คนหนองยาง จ.อุทัยธานี ปลูกไม้มีค่า ‘ยางนา’ ต้นละ 1 แสนบาท ร่วมโครงการ ‘คาร์บอนเครดิต’ ลดโลกร้อน

ต้นยางนายักษ์  ไม้มีค่า  พื้นที่ 1 ไร่  ปลูกได้ 400 ต้น  มูลค่าหลายล้านบาท

โครงการ ธนาคารต้น หรือ ปลูกต้นไม้ใช้หนี้เพื่อให้ประชาชนปลูกไม้มีค่าเป็นทรัพย์สิน สามารถนำต้นไม้มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้จากธนาคารของรัฐ  รวมทั้งยังเพิ่มพื้นที่สีเขียว  สร้างสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อม  ริเริ่มผลักดันโดยผู้นำชุมชนและเครือข่ายธนาคารต้นไม้กลุ่มหนึ่ง  เช่น  จินดา  บุญจันทร์  ผู้นำชุมชนจากจังหวัดชุมพร  ในช่วงปี 2549-2550  ทำให้รัฐบาลในยุคนั้นและยุคต่อมาขานรับ  ส่งผลให้เกษตรกรทั่วประเทศเกิดความตื่นตัว 

ดังตัวอย่างชาวบ้านที่ตำบลหนองยาง  อ.หนองฉาง  จ.อุทัยธานี...

ปลูกต้นไม้ใช้ค้ำประกันเงินกู้

ชนภัทร  วงษ์วิทยา  ประธานธนาคารต้นไม้ตำบลหนองยาง  เล่าว่า  ผู้นำชุมชนตำบลหนองยางเริ่มส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกไม้มีค่าในที่ดินตนเองตั้งแต่ปี 2550  จากนั้นในปี 2552  ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามาสนับสนุน  เช่น  อบรมให้ความรู้เรื่องไม้มีค่าประเภทต่างๆ  การวัดขนาดต้นไม้  การประเมินมูลค่า  การขึ้นทะเบียนต้นไม้  จับพิกัดต้นไม้ที่ปลูก   โดยใช้เครื่องมือ GIS  (ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่ใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์แสดงตำแหน่งที่ตั้งและข้อมูลของต้นไม้ที่ขึ้นทะเบียน) ฯลฯ 

ใช้สมาร์ทโฟนบันทึกพิกัดของต้นไม้เพื่อนำไปขึ้นทะเบียนธนาคารต้นไม้

“ตอนแรกมีชาวบ้านสมัครเป็นสมาชิกธนาคารต้นไม้ประมาณ 30 คน  เราให้สมาชิกปลูกไม้มีค่าคนละ 9 ต้น  เช่น  ยางนา  ประดู่  ชิงชัน  มะค่า  เริ่มจากบ้านหนองจิกเป็นหมู่บ้านแรก  ต่อมาจึงขยายไปทั้งตำบล  รวม 10 หมู่บ้าน  ตอนนี้มีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 300 คน  มีไม้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วประมาณ 3 หมื่นต้น  มีกรรมการ 15 คน  ถ้าสมาชิกคนใดจะขึ้นทะเบียนต้นไม้  กรรมการจะออกไปสำรวจและจับพิกัดต้นไม้เพื่อนำมาขึ้นทะเบียน  และออกโฉนดต้นไม้ให้ด้วยเพื่อเป็นหลักฐานเหมือนกับโฉนดที่ดิน”  ประธานธนาคารต้นไม้บอก

เขาบอกว่า  แต่เดิมชาวบ้านยังปลูกไม้มีค่าไม่มากนัก  เพราะตอนนั้นยังมี พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ห้ามครอบครองไม้หวงห้าม  เช่น  ไม้สัก ไม้ยาง  ไม้ชิงชัน  ไม้พะยูง  ฯลฯ  แต่ในปี 2562 รัฐบาลได้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าว  เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกไม้มีค่า 58 ชนิดในที่ดินของตนเองเพื่อเป็นทรัพย์สินหรือสร้างรายได้  จึงทำให้มีชาวบ้านปลูกไม้มีค่าเพิ่มมากขึ้น 

ส่วนไม้ที่จะนำมาค้ำประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส.ได้  ต้องเป็นต้นไม้อายุ 1 ปีขึ้นไป  มีลำต้นตรง 2 เมตรขึ้นไป  ต้องเป็นต้นไม้ที่ปลูกในที่ดินของตนเอง   วัดขนาดเส้นรอบวงของต้นไม้จากพื้นดินขึ้นมา 1.30 เมตร  เพื่อนำมาประเมินมูลค่าตามชนิดของไม้  ขนาดอายุ  เส้นผ่านศูนย์กลาง  เส้นรอบวง  และปริมาตรเนื้อไม้  ตามที่ ธ.ก.ส.กำหนดเอาไว้

การวัดขนาดต้นไม้จะต้องวัดจากพื้นดินขึ้นมา  1.30 เมตร  เพื่อนำมาประเมินมูลค่า

“ที่ผ่านมา  มีสมาชิกธนาคารต้นไม้นำโฉนดต้นไม้ไปค้ำประกันกู้เงินจาก ธ.ก.ส. แล้วจำนวน 3 ราย  วงเงินตั้งแต่ 3 หมื่นถึง 2 แสนบาท  โดย ธ.ก.ส.จะให้เงินกู้ต้นหนึ่งไม่เกิน  50 เปอร์เซ็นต์ของราคาประเมินมูลค่าต้นไม้”  ประธานธนาคารต้นไม้แจงเพิ่มเติม

สมหมาย  บางแบ่ง  อายุ 62 ปี  อาชีพทำนา  บอกว่าที่ดินของครอบครัวปลูกต้นยางนาประมาณ 5 ไร่  มียางนารวมกันประมาณ  800 ต้น  ต้นใหญ่ที่สุดปลูกมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่  อายุไม่ต่ำกว่า 70-80 ปี  วัดเส้นรอบวงได้ 352 เซนติเมตร  ราคาประเมินต้นนี้เกือบ 140,000 บาท   แต่จะไม่ตัดขาย  จะเก็บเอาไว้ให้ลูกหลาน  นอกจากนี้ในแปลงยางนายังมีผึ้งหลวงมาทำรัง  ทำให้ได้น้ำผึ้ง  และมีเห็ดต่างๆ ที่กินได้เกิดขึ้น

เจ้าของมรดกต้นยางนาในพื้นที่ 5 ไร่  ประมาณ 800 ต้น  มูลค่ามหาศาล

ส่วนข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า  กระทรวงพาณิชย์  ระบุว่า  ขณะนี้ (ข้อมูลเมื่อเดือนพฤษภาคม 2565)   มีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน  เกษตรกรทั่วประเทศ  นำต้นไม้มาเป็นหลักประกันเงินกู้กับธนาคารรัฐ   รวม 146,000 ต้น  เป็นเงินกว่า 137 ล้านบาท  เช่น  ธ.ก.ส. จำนวน 318 ต้น  ยอดเงิน 3 ล้านบาทเศษ   ธนาคารกรุงไทย  จำนวน 23,000 ต้น  ยอดเงิน 128 ล้านบาท  ฯลฯ   ต้นไม้ที่นำมาเป็นหลักประกัน  เช่น  สัก  มะเกลือ  ไม้แดง   ยางนา  เต็ง  ทุเรียน  มะม่วง  ฯลฯ

ขายคาร์บอนเครดิตลดโลกร้อน

ขณะที่ ชนภัทร  วงษ์วิทยา  ประธานธนาคารต้นไม้ตำบลหนองยาง  บอกว่า  ในปีนี้ธนาคารต้นไม้จะร่วมกับสภาองค์กรชุมชนตำบลหนองยาง  ขยายผลโครงการปลูกไม้มีค่าหรือธนาคารต้นไม้   โดยจะให้เด็ก  เยาวชน  คนรุ่นใหม่ในตำบลเข้าร่วมเพื่อขยายเครือข่าย  โดยปลูกต้นไม้เพิ่มเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น  และยังช่วยสร้างอากาศที่สะอาดให้แก่ชุมชนด้วย

ความร่มรื่นในแปลงยางนา  นอกจากจะเป็นไม้มีค่า  ยังช่วยสร้างอากาศสะอาด  ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์

“เราจะส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนปลูกไม้มีค่าตั้งแต่วันนี้  เพราะนอกจากจะมีประโยชน์เรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว      ในอนาคตก็จะเป็นบำนาญให้แก่คนปลูกด้วย  เพราะหากเด็กอายุ 10 ขวบเริ่มปลูกไม้มีค่าตั้งแต่วันนี้  พออายุ 60 ปีก็จะมีรายได้จากต้นไม้เป็นบำนาญ  เช่น  ต้นยางนาอายุ 50 ปี  จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 147 เซนติเมตร  มีมูลค่าต้นละ 14,900 บาท  ในพื้นที่ 1 ไร่  จะปลูกได้ประมาณ  400 ต้น  คิดเป็นเงินไร่ละเกือบ 6 ล้านบาท  แต่หากปลูกไม้เนื้อแข็ง  เช่น  ประดู่  ชิงชัน  พะยูง  ราคาก็จะสูงกว่านี้”  ประธานธนาคารต้นไม้กางตารางการประเมินมูลค่าต้นไม้พร้อมทั้งยกตัวอย่าง (ดูข้อมูลเพิ่มที่ http://www.treebankthai.com/)

นอกจากนี้ในปี 2566  ตำบลหนองยางจะจัดทำโครงการ ‘คาร์บอนเครดิต’ ซึ่งเป็นโครงการที่ ธ.ก.ส.ส่งเสริมให้ชุมชนเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน 

แปลงปลูกยางนาที่ตำบลหนองยาง

ทั้งนี้ในปี 2564 ที่ผ่านมา  ธ.ก.ส. ได้สนับสนุนชุมชนที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตไปแล้ว จำนวน 45 ชุมชน (ไม่เกินชุมชนละ 5 หมื่นบาท)  จำนวนต้นไม้ประมาณ 880,000 ต้น  ปริมาณการกักเก็บคาร์บอน 280,000 ตันคาร์บอน  โดย ธ.ก.ส. มอบเงินสนับสนุนชุมชนต่างๆ ไปแล้วเกือบ 2 ล้านบาท

“ธนาคารต้นไม้ของเรา  มีไม้มีค่าที่ขึ้นทะเบียนแล้วประมาณ  30,000 ต้น  และมีพื้นที่ป่าไม้ทั้งตำบลประมาณ 38,000 ไร่  โดย ธ.ก.ส. จะสนับสนุนเงินให้ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกตันคาร์บอนละ 100  บาทเราจะได้นำงบสนับสนุนมาพัฒนาชุมชนต่อไป”  ชนภัทรบอกทิ้งท้าย

 

เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

25 จังหวัด ศปช.เตือนเฝ้าระวัง 'ดินถล่ม - น้ำป่า'  

ศปช.รายงานสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันที่ อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี บ่ายนี้น้ำลดปกติแล้ว ส่งทุกหน่วยงานเข้าฟื้นฟู ส่วนอากาศจากจีนส่งไทยแปรปรวนยังคงต้องแจ้งเตือน 25 จังหวัดระวังดินถล่มและน้ำป่า  ทยอยจ่ายเงินเยียวยา ขณะที่เชียงรายล้างโคลนบ้านเรือน ปชช.พรุ่งนี้เสร็จเรียบร้อย

จุดยืนไทยต่อเวทีโลกเดือด COP29

ไทยเป็นหนึ่งในประเทศกำลังพัฒนาติดอันดับท็อปเท็นของโลกที่มีความเสี่ยงสูงจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศในระยะยาว   EM-DAT  รายงานข้อมูล 20 ปีที่ผ่านมาจนถึงปี 2565 ประเทศไทยเผชิญกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว 146 ครั้ง สร้างความสูญเสียต่อชีวิต 0.21

รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน

รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด