เครือข่ายภาคประชาชนร่วมกับชมรมแพทย์ชนบทตรวจโควิดเชิงรุกในชุมชนแออัด กรุงเทพฯ ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ประมาณ 300 ชุมชน มีชาวชุมชนเข้ารับการตรวจประมาณ 200,000 คน
กรุงเทพฯ เป็นจุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ก่อนจะลุกลามไปทั่วประเทศ เมื่อมีการปิดประเทศ ปิดห้างร้าน สถานบริการ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้วงจรธุรกิจหยุดชะงัก ผู้คนตกงาน ขาดรายได้ โดยเฉพาะประชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งส่วนใหญ่ทำงานรับจ้าง อยู่ในภาคบริการต่างๆ เช่น แม่บ้านทำความสะอาดสำนักงาน รปภ. ลูกจ้างร้านอาหาร ผับ บาร์ ร้านค้า วินมอเตอร์ไซค์ ขับแท็กซี่ รถรับจ้าง ฯลฯ และส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ
ข้อมูลจากการศึกษาของกรุงเทพมหานครในปี 2561 ระบุว่าในกรุงเทพฯ มีชุมชนทั้งหมดจำนวน 2,071 ชุมชน ในจำนวนนี้เป็นชุมชนแออัดจำนวน 638 ชุมชน อย่างไรก็ตาม ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ เหล่านี้มีส่วนร่วมในการป้องกันการแพร่ระบาด การจัดมาตรการป้องกันและช่วยเหลือกันในชุมชน เช่น แจกจ่ายอุปกรณ์ป้องกัน หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ประสานการตรวจหาเชื้อ-ฉีดวัคซีน จัดทำที่กักตัวในบ้าน (Home Isolation - HI) ศูนย์พักคอยชุมชน (Community Isolation - CI) ฯลฯ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดในชุมชนแออัดที่มีทีท่าว่าจะทวีความรุนแรงผ่อนคลายลง
ประสบการณ์และบทเรียนการทำงานของชุมชนและหน่วยงานต่างๆ ที่มีบทบาทในการสนับสนุนชุมชนเหล่านี้ ได้นำมาสรุปเป็น ‘บทเรียนการจัดการโควิดโดยชุมชน’ โดยมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย เครือข่ายคนไร้บ้าน เครือข่ายสลัม 4 ภาค มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เครือข่ายผู้ติดเชื้อ และคลินิกพริบตา / IHRI โดยมีเนื้อหาบางส่วนดังนี้
แพทย์ชนบทตรวจโควิดให้ผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยถึงบ้าน
บทบาทชุมชนในการจัดการโควิด-19
นพพรรณ พรหมศรี เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย กล่าวว่า การทำงานร่วมกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค คนไร้บ้าน งานที่ทำทำ 3 เรื่องใหญ่ คือ 1.เรื่องการจัดระบบชุมชนในการรับมือ Covid-19 2.การสนับสนุนเรื่องอาชีพ เรื่องอาหาร การลดรายจ่าย ปลูกผักสวนครัว การทำตลาดช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในชุมชน และ 3.สำรวจข้อมูล โดยทำหลายรอบ ภายหลังจะจัดทำฐานข้อมูลและสำรวจขนาดใหญ่ครั้งเดียว เพื่อนำไปใช้ได้เลย และต่อไปจะพัฒนาเป็น Application ในการเก็บข้อมูล
“จากการถอดบทเรียน พบว่า บทบาทชุมชนในการมีส่วนร่วมดูแลจัดการ Covid-19 ต้องดำเนินการ ดังนี้ 1.การสร้างความเข้าใจเรื่องการอยู่ร่วมกันแบบเข้าใจ ไม่ตีตรากัน 2.การส่งเสริมให้เข้าถึงวัคซีนในชุมชน 3.การดูแลคนและเข้าถึงคนที่เสี่ยงสูงให้ได้รับการตรวจหาเชื้อ 4.ดูแลคนที่ติดเชื้อเพื่อเข้าถึงการรักษาที่รวดเร็ว เน้นไปที่ระบบ Home Isolation กรณีรุนแรงส่งต่อไปที่สถานพยาบาล ทำงานร่วมกับภาคีที่เราจับคู่ คือ คลีนิคพริบตา และเครือข่ายผู้ติดเชื้อ เครือข่ายเข้าถึงเอดส์มาร่วมทำงานด้วย” เลขาธิการมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัยบอก
นพพรรณ พรหมศรี
นอกจากนี้จะต้องมีการเตรียมความพร้อมของชุมชน คือ 1.เตรียมแกนนำชุมชน ให้ความรู้ความเข้าใจเรื่อง Covid-19 ให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะความรู้มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนไปเรื่อยตามสถานการณ์ 2.วิเคราะห์สถานการณ์ ความเสี่ยงของชุมชน ทำฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการวางแผนการรับมือ
3.ประชุมทำความเข้าใจกับชุมชนและชุมชนรอบข้างด้วย 4.สำรวจพื้นที่ในชุมชนว่าในชุมชนมีพื้นที่ในการจัดทำศูนย์พักคอย เพื่อแยกคนที่มีความเสี่ยงสูงออกมา โดยใช้พื้นที่ชุมชนให้เกิดประโยชน์ 5.ต้องมีคลังยาหรืออุปกรณ์สำรองไว้ที่ชุมชน 6.มีการพัฒนาศักยภาพแกนนำ ทีมดูแลผู้ป่วย ทีมสนับสนุนอาหาร ทีมรับ-ส่งผู้ป่วย ทีมประสานงานหน่วยงาน การทำความสะอาดเรื่องสถานที่
7.จัดให้มีระบบการคัดกรอง โดยวิธีการตรวจแบบเร็ว ATK โดยฝึกให้ชุมชนตรวจได้เอง จะได้รู้ว่าใครเสี่ยง จะได้นำมาแยกตัว จัดการเข้าถึงระบบการรักษา ลดการแพร่กระจายเชื้อ ชุมชนสามารถควบคุมเรื่องการติดเชื้อได้ 8.ต้องมีช่องทางการเข้าถึงการรักษาผู้ติดเชื้อ
ส่วนการทำงานกับกลุ่มคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สาธารณะนั้น จะต้องพัฒนาช่องทางที่จะทำให้คนไร้บ้านเข้าถึงการช่วยเหลือ การบริการ การรักษาพยาบาลได้โดยง่าย จึงได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งจุดประสานงานคนไร้บ้านในพื้นที่สาธารณะ ทำให้คนไร้บ้านเข้าถึงได้ง่าย มีเรื่องอาหาร อุปกรณ์การป้องกัน Covid-19 ลงทะเบียนฉีดวัคซีน การคัดกรอง หากเจ็บป่วยจะเข้าถึงสถานพยาบาลอย่างไร โดยจัดทำขึ้นในหลายจังหวัด เช่น ระยอง กาญจนบุรี ขอนแก่น เชียงใหม่
นอกจากนี้กลุ่มคนไร้บ้านยังมีปัญหาเรื่องอาชีพ เรื่องรายได้ เราจึงสนับสนุนเรื่องอาชีพ เช่น การปลูกผักสวนครัว ให้เขามีพื้นที่ในการขายของ ตอนนี้อาชีพที่สำคัญที่ทำได้ คือ อาชีพยาม ทำให้คนไร้บ้านมีอาชีพมากขึ้น
คนไร้บ้านที่ศูนย์สุวิทย์ วัดหนู เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ รับการตรวจหาเชื้อโควิด
นพพรรณบอกด้วยว่า จากการทำงานพบว่า ชุมชนมีศักยภาพในการจัดการกับโรคอุบัติใหม่ได้ หากหน่วยงานในระบบสาธารณสุขให้ชุมชนลุกขึ้นมาจัดการเรื่องนี้ จะทำให้จัดการชุมชนได้เป็นอย่างดี ลดภาระของหน่วยบริการได้ และจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว
“ปัญหาสำคัญ คือ เรื่องความคิดความเชื่อของคนในชุมชน รวมทั้งในฝั่งผู้ให้บริการด้วย ว่าหากเจ็บป่วยต้องไปสถานพยาบาล ไปหาหมอ หรือบุคลากรทางวิชาชีพเท่านั้นที่จะต้องดูแลเรื่องนี้ เวลาที่ชุมชนลุกขึ้นมาจัดการก็จะไม่ได้รับการยอมรับเท่าไหร่ หรือการทำงานร่วมกับหน่วยบริการในพื้นที่ที่เป็นหน่วยบริการพื้นฐานสาธารณสุขอาจจะไม่ได้รับความร่วมมือ เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ชุมชนลุกขึ้นมาจัดการ จะเจอกับวิธีคิดแบบเดิมๆ ซึ่งจะต้องใช้ประสบการณ์ในการขยายผล และต่อสู้กับวิธีคิดในเรื่องนี้ เพื่อทำให้ชุมชนเข้มแข็งและลุกขึ้นมาจัดการตัวเองได้ หากเขาจัดการเรื่องนี้ได้เขาก็จัดการในหลาย ๆ เรื่องได้” นพพรรณย้ำถึงบทบาทของชุมชนในการรับมือกับโควิด
อุปสรรคการทำงานของชุมชน
นอกจากบทสรุปจากนพพรรณดังกล่าวแล้ว แกนนำชุมชนเครือข่ายสลัม 4 ภาค และเครือข่ายคนไร้บ้านได้ร่วมกันสะท้อนปัญหาและอุปสรรคในการทำงานของภาคประชาชนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีเนื้อหาบางส่วน เช่น
“อยากให้มีหน่วยงานที่เราโทรไปปรึกษาแล้วอธิบายให้เราเข้าใจได้ ถามไว ตอบไว คุยกับเราด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ไม่ดุ”
“วัคซีนเข้าถึงยากสำหรับคนบางกลุ่ม เช่น แรงงานข้ามชาติ และคนในชุมชนยังมีความคิดความเชื่อเรื่องวัคซีน”
“ความไม่เชื่อมั่นของคนในชุมชนในระยะแรกว่าแกนนำจะสามารถทำงานและจัดการเรื่องการดูแลรักษาโควิดเบื้องต้นได้ ยังมีการต่อต้านหรือกังวลหากมีการดูแลที่บ้านหรือชุมชน”
“หน่วยบริการที่เข้าใจการทำงานกับชุมชนมีน้อย ทั้งในเชิงแนวคิดและการบริหารจัดการ”
“ในหลายพื้นที่ยังไม่สนับสนุนการทำ CI, HI เพราะกังวลเรื่องการอยู่ร่วมบ้าน คิดว่าอยู่ร่วมบ้านทำไม่ได้ รวมทั้งคิดว่าผู้ติดเชื้อไม่มีวินัย และยังไม่เห็นบทบาทว่าชุมชนจะมีส่วนร่วมได้อย่างไร”
“เจ้าหน้าที่รัฐ (ศูนย์สาธารณสุข กทม. ฝ่ายปกครอง) ไม่ให้ความร่วมมือในการทำ CI / HI ไม่เชื่อว่าแกนนำชุมชนจะทำเรื่องศูนย์การดูแลรักษาชุมชนได้ ‘เพราะไม่ได้เป็นหมอ’ กลัวไม่มีความรู้ในการจัดการโรคระบาด ทำให้เกิดการแพร่ระบาดเพิ่ม”
“เจ้าหน้าที่ทำงานไม่ครบวงจร เช่น มาตรวจคัดกรอง แต่เมื่อพบเจอผู้ติดเชื้อแล้วไม่ช่วยรับผิดชอบในการดูแลรักษาหรือส่งต่อ หรือส่งต่อแล้วไม่มีการติดตามอาการ”
“เกณฑ์เรื่อง CI ของรัฐไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในชุมชน ต้องมีการสนับสนุนให้เกิด CI ของชุมชน จัดการโดยชุมชน”
ข้อค้นพบจากการทำงาน : ความรู้ความเข้าใจใหม่เรื่องโควิด
1.จากโรคระบาดสู่โรคติดต่อที่สามารถดูแลรักษา ป้องกัน อยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ต้องใส่ชุด PPE หรือเสื้อกันฝน แค่หน้ากากและสเปรย์ก็ป้องกันได้ ไม่ได้ทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่ม (ถ้าคนมีองค์ความรู้ว่าเชื้ออยู่ที่ไหน ส่งต่ออย่างไร ป้องกันอย่างไร ปิดทางเข้าทางออก จัดการเรื่องการระบายอากาศ และเว้นระยะห่าง)
2.จากการ SWAB ATK หรือการให้อ๊อกซิเจนเป็นเรื่องของหมอหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข กลายเป็นเรื่องที่ชุมชนสามารถทำได้
3.การทำงานโควิดต้องปะทะกับความคิดความเชื่อของคน เราต้องรับฟัง ทำความเข้าใจ ‘โลก’ ของเขา ไม่ใช่แค่ ‘โรค’ เท่านั้น
4,จากศูนย์พักคอยสู่ศูนย์ดูแลรักษาโควิดในชุมชน (ติดโควิดไม่ต้องคิดถึงโรงพยาบาล สามารถดูแลรักษาตัวที่บ้านหรือในชุมชนได้)
5.กักตัวแค่ 10 วันเท่านั้น และหลังกักตัวครบสามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตได้ ไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อซ้ำ เพราะอาจเจอซากเชื้อซึ่งให้ผลบวก
6..ATK ไม่ใช่เครื่องมือในการป้องกัน กีดกัน หรือบังคับตรวจ แต่ใช้เพื่อให้คนเข้าถึงการรักษา
ข้อเสนอจากชุมชน : การสื่อสารสาธารณะ
1.ให้ความหมายใหม่ โดยไม่ใช้เลนส์โรคระบาด หรือไปจดจ่ออยู่กับจำนวนผู้ติดเชื้ออีกต่อไป (เป็นมลภาวะทางความคิด) แต่ต้องเน้นว่าโควิดเป็นโรคประจำถิ่น เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมันได้
2.สื่อสารเรื่องการอยู่ร่วมกันได้ทั้งที่บ้านและชุมชน เด็ก ผู้ใหญ่ “โควิดป้องกันได้ รักษาได้ อยู่ร่วมกันได้”
3.หน้าที่ป้องกันเป็นของทุกคน ไม่เฉพาะคนที่ติดโควิด เราต้องป้องกันเสมือนว่าทุกคน รวมถึงตัวเรามีเชื้อโควิด
4.ใช้ภาษาที่คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ซึ่งให้ความเคารพ และไม่จำกัดสิทธิคน ตีตรา เลือกปฏิบัติ
5.การตรวจ ATK สำหรับผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง (สัมผัสผู้ติดเชื้อโดยตรง) หรือมีอาการเท่านั้น เพื่อให้เข้าถึงการรักษา ไม่ใช่เป็นไปเพื่อการกีดกัน
6.รณรงค์ให้คนกลับไปทำงานได้หลังกักตัวครบ 10 วัน โดยไม่ต้องกักตัวเพิ่มหรือตรวจซ้ำ
7.การสื่อสารเรื่องวัคซีนควรเน้นเรื่องการช่วยป้องกันไม่ให้ป่วยหนักและเสียชีวิต และป้องกันคนรอบข้างด้วย ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงจากการฉีดวัคซีนที่มีไม่มาก
ข้อเสนอการสนับสนุนคนและชุมชนในการดูแลตัวเอง
1.รัฐควรมีนโยบายสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลจัดการโควิดในชุมชน ด้วยการทำ HI, CI ร่วมกับหน่วยบริการในพื้นที่ และเป็น ‘CI ชุมชน’
2.จัดให้คนที่สามารถจัดการตัวเองได้อยู่ที่บ้านได้โดยคนรอบข้างเข้าใจ ไม่กลัวกังวล และคนที่อยู่ที่บ้านรู้สึกปลอดภัย มั่นใจ สบายใจ (กระบวนการเตรียมคนในบ้าน คนข้างบ้าน ชุมชน)
3.กรณีที่ไม่สามารถอยู่ที่บ้านได้ ควรจัดให้มีพื้นที่กลาง หรือ CI ชุมชน 4.จัดให้มีกลไกในการรับมือหรือให้ความช่วยเหลือ กรณีผู้ติดเชื้อโควิดถูกเลือกปฏิบัติ การเผชิญความเครียด การตีตราตนเอง พร้อมทั้งมีกระบวนการในการสร้างความเข้าใจกับชุมชน โรงเรียน ที่ทำงาน ฯลฯ
ทั้งหมดนี้เป็นข้อเสนอบางส่วนของชาวชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ ที่ผ่านประสบการณ์การทำงานช่วยเหลือกันในการดูแลและป้องกันโควิด-19 ในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา จึงสมควรยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับฟัง และนำไปปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้ชุมชนสามารถรับมือกับโควิดต่อไปได้ ที่สำคัญคือจะช่วยลดภาระของหน่วยบริการด้านสาธารณสุข และจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมในระยะยาว เพราะวันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า...โควิด-19 จะยืดเยื้อยาวนานไปอีกเพียงใด !!
ชุมชนในเขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ จัดอาสาสมัครในชุมชนดูแลครอบครัวผู้ติดเชื้อ ช่วยลดภาระบุคลากรสาธารณสุข
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน
UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’
รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567
ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’
‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน
รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด
เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”
คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย
บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ
สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ
รมว.พม. แจ้งตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง ใน 13 จว. ช่วยกลุ่มเปราะบาง-ผู้ประสบภัยน้ำท่วมริมแม่น้ำโขง ด้าน พอช. พร้อมอนุมัติงบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติภาคเหนือและอีสาน
จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลกระทบในพื้นที่ 8 จังหวัด 47 อำเภอ 207 ตำบล 22,817 ครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา