นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกคณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวผ่านเพจส่วนตัว ถึงกรณี ที่แพทยสภาได้เผยแพร่ข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายกัญชาของประเทศไทยนั้น คณะกรรมการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาอย่างเข้าใจ กระทรวงสาธารณสุข ขอน้อมรับความเห็นที่อาจจะแตกต่างของแพทยสภา และขอบพระคุณความห่วงใยจากแพทยสภาดังกล่าวนี้ และเห็นว่าความที่แตกต่างคือส่วนสำคัญในการพัฒนากฎหมายที่ทำให้เกิดการพิจารณาอย่างรอบด้าน อย่างไรตามยังมีประเด็นที่จำเป็นจะต้องสื่อสารและประชาสัมพันธ์การใช้กัญชาในประเด็นที่ยังไม่เข้าใจตรงกันดังต่อไปนี้
ประการแรก อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 นั้นได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยและถูกนำมาใช้ในประเทศไทยอย่างไม่ถูกต้องมาหลายสิบปี เพราะไม่เคยมีข้อห้ามการใช้กัญชา ฝิ่น และโคเคนเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และทางวิทยาศาสตร์ แต่ในประเทศไทยหลายสิบปีที่ผ่านมากลับมีการยกเลิกตำรับยาของการแพทย์แผนไทย “ทั้งหมด” ที่มี กัญชา หรือ ฝิ่นเป็นส่วนผสม อันเป็นการกีกีดกั้นภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยอย่างชัดเจน
ด้วยการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม นักวิจัย กลุ่มแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้าน และแพทย์แผนปัจจุบันที่ยึดเอาประโยชน์ของประชาชนในประเทศเป็นตัวตั้ง ได้ช่วยกันรณรงค์ต่อต้านสิทธิบัตรยากัญชาข้ามชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2561-2562 และมีการเรียกร้องให้มีการเปิดเสรีกัญชาทางการแพทย์ให้กับประชาชน ต่อมาในปี 2562 รัฐบาลได้ยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติในประเทศไทย และเป็นผลทำให้รัฐบาลในชุดต่อมาได้ประกาศนโยบายนำกัญชาในตำรับยาของการแพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้านให้กลับคืนมาได้บางส่วนตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา
หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ว่ายังคงมีการกีดกันการแพทย์แผนไทยยังคงอยู่ ดังตัวอย่างเช่น ฝิ่นซึ่งตามอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 ระบุให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ไม่ต่างจากกัญชา แต่เมื่อประเทศไทยยังไม่ได้มีการเรียกร้องทวงคืนการใช้ฝิ่นในตำรับยาแพทย์แผนไทย ประเทศไทยก็ยังคงกีดกั้นห้ามใช้ฝิ่นในตำรับยาแพทย์แผนไทยทั้งหมดอยู่จนถึงปัจจุบันอยู่ดี คงเหลือแต่การผูกขาดสารมอร์ฟีนซึ่งสกัดจากฝิ่นและแรงกว่าฝิ่น หรือยาที่มีส่วนผสมของมอร์ฟินเอาไว้กับแพทย์แผนปัจจุบัน และประเทศไทยต้องเสียรายได้นำเข้ายาราคาแพงกลุ่มนี้จากต่างประเทศจำนวนมหาศาล
ประการที่สอง กัญชาทางการแพทย์มิได้จำกัดอยู่วิธีการปฏิบัติเฉพาะการแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้น เพราะกัญชายังอยู่ในรูปของ “สมุนไพร” มิได้มีแต่สารสกัดเดี่ยว ดังเช่น สารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ที่ทำให้มึนเมา แต่สมุนไพร “เต็มส่วน”กัญชายังมีสารสำคัญออกฤทธิ์ต้านการทำงานของสารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอลด้วย เช่นกัน อีกทั้งกัญชาหากไม่นำมาผ่านความร้อนที่สูงก็ไม่สามารถทำให้เกิดสารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC)ที่ทำให้เกิดความึนเมาด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น แม้สารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ในกัญชาจะทำให้มึนเมาได้ แต่ก็มีผลการวิจัยมากมายพบว่ามีประโยชน์ในการยับยั้งมะเร็งในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองได้หลายชนิดจนถึงขั้นมีการนำไปจดสิทธิบัตรยาจำนวนมาก แม้จะยังไม่เป็นที่ยุติในการวิจัยในมนุษย์ แต่ก็มีความสอดคล้องกันไปกับการแพทย์แผนไทยที่ระบุว่าสมุนไพรรสเมาเบื่อ มีสรรพคุณ แก้พิษดี แก้พิษโลหิต พิษไข้ พิษเสมหะ พิษสัตว์กัดต่อย แก้โรคอาโปธาตุ (ธาตุน้ำ)
โดยเฉพาะกัญชาได้ระบุเอาไว้ในพระคัมภีร์สรรพคุณเภสัชแลมหาพิกัด ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่า “กัญชาแก้ไข้ผอมเหลือง หากำลังมิได้ ทำให้ตัวสั่น เสียงสั่น เป็นด้วยวาโยธาตุกำเริบ แก้นอนมิหลับ” ดังนั้นแม้แต่สารที่มึนเมาก็ไม่ได้มีแต่โทษแต่ยังมีประโยชน์ได้ด้วย แม้ประโยชน์เพียงแค่ช่วยการนอนไม่หลับก็เป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าต่อประชาชน ลดยานำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้และการนำไปใช้เช่นเดียวกับประโยชน์และโทษของสมุนไพรทุกชนิดในครัวเรือน
ดังนั้นหากแพทยสภาไม่พร้อมหรือยังไม่เห็นด้วยที่จะใช้กัญชาในรูปแบบสมุนไพรเต็มส่วนเหมือนการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน หรือการใช้ในครัวเรือน และจะมุ่งเน้นแต่สารสกัดเดี่ยวซึ่งเป็นที่นิยมในรูปแบบยาจดสิทธิบัตรยาข้ามชาติในการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทยสภาย่อมสามารถกำหนดเวชปฏิบัติของวิชาชีพให้กับสมาชิกของแพทยสภาและราชวิทยาลัยของตัวเอง โดยไม่มีใครสามารถก้าวล่วงในแต่ละวิชาชีพได้อยู่แล้ว
ประการที่สาม โดยสภาพข้อเท็จจริงในปัจจุบันก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ซึ่งกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดพบว่ามีการใช้กัญชาใต้ดินอยู่แล้วจำนวนมาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ต้องการใช้กัญชายังคงไม่สามารถเข้าถึงกัญชาทางการแพทย์ที่ถูกกฎหมายได้จริง ด้วยเพราะยังช่องว่างระหว่างความต้องการของประชาชนกับแพทย์แผนปัจจุบันผู้จ่ายยากัญชานั้นมีความเห็นไม่ตรงกัน เช่น ข้อบ่งใช้ ตำรับยาที่ใช้ การคัดกรองผู้ป่วย การกำหนดให้ใช้ยาอย่างอื่นก่อน ฯลฯ
จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้แพทย์จ่ายน้ำมันกัญชาที่ถูกกฎหมายให้ผู้ป่วยได้น้อยมากจนเหลือค้างสต๊อก หมดอายุ และต้องทำลายทิ้งไปถึงครึ่งหนึ่ง แต่ในขณะที่ประชาชนที่ต้องการใช้กัญชาทางการแพทย์เข้าไม่ถึงการใช้กัญชาต้องลักลอบปลูกหรือ ใช้น้ำมันกัญชาอย่างผิดกฎหมายเกินกว่าครึ่งหนึ่ง แม้ว่าภาครัฐจะพยายามผลักดันผ่านคลินิกกัญชาแล้วก็ตาม ก็ยังมีประชาชนส่วนใหญ่ใช้กัญชาใต้ดินเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์จำนวนมากหรือเป็นส่วนใหญ่อยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กัญชาใต้ดินนั้นมีความเสี่ยงต่อสารพิษ ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก ตลอดจนถูกเอารัดเอาเปรียบและขายในราคาแพง หากปล่อยช่องว่างในอคติและความไม่เข้าใจระหว่างแพทย์และประชาชนไว้เช่นนี้ต่อไป นอกจากผู้ป่วยจะถูกคุกคามและรีดไถจากเจ้าหน้าที่รัฐที่จับกุมและปราบปราบยาเสพติดแล้ว ผู้ป่วยเหล่านี้กลับตกอยู่ในอันตรายจากสารพิษในกัญชาใต้ดินอีกด้วย จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงนโยบายในการเข้าถึงกัญชาของประชาชน เพื่อทำให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภคที่ต้องได้รับการคุ้มครองให้ดีกว่าสถานการณ์ปัจจุบัน
ประการที่สี่ ด้วยข้อเท็จจริงที่พบว่ากัญชามีความน่าจะเป็นในการเสพติดน้อยกว่าสุราและบุหรี่ อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากกัญชาในการเพิ่มคุณภาพการนอน ลดความเครียด และลดการอักเสบ ฯลฯ เมื่อประกอบกับประชาชนที่ต้องแอบใช้กัญชาใต้ดินทางการแพทย์อยู่เป็นจำนวนมาก จึงพบว่าประชาชนในประเทศไทยที่ได้ผ่านประสบการณ์กัญชาใต้ดินโดยส่วนใหญ่ ไม่ได้เห็นโทษของกัญชาเหมือนยาเสพติดอื่นๆ
จากรายงานของโครงการศึกษาสถานการณ์การใช้กัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย ระหว่างพ.ศ. 2562-2563 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้สำรวจมีความเห็นควรให้ประชาชนทั่วไปมีสิทธิในการปลูกกัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ได้ร้อยละ 94.2, เห็นควรอนุญาตให้ประชาชนจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกัญชาใช้เพื่อผ่อนคลายได้ 65.3, เห็นควรอนุญาตให้ประชาชนทั่วไป มีสิทธิปลูกกัญชา เพื่อใช้ในการผ่อนคลายร้อยละ 61.3
นอกจากนั้นรายงานโครงการเดียวกันนี้ ยังพบว่าประชาชนเห็นว่ากัญชาควรเป็นสารเสพติดให้โทษทั้งในกรณีใช้เพื่อการแพทย์และเหตุผลอื่น เหมือนในอดีตตามข้อเสนอของแพทยสภานั้น เห็นด้วยเพียงร้อยละ 21.6 เท่านั้น แต่ในขณะที่ประชาชนเห็นว่ากัญชาควรมีกฎหมายควบคุมเช่นเดียวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 75 และควรควบคุมเช่นเดียวกับยาสูบ บุหรี่ ร้อยละ 75.8 รายงานผลการศึกษาดังกล่าวข้างต้นสอดคล้องไปกับผลสำรวจของนิด้าโพลเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2565 พบว่ามีประชาชนเห็นด้วยมากและค่อนข้างเห็นด้วยรวมกันร้อยละ 58.55 ต่อการปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ทำให้การปลูก เสพ สูบ บริโภค สามารถทำได้อย่างถูกกฎหมาย
ประการที่ห้า แม้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมาก (ผู้แทนปวงชนชาวไทย) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน, และมอบหมายให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี) จะได้ตัดสินใจทำให้กัญชาไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้มีการควบคุม เพราะนอกจากรัฐบาลโดยกระทรวงต่างๆและกระทรวงสาธารณสุขจะได้ทยอยระดมออกมาตรการมาก่อนหน้านี้ได้แล้ว ร่างพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง พ.ศ… ยังมีส่วนที่มีการควบคุมอย่างชัดเจนอีกด้วย โดยกรรมาธิการฯ ได้นำรูปแบบการควบคุมของกฎหมาย 3 ฉบับ มาบูรณาการกัน ได้แก่ พระราชบัญญัติควบคุมยาสูบ, พระราชบัญญัติควบคุมสุรา, พระราชบัญญัติพืชกระท่อม สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับการควบคุม ดังนี้
1.สารสกัดที่มีสารเตรตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC)เกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ยังคงต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และยังคงใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์ได้ ยกเว้นการทำให้เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรยังคงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562
- กัญชาหรือกัญชง ส่วนที่เป็นอาหารจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522, หากเป็นเครื่องสำอางจะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง, หากเป็นร้านอาหารก็ต้องปฏิบัติตามประกาศกรมอนามัย, หากเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร และหากเป็นยาก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติยา ซึ่งมาตรฐานภายใต้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขที่มีอยู่แล้ว ได้ควบคุมการใช้กัญชา และกัญชงอย่างปลอดที่สุดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
- ต้นไม้ที่เรียกว่า กัญชา กับ กัญชง จะถูกแยกออกจากกัน โดยมีระดับการควบคุมที่แตกต่างกัน ซึ่งกัญชาจะมีการควบคุมมากกว่ากัญชง โดยใช้ตัวชี้วัดจากปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol, THC ที่คณะกรรมการกัญชา กัญชง ประกาศกำหนด
- การควบคุมการ “ผลิต” ในส่วนของ “ช่อดอก” หรือ “สารสกัด” เพื่อขายจะต้องได้รับใบอนุญาต ในส่วนอื่นๆ เช่น ราก ลำต้น เส้นใย ไม่ต้องขออนุญาต ส่วนอื่นๆให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
- กำหนดให้รัฐจำเป็นต้องรายงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปลูกกัญชา กัญชง ทั้งการปลูก ผลิต นำเข้า ส่งออก ขาย เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ
- กำหนด “การจดแจ้ง” (ไม่ต้องขอนุญาต) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะต้องรับจดแจ้งให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว ไม่มีค่าธรรมเนียม สำหรับ 3 กรณีคือ
กรณีที่ 1 ประชาชนทั่วไปปลูกกัญชา กัญชง ไม่เกิน 15 ต้นต่อครัวเรือน (ห้ามขาย)
กรณีที่ 2 การปลูกกัญชงเพื่อใช้ราก ลำต้น เส้นใย เพื่อใช้ในครัวเรือนไม่เกิน 5 ไร่ (ห้ามขาย)
กรณีที่ 3 เป็นสถานพยาบาล ที่ปลูกเพื่อปรุงยาเฉพาะราย โดยการปรุงยาเฉพาะรายให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร
ถ้าไม่จดแจ้งมีโทษปรับ 2 หมื่นบาท หากมีการจดแจ้งแล้วนำไปให้เด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตรใช้นอกจากจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับแล้ว ยังถูกเพิกถอนการจดแจ้งด้วย
(7) กำหนดให้มี “การอนุญาต” ทุกกรณีถ้ามีกิจกรรมการขายเพื่อธุรกิจ ทั้งนำเข้า ส่งออก ปลูก ผลิต สกัด ขาย หากไม่ขออนุญาตมีโทษสูงสุดจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ถ้าเป็นความผิดฐานนำเข้ากัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตมีโทษสูงสุดจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยการปลูกกัญชา หรือกัญชงเพื่อการพาณิชย์ไม่เกิน 5 ไร่ ไม่มีค่าธรรมเนียม
โดยหากได้รับอนุญาตแล้วนำไปให้เด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตรใช้นอกจากจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับแล้ว ยังถูกเพิกถอนใบอนุญาตได้ด้วย
ห้ามมีการขายกัญชา กัญชง หรือสารสกัดให้เด็กเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร ใครฝ่าฝืนนอกจากจะมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ หรือถูกเพิกถอนการจดแจ้งหรือเพิกถอนการ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สาวไส้ 'ทนายตั้ม' เปลี่ยนพินัยกรรม ตั้งตัวเป็นผู้จัดการมรดก 'เจ๊อ้อย'
ที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เดินทางเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนในคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย แจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความกับพวก ในข้อหาฉ้อโกง
ไทยติดโควิดใหม่รอบสัปดาห์ 549 ราย ดับเพิ่ม 1 คน
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2567
ไทยติดโควิดรอบสัปดาห์ 353 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 6 - 12 ตุลาคม 2567 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่
จับตา 'ภท.' รุกคืบ! สัญญาณแข็งข้อกับ 'พท.' ชัดขึ้นเรื่อยๆ
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ภูมิใจไทยงดออกเสียง พ.ร.บ.ประชามติ สัญญาณการแข็งข้อกับเพื่อไทย
เลขาฯปปส. เผยร่างกฎกระทรวง เพิ่มความเข้มข้นสกัดกั้นลักลอบขนกัญชาไปต่างประเทศ
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามกยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตผลิต