‘ดร.กอบศักดิ์’ ประธานบอร์ด พอช. : เดินหน้าเปลี่ยนประเทศไทย สร้างชุมชนเข้มแข็ง ใช้ศูนย์เด็กเป็นฐาน พัฒนาคนตั้งแต่ปฐมวัย นำร่อง 60 แห่งทั่วประเทศ

ดร.กอบศักดิ์  ประธานบอร์ด พอช.  เยี่ยมชมศูนย์พัฒนาเด็กที่ตำบลบางคู้  อ.เมือง  จ.ลพบุรี  เมื่อเร็วๆนี้ (ภาพ facebook ดร.กอบศักดิ์)

“มหาวิทยาลัยมหิดลไปทำการศึกษาเรื่องเด็กๆ บอกว่า  เด็กไทยแรกเกิดไม่ได้แตกต่างจากเด็กต่างประเทศเลย  แต่พออายุ 6 ขวบ  ไปวัดเรื่องพัฒนาการ  ปรากฎว่าไอคิวของต่างประเทศอยู่ประมาณ 100 -110  ประเทศไทยอยู่ที่ 80 - 90 และพอไปวัดอีกตอนอายุ 12-13 ปี  ได้ผลเท่าเดิม  ทุกพื้นที่ใกล้เคียงกันหมด. 

คำถามคือว่า...ตอนเกิดเราโตเท่าเขา  และพอ 6 ขวบมีความแตกต่าง  เพราะหลังจาก 6 ขวบไปเรียนหนังสือก็ไปเข้าโรงเรียนเล็ก  อาจารย์น้อย  คุณภาพไม่ดี  พออายุ 18ปีก็ยิ่งแตกต่างกันไปใหญ่  แตกต่างกันขนาดนี้  แล้วชีวิตจะแตกต่างกันขนาดไหน ?  ถ้าเราสามารถจัดการปัญหาตอนเด็กได้ความเหลื่อมล้ำก็จะลดลง...”  ดร.กอบศักดิ์  ภูตระกูล เปิดประเด็น

จากผู้บริหารแบงก์-ตลาดทุน...สู่งานพัฒนาชุมชน

ชื่อของ ดร.กอบศักดิ์  ภูตระกูล’ อาจจะเป็นที่รู้จักของสังคมในหลายแง่มุม  หลายมิติ  เช่น  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ (ลาออกเมื่อกรกฎาคม 2563) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ  ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย  นักเศรษฐศาสตร์  นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ  ตลาดทุนโลก  เศรษฐกิจไทย  ฯลฯ

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ดร.กอบศักดิ์  เป็นผู้ที่สนใจการพัฒนาประเทศจากสังคมฐานราก  ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งผู้ช่วย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในปี 2559  โดยเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ชุมชนท้องถิ่นจัดขึ้นหลายครั้ง  โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและการสนับสนุนชุมชนเข้มแข็งที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช.’ จัดขึ้น

ดร.กอบศักดิ์เยี่ยมสถาบันการเงินชุมชนตำบลดงขี้เหล็ก  อ.เมือง  จ.ปราจีนบุรี  เมื่อปี 2561

การพัฒนาประเทศในช่วงที่ผ่านมา  เรามาผิดทาง  เพราะยิ่งพัฒนายิ่งมีช่องว่างขึ้นเรื่อย ๆ  เจ้าสัวมีเงินเพิ่มขึ้น  แต่ประชาชนมีรายได้ลดลง  การพัฒนาเมืองไทยจึงเหมือนคนเป็นโรคตานขโมย   คือ  หัวโต  พุงโร  ก้นปอด   ภาคตะวันออกโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ส่วนอื่นที่เป็นแขนขา  หมู่บ้านต่างๆ  ลีบไปเรื่อย ๆ  หมู่บ้านมีแต่คนแก่และผู้สูงอายุ...

ที่ดินก็ยิ่งหายไป  ยิ่งพัฒนาคนส่วนใหญ่ยิ่งไม่มีที่ดินทำกิน  คนรวย 20  เปอร์เซ็นต์  มีที่ดิน 80 เปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศ  รายได้ห่างกัน 10 เท่า  หากพัฒนาอย่างนี้ไม่สำเร็จ  การพัฒนาที่คนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”  ดร.กอบศักดิ์กล่าวในงานสัมมนาครั้งหนึ่งที่จัดขึ้นที่ พอช. สะท้อนมุมมองและตัวตนของเขา

ในเดือนกันยายน 2565  คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  เสนอชื่อ ดร.กอบศักดิ์  เป็นประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ ‘ประธานบอร์ด พอช.’ คนใหม่  แทนประธานคนเดิมที่หมดวาระ

นับแต่ย่างก้าวสู่ พอช.  ดร.กอบศักดิ์ในฐานะประธานบอร์ด  พร้อมด้วยผู้บริหาร พอช.  ผู้นำขบวนองค์กรชุมชน  รวมทั้งภาคีเครือข่าย  ได้ริเริ่มขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนในมิติใหม่ๆ หลายด้าน  เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และตอกย้ำแนวทางการพัฒนาจาก  ล่างขึ้นบน ที่ พอช.ยึดโยงชาวบ้านและชุมชนเป็นแกนหลักในการทำงานมาตลอด  ไม่ใช่จาก บนลงล่าง เหมือนการพัฒนาประเทศในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ยังประสานงาน  เชิญชวนภาคเอกชน  หน่วยงานรัฐ องค์กรต่างประเทศ  มาร่วมกันสนับสนุนชุมชน เช่น  โครงการป่าชุมชน-ฝายมีชีวิต  สร้างพื้นที่สีเขียว ลดภาวะโลกร้อน  ปลูกต้นไม้เป็นบำนาญยามชรา  การจัดการขยะ  การนำนวัตกรรม  เทคโนโลยี  การสื่อสารออนไลน์มาใช้  การสร้างผู้นำชุมชน  การพัฒนาคนตั้งแต่ปฐมวัย  เพื่อนำไปสู่การพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงประเทศ

ใช้ศูนย์เด็กเล็กเป็นฐาน  พัฒนาคนตั้งแต่ปฐมวัย 

ดร.กอบศักดิ์  ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน  โดยมีแนวคิดในการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ๆ ให้มีความรู้  สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาชุมชน  นำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจชุมชน  สร้างชุมชนให้เกิดความเข้มแข็งในทุกมิติ  เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศ แต่ทั้งนี้จะต้องเริ่มพัฒนาคนตั้งแต่เด็ก  โดยเฉพาะในช่วง 6 ปีแรกของชีวิต  เพราะเป็นช่วงที่เด็กกำลังมีพัฒนาการ  ทั้งด้านร่างกาย  สติปัญญา  อารมณ์  และสังคม  หากมีการส่งเสริม  สร้างสิ่งแวดล้อม  จัดการเรียนรู้  การเล่น  ให้เหมาะสม  เด็กๆ ก็จะมีพัฒนาการที่ดี  มีไอคิวไม่ต่างจากเด็กต่างประเทศ

“ถ้าเราสามารถจัดการปัญหาตอนเด็กได้ความเหลื่อมล้ำก็จะลดลง  เด็กจะมีพื้นฐานตอนอายุ 6 ขวบเท่ากัน  หลังจากนั้นไปจัดการตอนเรียนหนังสืออีกที  ถ้าเราทำตรงนี้ได้ก็จะทำให้ทุกคนโตขึ้นมาอย่างเต็มศักยภาพ  พอเข้าสู่ตลาดแรงงานก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก  ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยก็จะลดลงโดยปริยาย...  

นี่คือหนึ่งโครงการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความร่ำรวยให้กับชุมชนอย่างแท้จริง   เพราะหากเด็กเรามีศักยภาพ  สติปัญญาดี  พัฒนาการดี  ในอนาคตเขาจะเป็นผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งต่อไป  และจะเป็นคนหารายได้ที่สำคัญ  และที่สำคัญคือชุมชนจะมีความสุข”  ดร.กอบศักดิ์บอกถึงแนวคิดและเป้าหมายในการพัฒนาคนตั้งแต่เด็ก

เพื่อทำเรื่องนี้ให้เป็นจริง  ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  ดร.กอบศักดิ์  พร้อมผู้บริหาร พอช. และผู้นำชุมชนได้เดินทางไปศึกษาดูงานที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลบางคู้  อ.ท่าวุ้ง  จ.ลพบุรี  โดยครั้งหลังนี้มีผู้แทนจากภาคธุรกิจคือกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด  และธนาคารกรุงเทพ  เดินทางไปด้วยเพื่อดูช่องทางการสนับสนุนการพัฒนาศูนย์เด็ก  เช่น  ด้านสื่อการเรียนรู้  ของเล่น  หนังสือภาพ  นิทาน  ฯลฯ 

ดร.กอบศักดิ์และคณะเยี่ยมชมศูนย์พัฒนาเด็กที่ลพบุรี  เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งนี้  เปิดรับเด็กช่วงอายุ 3-6 ขวบ  ดำเนินการโดย อบต.บางคู้  ถือเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบแห่งหนึ่งที่นายแพทย์สันติ  ลาภเบญจกุล  ผอ.รพ.ท่าวุ้ง  และนางอุไรลักษณ์  ลาภเบญจกุล  ผู้บริหารโครงการพัฒนาเด็กปฐมวัย (ICAP) ได้นำรูปแบบการเรียนแบบ ‘ไฮสโคป’ มาใช้ที่นี่  

‘ไฮสโคป’ (High  Scope)  เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือทำผ่านมุมกิจกรรมที่หลากหลาย  โดยมีของเล่น  หนังสือ  สื่อ  อุปกรณ์การเรียน และกิจกรรมต่างๆ  ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กเป็นตัวช่วย โดยปล่อยให้เด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระด้วยตัวเอง

“จากศูนย์เด็กแบบเดิมๆ เราสามารถจัดมุม  มีมุมนิทาน  มุมศิลปะ  มุมตัวต่อ และมุมวิทยาศาสตร์ เด็กๆ ก็เล่นไป พอเล่นเสร็จก็ต้องมาเล่าให้เพื่อนฟัง  แล้วทุกคนต้องยกมือถาม  เชื่อไหมว่า...พ่อแม่เด็กๆ บอกว่าพอเข้ากระบวนการใหม่ภายใน 3 เดือนจำลูกตัวเองไม่ได้ การพัฒนาทางจิตใจ อารมณ์ และฝึกให้เด็กหยุดนิ่งเป็น การที่หยุดนิ่งได้...มันหมายถึงว่าในอนาคตเขาจะสามารถต่อสู้กับความปรารถนาในทางที่ไม่ถูกต้องได้  จะสามารถยับยั้งในสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้” ดร.กอบศักดิ์กล่าว

หัวใจของการจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป  

ไฮสโคป มีพื้นฐานแนวคิดมาจาก ‘ทฤษฎีของเพียเจท์’ (นักจิตวิทยาชาวสวิสเซอร์แลนด์ ผู้เชี่ยวชาญทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญา) ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ ซึ่งเด็กสามารถสร้างความรู้ได้เองโดยใช้กระบวนการสร้างสรรค์การเรียนรู้  ผ่านการกระทำของตน  และการประเมินผลงานอย่างมีแบบแผน

โดย ดร.เดวิด ไวคาร์ท ประธานมูลนิธิวิจัยการศึกษาไฮสโคป ได้ร่วมทำงานกับคณะวิจัย  เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป  โดยใช้พื้นฐานจากโครงการเพอรี่พรีสคูลที่มีมาตั้งแต่ปี 2505 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้มีการศึกษาที่เหมาะสมและประสบความสําเร็จในชีวิต

ในการศึกษาวิจัย มูลนิธิได้ศึกษาเปรียบเทียบเด็ก 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มที่ได้รับการสอนจากครูโดยตรง 2.กลุ่มเนอร์สเซอรี่แบบดั้งเดิม  และ 3.กลุ่มที่ได้รับประสบการณ์โปรแกรมไฮสโคป ซึ่งจากการศึกษาติดตามเด็กเหล่านี้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงอายุ 29 ปี พบว่า...

“กลุ่มที่เรียนด้วยโปรแกรมไฮสโคปนั้น  มีปัญหาพฤติกรรมทางสังคมและอารมณ์ เช่น การถูกจับข้อหาลักขโมย ทำร้ายผู้อื่น บกพร่องทางอารมณ์ และล้มเหลวในชีวิตน้อยกว่าอีก 2 กลุ่มขั้นต้น จึงอนุมานได้ว่า  โปรแกรมนี้มีผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กและการเติบโตในอนาคต”

มุมอุปกรณ์เครื่องครัวและเสื้อผ้า  ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ  เมื่อเล่นแล้วต้องนำมาเก็บที่เดิม  เป็นการฝึกความรับผิดชอบ

มีกระบวนการ 3 กระบวนการสำคัญ  คือ 1.การวางแผน (Plan) เป็นการให้เด็กกำหนดแนวทางการปฏิบัติ  หรือดำเนินงานตามที่ได้รับมอบหมายหรือตามสิ่งที่ตัวเองสนใจ  โดยครูจะต้องเปิดโอกาสให้เด็กสนทนากับครู  หรือสนทนาระหว่างเพื่อนด้วยกัน  เพื่อวางแผนการทำงานอย่างเหมาะสม ว่าจะทำอะไร อย่างไร ?

การวางแผนกิจกรรมนี้  เด็กต้องมีโอกาสเลือกและตัดสินใจ ซึ่งอาจจะบันทึกด้วยภาพหรือสัญลักษณ์ประจำตัวเด็กหรือบอกให้ครูช่วยบันทึกก็ได้  ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยส่งเสริมความรู้สึกเชื่อมั่นในตนเองของเด็กและความรู้สึกในการควบคุมตนเอง  ทําให้เด็กสนใจในกิจกรรมที่ตนเองได้วางแผนไว้

2.การปฏิบัติ (Do) คือ การให้เด็กลงมือทำกิจกรรมตามแผนที่วางไว้อย่างอิสระตามเวลาที่กำหนด โดยเน้นให้เด็กได้ช่วยกันคิด  ทดลองและแก้ปัญหาร่วมกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย  ได้เรียนรู้ตามประสบการณ์ ค้นพบความคิดใหม่ๆ โดยคุณครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะและให้คำแนะนำมากกว่าจะลงไปจัดการด้วยตัวเอง 

3.การทบทวน (Review) คือกระบวนการที่ให้เด็กสะท้อนผลงานของตัวเองที่ได้ลงมือทำผ่านการพูดคุยหรือแสดงผลต่างๆ เพื่อทบทวนว่าตนเองนั้นได้ปฏิบัติงานตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กได้เชื่อมโยงแผนการปฏิบัติงานกับผลงานที่ทำ  รวมถึงการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ลงมือทำด้วยตนเอง

นำร่องพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก 60 แห่งทั่วประเทศ

การพัฒนาศูนย์เด็กเล็กนำร่องตามแนวทางไฮสโคปนี้ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ ‘พอช.’ จะดำเนินการร่วมกับโครงการพัฒนาเด็กปฐมวัย (ICAP) และสถาบันพัฒนาระบบบริการสุขภาพองค์รวม (สพบ.) โดยจัดทำ ‘โครงการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนผ่านการพัฒนาคน  โดยใช้การพัฒนาศูนย์เด็กเป็นฐาน’ ขึ้นมา เพื่อทำงานร่วมกับผู้นำชุมชน  เครือข่ายองค์กรชุมชน  และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

นายกฤษดา  สมประสงค์  ผู้อำนวยการ พอช. กล่าวว่า  ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้  พอช. จะเปิดเวทีทำความเข้าใจกับชุมชนที่มีความสนใจและมีความพร้อมที่จะพัฒนาศูนย์เด็กเล็กตามแนวทางไฮสโคป  โดย พอช.จะดำเนินการใน 2 รูปแบบ คือ 1.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีอยู่แล้ว 60 ศูนย์  จะดำเนินการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้ร่วมกับท้องถิ่น  และ 2.พื้นที่กลางของชุมชน  จะมีการออกแบบกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อให้เด็กมาทำกิจกรรมร่วมกัน

ทั้งนี้ตามแผนงานของ  พอช. และคณะทำงาน  หลังจากเปิดเวทีสร้างความเข้าใจกับชุมชนที่มีความสนใจที่จะพัฒนาศูนย์เด็กในชุมชน/ตำบลแล้ว  ในเดือนมีนาคม-เมษายน  จะจัดประชุมเพื่อประเมินชุมชนที่มีความสนใจ  เพื่อคัดเลือกชุมชนนำร่องที่มีความพร้อมจำนวน 60 แห่งทั่วประเทศ

หลังจากนั้นจะมีการปฐมนิเทศ  สร้างความเข้าใจกับบุคลากร  ครู  และฝึกปฏิบัติการการจัดการเรียนการสอนแบบไฮสโคปเป็นเวลา 10 วันที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลบางคู้   อ.ท่าวุ้ง  จ.ลพบุรี  เพื่อนำมาพัฒนาศูนย์เด็กเล็กนำร่องภายในปี 2566 จำนวน 10 แห่ง  และขยายเป็น 60 แห่งทั่วประเทศต่อไป  (ภาคละ 12 ศูนย์  จำนวน 5 ภาค  รวม 60 ศูนย์)

สำหรับเป้าหมายในการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กนั้น  1.เพื่อสนับสนุนให้เครือข่ายองค์กรชุมชนขยายผลการทำงาน  การพัฒนาคุณภาพชีวิต  โดยเริ่มต้นตั้งแต่การพัฒนาเด็กปฐมวัย  2.สนับสนุนให้เครือข่ายองค์กรชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กปฐมวัยในชุมชนในศูนย์เด็กเล็กร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  เช่น  อบต.  เทศบาล  และภาคีเครือข่าย  ภาคเอกชน  3.พัฒนาความรู้การดูแลเด็กปฐมวัยในชุมชน  4.สร้างพัฒนาการและการเรียนรู้ที่เหมะสมกับวัย

ดร.กอบศักดิ์  ประธานบอร์ด พอช. กล่าวเสริมว่า  การนำร่องจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป  ขณะนี้มีภาค เอกชน  เช่น  ธนาคารกรุงเทพ  กลุ่มบริษัทเซ็นทรัล  จำกัด  สำนักพิมพ์ประพันสาส์น  ที่พร้อมจะให้การสนับสนุนด้านของเล่น  หนังสือ  อุปกรณ์การเรียนรู้  ฯลฯ ให้แก่ศูนย์พัฒนาเด็ก  คาดว่าจะใช้งบประมาณไม่เกิน 1 แสนบาทต่อ 1 ศูนย์

“พอช. และภาคีเครือข่ายจะเข้าไปหนุนเสริมด้านการพัฒนาบุคลากร  ครู  พี่เลี้ยง  จัดหาอุปกรณ์การเรียนรู้  การเล่น  หนังสือภาพ  หนังสือนิทานมาสนับสนุนศูนย์เด็ก  และสามารถใช้ระบบหมุนเวียนหนังสือหรือของเล่นไปยังศูนย์อื่นๆ ได้  เช่น  เดิมมีหนังสือนิทาน 30 เล่มต่อ 1 ศูนย์  ใน 1 เดือนจะสามารถหมุนเวียนหนังสือไปยังศูนย์ต่างๆ ในภาค จำนวน 12 ศูนย์  ทำให้เด็กได้อ่านหนังสือใหม่ๆ ตลอดปี  รวม 360 เล่ม”  ดร.กอบศักดิ์กล่าว

และย้ำว่า  “ผมคิดว่าถ้าเราให้การดูแลเด็กๆ ที่ดีทั่วประเทศได้ 10 ปีให้หลังคือการเปลี่ยนแปลงประเทศ  และผู้นำชุมชนก็จะแฮปปี้ว่านี่คือสิ่งที่เราสนับสนุนเขาอย่างแท้จริง  ให้ลูกให้หลานเขา  และสามารถทำได้อีกเยอะเลย เช่น ทำเรื่องผัก  ปลูกผักให้เด็กทาน พวกนี้ใช้เงินน้อยและมีพื้นที่อยู่แล้ว  เราจะพยายามทำเรื่องนี้ประกอบกันไป  และผู้นำชุมชนก็พร้อมทำ  เพราะทำแล้วสามารถจับต้องได้  ระยะยาวจะเปลี่ยนแปลงประเทศ”

การเรียนรู้แบบไฮสโคปได้รับความนิยมทั่วโลก ในภาพเป็นเด็กชาวอินโดนีเซียเล่นบทบาทสมมุติเป็นหมอ

***

เรื่องและภาพ:  สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน

รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด

เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”

คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย

บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ

สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ

รมว.พม. แจ้งตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง ใน 13 จว. ช่วยกลุ่มเปราะบาง-ผู้ประสบภัยน้ำท่วมริมแม่น้ำโขง ด้าน พอช. พร้อมอนุมัติงบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติภาคเหนือและอีสาน

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลกระทบในพื้นที่ 8 จังหวัด 47 อำเภอ 207 ตำบล 22,817 ครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา