฝนตกลงมาหญ้าจะได้แตกหน่อระบัดใบให้วัวได้กินอีก   แต่ก็จะทำให้ผืนดินผืนป่าเกิดความแห้งแล้ง  ต้นไม้ที่กำลังเติบโตถูกเผาทำลาย

ผู้ใหญ่ยอด  บอกว่า  เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว  จึงส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกแปลงหญ้าเนเปียร์เป็นอาหารให้วัว  โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา   ใช้งบพัฒนาคุณภาพชีวิตจาก พอช. ทำแปลงหญ้าต้นแบบ  ปลูกหญ้าเนเปียร์ในตำบลทั้ง 11 หมู่บ้าน  ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 1-5 ไร่  เพื่อให้เป็นอาหารวัว   ไม่ต้องต้อนวัวไปกินหญ้าในป่า  หรือเผากอหญ้าแห้งอีก

แปลงหญ้าเนเปียร์

รวมทั้งส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกหญ้าเนเปียร์เพิ่มเติม   คนด้อยโอกาส  คนว่างงานก็สามารถปลูกหญ้าเนเปียร์ขายให้คนเลี้ยงวัวได้  ราคากิโลฯ ละ 1 บาท  ปลูก 3 เดือนก็เกี่ยวขายได้   นอกจากนี้ยังต่อท่อน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ปะยางเข้ามาในหมู่บ้าน   คนที่เลี้ยงวัวก็จะมีทั้งหญ้าและน้ำ  สามารถเลี้ยงวัวแบบขังคอกได้  ไม่ต้องต้อนวัวเข้าไปหากินในป่า  มูลวัวก็เอามาทำปุ๋ยอินทรีย์ได้อีก

“ส่วนการใช้ประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ปะยาง  นอกจากจะช่วยรับน้ำ  ป้องกันภัยพิบัติในช่วงน้ำหลาก  และมีน้ำใช้ในช่วงหน้าแล้งแล้ว   ที่ผ่านมาเราได้ปล่อยพันธุ์ปลาต่างๆ  เช่น  ปลานิล  ยี่สก  กุ้งก้ามกราม  แล้วจัดเทศกาลตกปลา-กินปลาขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว  ปีนี้เพิ่งจัดไป  ได้เงินเข้ากองทุนมาพัฒนาหมู่บ้านประมาณปีละ 2 แสนบาท  และจัดกิจกรรมวิ่งเทรลรอบอ่างเก็บน้ำและในป่าชุมชน  เพื่อให้เยาวชนและประชาชนได้สัมผัสกับธรรมชาติ  ให้เกิดความหวงแหน  เพื่อช่วยกันดูแลต่อไป...

และต่อไปเรามีโครงการจะทำป่าเปียก  โดยใช้พลังงานโซล่าเซลล์  ดึงน้ำจากอ่างเก็บน้ำขึ้นไปพักบนถัง  แล้วค่อยๆ ปล่อยน้ำลงมา  โดยเฉพาะในช่วงหน้าแล้ง  เพื่อทำให้ดินและผืนป่ามีความชุ่มชื้นเป็นป่าเปียก  ไม้ใหญ่น้อยก็จะได้เติบโต  มีความอุดมสมบูรณ์  และหากเกิดไฟป่า  ป่าเปียกก็จะเป็นแนวป้องกันไฟป่าได้ด้วย”  ผู้ใหญ่ยอดเผยถึงนวัตกรรมชุมชนที่ชาวตำบลสรอยจะทำ  เพื่อดูแลดินน้ำป่าตามแนวศาสตร์พระราชาต่อไป...!!

อ่างเก็บน้ำห้วยแม่ปะยางรองรับน้ำแม่สรอย  รอบอ่างเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมต่างๆ ในอ่างมีปลา  กุ้ง  เป็นแหล่งอาหาร  และนำรายได้มาพัฒนาชุมชนประมาณปีละ 2 แสนบาท

************

เรื่องและภาพ :   สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

พะเยา-เชียงราย-แพร่-น่าน จัด'วิ่งเลาะเวียงเมืองล้านนาตะวันออก' 4จังหวัด4สนาม

พะเยา เชียงราย แพร่ น่าน ผนึกกำลัง 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2  จัดใหญ่งานวิ่งเลาะเวียงเมืองล้านนาตะวันออก  กว่า 700 คนเหล็กเตรียมตบเท้าเข้าร่วม  4 จังหวัด 4 สนาม เริ่มสนามแรก วันที่ 30 พ.ย.-1  ธ.ค. 67  ที่จังหวัดพะเยา 

รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน

รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด

เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”

คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย

บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ

สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ