โขลงช้างจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ที่เข้ามาหากินในตำบลเขาไม้แก้ว
จ.ปราจีนบุรี / ชาวบ้านตำบลเขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี สุดทน โดนช้างป่าจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน บุกลงมากินพืชไร่ สร้างความเสียหาย และเหยียบชาวบ้านบาดเจ็บ-เสียชีวิต ร่วมกันจัดงาน ‘คช RUN พาช้างกลับบ้าน’ จัดงานและวิ่งมินิมาราธอน25-26 ก.พ.นี้ เพื่อระดมทุนเป็นค่าใช้จ่ายให้อาสาสมัครใช้เฝ้าระวังและผลักดันช้างกลับเข้าป่า
นายสุนทร คมคาย ผู้ประสานงาน อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) และที่ปรึกษาสภาองค์กรชุมชนตำบลเขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ตำบลเขาไม้แก้วเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่โขลงช้างป่าจากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไนเข้ามากินพืชไร่ที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้ โดยช้างป่าเริ่มเข้ามาหากินเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว ช่วงแรกๆ ช้างจะเข้ามาไม่เยอะ แต่ในช่วงปี 2563-2564 ช้างเข้ามาเยอะ มากันเป็นโขลง
สุนทร คมคาย แกนนำพัฒนาในตำบลเขาไม้แก้ว ส่งเสริมชาวบ้านทำเกษตรอินทรีย์
“เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไนอยู่ห่างจากตำบลเขาไม้แก้วประมาณ 30-40 กิโลเมตร มีช้างป่าเยอะ อาหารจึงไม่พอกิน ช้างป่าจึงออกหากินไปทั่ว รวมทั้งที่เขาไม้แก้ว เพราะที่นี่เป็นแหล่งปลูกอ้อยส่งโรงงาน พื้นที่ปลูกอ้อยเป็นหมื่นไร่ นอกจากนี้ยังปลูกแตง มันสำปะหลัง และทำนา จึงเป็นอาหารอย่างดีของช้าง ที่ผ่านมาพืชไร่เสียหายคิดเป็นเงินหลายล้านบาท แต่ที่สำคัญคือในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ช้างเหยียบชาวบ้านตายไป 1 คน บาดเจ็บ 4 คน บ้านเรือนเสียหายประมาณ 10 หลัง” สุนทรบอกผลกระทบที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน จัดตั้งเมื่อปี 2520 มีเนื้อที่ประมาณ 643,750 ไร่ หรือ 1,030 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ใจกลางของป่าผืนใหญ่ซึ่งเป็นรอยต่อ 5 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และปราจีนบุรี จำนวนช้างป่าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้อาหารไม่พอกิน ช้างป่าจึงออกตระเวนหากินไปรอบๆ ป่า เช่น ที่ อ.เขาชะเมา จ.ระยอง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว และที่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
ไร่อ้อยในตำบลเขาไม้แก้วนับหมื่นไร่เป็นอาหารโอชะของโขลงช้าง เกษตรกรบางรายต้องหันไปปลูกพืชที่ช้างไม่กิน เช่น ยูคาลิปตัส แต่ก็ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำในดิน
สุนทรบอกว่า จำนวนช้างป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไนนั้น เจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่ามีอยู่ประมาณ 330 ตัว แต่ชาวบ้านเชื่อว่าน่าจะมีมากกว่า 600 ตัว โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ มานี้ช้างจะออกมาหากินเป็นโขลงใหญ่ เฉพาะที่ตำบลเขาไม้แก้วจะมีช้างป่าอยู่หลายโขลงที่เข้ามาหากิน รวมแล้วประมาณ 200 ตัว
เขาบอกด้วยว่า ที่ผ่านมามีเจ้าหน้าที่จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไนประมาณ 7 คนที่เข้ามาประจำการในตำบลเขาไม้แก้ว และมีชาวบ้านที่เป็นอาสาสมัคร ฯ ทสม. และ อปพร. (อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน) ประมาณ 30 คน ร่วมกันจัดเวรยามเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่า โดยการจุดประทัดยักษ์ (ขนาดลูกปิงปอง) และใช้รถยนต์ปิดกั้นหรือบล็อกเส้นทางไม่ให้ช้างผ่านเข้าทำลายพืชไร่ หรือเข้ามาในหมู่บ้าน
ส่วนหนึ่งของอาสาสมัครที่เฝ้าระวังช้างในยามค่ำคืน
“พอเราจุดประทัดไล่ ช้างก็จะหนีกลับออกไป แต่พอ 2-3 วันก็จะกลับเข้ามาอีก แต่ตอนหลังๆ นี้ ช้างเริ่มชินเสียงประทัดแล้ว ไล่ไม่ค่อยไป หรือไปแล้วก็มีช้างโขลงอื่นเข้ามาอีก ชาวบ้านจึงอยากจะให้มีการแก้ไขปัญหาระยะยาว” สุนทรบอก
เขาบอกว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายอรรถพล เจริญชันษา รักษาราชการอธิบดี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้เดินทางมาดูพื้นที่และพูดคุยกับชาวบ้าน ตนจึงได้เสนอแนวคิดการแก้ไขปัญหาช้างป่าลงมาหากินในพื้นที่ว่า ควรใช้พื้นที่สัมปทานป่าไม้ของบริษัทสวนป่ากิตติที่หมดสัมปทานแล้ว บริเวณเขตติดต่อกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน อ.สนามชัยเขต เนื้อที่ประมาณ 8,000-9,000 ไร่
เพื่อนำมาเป็นพื้นที่รองรับช้าง โดยการปลูกพืชอาหาร เช่น อ้อย หญ้า ฯลฯ แล้วขุดคูกั้นโดยรอบเพื่อไม่ให้ช้างออกมานอกพื้นที่ แต่ช้างยังสามารถกลับเข้าป่าได้ หากทำแบบนี้ได้จะทำให้ช้างมีแหล่งอาหาร และยกระดับเป็นการท่องเที่ยวแบบซาฟารีได้ และควรจะทำในทุกพื้นที่ที่มีปัญหา จะทำให้ลดผลกระทบ ชาวบ้านสามารถทำมาหากินและใช้ชีวิตได้ตามปกติ และจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวแบบนี้ด้วย
ส่วนหนึ่งของช้างที่จับได้ เจ้าหน้าที่จะนำกลับคืนป่า
ส่วนการจัดงาน ‘คช RUN พาช้างกลับบ้าน’ สุนทรบอกว่า เนื่องจากที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เป็นอาสาสมัครคอยเฝ้าระวังและผลักดันช้างที่มีอยู่ประมาณ 30 คน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจาก อบต. , อปพร. และผู้บริจาค เพื่อเป็นค่าเครื่องดื่ม น้ำมันรถยนต์ จัดหาอุปกรณ์ เช่น ประทัดยักษ์ วิทยุสื่อสาร แต่ยังไม่เพียงพอ เงินที่มีผู้สนับสนุนร่อยหรอลงเรื่อยๆ แกนนำในตำบลจึงร่วมกับ อบต. สภาองค์กรชุมชนตำบลเขาไม้แก้ว ฯลฯ จัดงานนี้ขึ้นมา เพื่อระดมเงินเข้ากองทุนผลักดันช้าง
โดยจะมีการจัดงานตั้งแต่เย็นวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่บริเวณลานกิจกรรมศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์บ้านเขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี โดยจะมีการจำหน่ายอาหารเพื่อสุขภาพ ผักอินทรีย์ ชมดนตรี กางเต็นท์ดูดาวเคล้าลมหนาว คิดค่าบริการกางเต็นท์คนละ 100 บาท
ส่วนเช้าวันที่ 26 กุมภาพันธ์ จะจัดวิ่งมินิมาราธอน ชาย-หญิง ระยะทาง 5 และ 10 กิโลเมตร เริ่มลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 04.30 น. ค่าสมัครคนละ 500 บาท และประเภท VIP คนละ 1,000 บาท ผู้สมัครจะได้รับเสื้อยืดสำหรับวิ่ง ผู้ชนะแต่ละประเภทจะได้รับถ้วยรางวัลจากพลเอกเฉลิมชัย สิทธิสารท องคมนตรี
ผู้สนใจร่วมงานติดต่อได้ที่ 089-4940040 และ 094-6816635
ภาพ : กองทุนพาช้างกลับบ้าน
เรื่อง : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สุดสลด! 'ช้างภูหลวง' โดนกับดักสปริงรัดงวงจนเสียชีวิต
เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง พบซากช้างป่าเพศผู้โตเต็มวัยเสียชีวิต หลังถูกกับดักสปริงรัดบริเวณงวง ในพื้นที่ห้วยน้ำริน บ้านสองคอน ตำบลปลาบ่า อำเภอภูเรือ
สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน
UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’
รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567
ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’
‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน
รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด
เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”
คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย
บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ
สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ