ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน โพสต์Facebook ส่วนตัวระบุถึง ความเคลื่อนไหวการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Federal Open Market Committee (FOMC) เป็นไปตามคาดที่มีมติขึ้นดอกเบี้ย +0.75% เป็น 4.00% โดยเป็นการขึ้นครั้งละ +0.75% เป็นครั้งที่สี่ หลังจากที่เคยขึ้นมาแล้วเมื่อ 16 มิถุนายน, 27 กรกฎาคม, 21 กันยายน และสองครั้งก่อนหน้าก็ขึ้นดอกเบี้ยไป +0.25% เมื่อ 17 มีนาคม และ +0.5% เมื่อ 5 พฤษภาคม
สะท้อนให้เห็นว่า ในระยะเวลาเพียงแค่ 6 เดือน FOMC มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยไปแล้วถึง +3.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายขยับขึ้นมาจาก 0.25% เป็น 4.0% แล้ว และยังคงส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีก เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ แต่คาดว่า จากนี้ไป คงขึ้นครั้งละไม่มากเท่านี้ น่าจะเป็นครั้งละ +0.25 ถึง +0.5% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะไปแตะระดับสูงสุดปีหน้าที่ประมาณ 4.75% ถึง 5.0%
ภารกิจหลักของธนาคารกลางสหรัฐ คือ รักษาเสถียรภาพของราคา และดูแลตัวเลขการจ้างงานให้อยู่ในระดับที่สูง ดังนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจเร่งตัวขึ้นแรงไป อัตราเงินเฟ้อสูง จะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรง เช่น ช่วงปี 2015-2018 มีการขึ้นดอกเบี้ยรวม +2.25% หรือช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว อัตราการว่างงานสูง ก็จะลดดอกเบี้ย อย่างช่วงปี 2019-2020 ก็มีการลดดอกเบี้ยร่วม -2.25% เพื่อประคองตัวเลขการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ล่าสุดวันนี้ มีการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คาดขึ้นดอกเบี้ย +0.75% เป็น 3.00% สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน( กนง.) ของไทยมีกำหนดประชุมอีกครั้งเดือนพฤศจิกายน คาดว่าจะทยอยขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% หากจำเป็นเมื่อสหรัฐอเมริกายังขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง สกุลเงินอื่นย่อมอ่อนค่าลง มากน้อย เป็นไปตามอัตราดอกเบี้ยส่วนต่าง และอุปสงค์อุปทานในตลาด เงินบาทน่าจะอ่อนค่าลงอีก ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) มีการดูและแบบรอบคอบอยู่แล้วไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนมากเกินไป
สำหรับผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงจากความผันผวนของของค่าเงินบาท ไม่ควรเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามารับผิดชอบเรื่องนี้ เพราะเราไม่ควรแทรกแซงค่าเงินโดยตรงหากไม่มีความจำเป็น และไทยเราเคยมีประสบการณ์การแทรกแซงค่าเงินจนเกิดความสูญเสียจำนวนมากมาแล้วในอดีต ภาคเอกชน ควรศึกษาและทำการป้องกันความเสี่ยง โดยรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำกับดูแลไม่ให้ต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงสูงเกินไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“รมว.นฤมล”นำถก อนุฯ นบข.ด้านการผลิต มีมติยกเลิกโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง เปลี่ยนเป็นช่วยชาวนาไร่ละ 500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิตครั้งที่ 1/2567
“รมว.นฤมล”หารือ เอกอัครราชทูตจีน กระชับความสัมพันธ์ด้านเกษตร ขยายตลาดส่งออก “ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง” เพิ่มโอกาสการค้าภาคปศุสัตว์ไทย
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตนพร้อมด้วย นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้หารือร่วมกับ นายหาน จื้อเฉียง
“รมว.นฤมล”เป็นปธ.พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ก.เกษตรและสหกรณ์ ประจําปี 2567 ณ วัดอมรินทราราม วรวิหาร กทม.
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประจำปี 2567 โดยมี นายอิทธิ ศิริลัทธยากร
“รมว.นฤมล”สานสัมพันธ์ทางการทูตโอมาน ครบ 44 ปี ส่งเสริมความร่วมมือการเกษตรและประมงตั้งเป้าให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังให้การต้อนรับ
'รมว.นฤมล' ประกาศ เดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกษตรกรรายย่อย ด้วยเกษตรสมัยใหม่ บทเวที 'World Food Forum 2024'
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหหกรณ์ ได้กล่าวในพิธีปิดการประชุม World Food Forum 2024 ภายใต้ธีม อาหารที่ดีกว่าเพื่อทุกคนทั้งในวันนี้และอนาคต
“รมว.นฤมล ลงพื้นที่ศึกษาตลาดสินค้าเกษตรในคาซัคสถาน หวังพัฒนาขยายช่องทางตลาดให้กับสินค้าเกษตรไทย”
เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ได้ลงพื้นที่ศึกษาตลาดการค้าสินค้าเกษตร ณ Eurasia Farmer Market เมืองอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน