ปั๊มน้ำมันชุมชนตำบลคลองน้ำไหล
ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ‘กลุ่มวิสาหกิจชุมชนคนเกษตรก้าวหน้า’
ตำบลคลองน้ำไหล อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร เป็นตำบลหนึ่งที่มีการพัฒนาชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง จากกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตที่เริ่มก่อตั้งในปี 2541 มีสมาชิกแรกเริ่มเพียง 35 คน มีเงินออมรวมกันประมาณ 3,800 บาท ปัจจุบันมีสมาชิกเกือบ 900 คน มีเงินหมุนเวียนประมาณ 22 ล้านบาท เป็นแหล่งทุนของชุมชนที่สำคัญ และต่อยอดไปทำปั๊มน้ำมันชุมชน 2 แห่ง ล่าสุดผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากมูลสัตว์มียอดขายเดือนละ 1 แสนบาท !!
ทุนชุมชนจากกลุ่มออมทรัพย์
ตำบลคลองน้ำไหล มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 393 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ติดกับอุทยานแห่งชาติน้ำตกคลองลาน ประมาณปี 2499 เริ่มมีชาวบ้านจากจังหวัดลำปางเข้ามาตั้งถิ่นฐาน หลังร้างถางดง ปลูกบ้านสร้างเรือนขึ้นมา หลังจากนั้นจึงมีชาวบ้านจากจังหวัดต่างๆ ทั้งภาคเหนือและอีสานทยอยเข้ามาอยู่อาศัย
ปัจจุบันตำบลคลองน้ำไหลมีทั้งหมด 28 หมู่บ้าน จำนวน 7,300 ครัวเรือน ประชากรประมาณ 20,000 คน ส่วนใหญ่มีอาชีพปลูกมันสำปะหลัง ทำนา ปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ ค้าขาย และรับจ้างทั่วไป
หลังประเทศไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจ ‘ต้มยำกุ้ง’ ในปี 2540 เจ้าหน้าที่กรมการพัฒนาชุมชนได้เข้ามาส่งเสริมให้ชาวบ้านในตำบลต่างๆ จัดตั้ง ‘กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต’ ขึ้นมา เพื่อเป็นแหล่งทุนของชุมชน ให้สมาชิกกู้ยืมไปประกอบอาชีพ หรือใช้จ่ายในยามเดือดร้อนจำเป็น ตำบลคลองน้ำไหลเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ชาวบ้านร่วมกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นมา
ประพันธ์ จิตคำ อายุ 66 ปี แกนนำพัฒนาชุมชนตำบลคลองน้ำไหล บอกว่า ตำบลคลองน้ำไหลจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ฯในปี 2541 มีสมาชิกเริ่มแรกประมาณ 35 คน กำหนดให้สมาชิกออมเงินอย่างต่ำ 30-200 บาทต่อเดือน ช่วงแรกยังมีสมาชิกไม่มาก การบริหารจึงไม่ยุ่งยาก คณะกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ก็มาจากสมาชิกที่ช่วยกันตั้งกลุ่ม ช่วยกันบริหารงาน การทำบัญชีใช้วิธีจดบันทึกลงในสมุดแบบง่ายๆ ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ แต่คณะกรรมการมีความตั้งใจ ยึดหลักการแบบเครดิตยูเนี่ยน คือคุณธรรม 5 ประการ
ประพันธ์ จิตคำ
“เราเห็นกลุ่มอื่นๆ จัดตั้งได้ไม่นานก็ล้มไป บางกลุ่มก็มีปัญหาเรื่องการบริหารงาน คณะกรรมการทำงานไม่โปร่งใส ชาวบ้านก็ไม่เชื่อถือ จึงตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้กลุ่มของเราล้ม แม้ว่าจะมีปัญหาต่างๆ หรือโดนกล่าวหาว่าร้าย แต่พวกเราก็ไม่ท้อ เรายึดหลักคุณธรรม 5 ประการ ตามที่ได้รับการอบรมมา นำมาเป็นแนวทางในการบริหารกลุ่ม เป้าหมายก็เพื่อให้ชาวบ้านสร้างวินัยในการออมเงิน เพราะต้องออมเงินกันทุกเดือน อย่างน้อยเดือนละ 30 บาท เมื่อกลุ่มมีเงินมากขึ้นก็จะให้สมาชิกกู้ยืมไปประกอบอาชีพ หรือใช้จ่ายยามจำเป็น ไม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบ” ประพันธ์บอก
คุณธรรม 5 ประการที่ประพันธ์บอก คือ 1.ความซื่อสัตย์ต่อกัน ถือตามสัญญาที่ให้ไว้ 2.มีความเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง 3.รับผิดชอบร่วมกัน ปฏิบัติตามสัญญาอย่างเคร่งครัด 4.เห็นอกเห็นใจกัน เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือผู้อื่น และ 5.ไว้วางใจกัน ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากหลักการ หรือ ‘จิตตารมณ์’ ของกลุ่มการเงินแบบ ‘เครดิตยูเนี่ยน’ นั่นเอง
ด้วยหลักการทำงานดังกล่าว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มออมทรัพย์ฯ ที่คิดเพียงร้อยละ 1.25 ต่อเดือน หรือร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งถูกกว่าเงินกู้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อเดือน จึงมีชาวบ้านสมัครเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สมาชิกสามารถฝากเงินออมทรัพย์พิเศษได้ไม่จำกัดวงเงิน และกู้ยืมได้สูงสุดถึง 3 เท่าของเงินออมของตน (ต้องมีสมาชิกค้ำประกัน) กลุ่มจึงเติบโตขึ้นทุกปี
ปัจจุบัน (กรกฎาคม 2565) กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตตำบลคลองน้ำไหล มีสมาชิก 895 คน มีเงินหมุนเวียนทั้งหมด 22 ล้านบาทเศษ เป็นแหล่งทุนให้สมาชิกกู้ยืมเงินไปประกอบอาชีพ เช่น เลี้ยงหมู วัว สูงสุดไม่เกิน 150,000 บาท โดยกลุ่มออมทรัพย์ฯ กู้เงินจาก ธ.ก.ส. จำนวน 2 ล้านบาทเพื่อนำมาหมุนเวียนให้สมาชิกกู้ยืมไปประกอบอาชีพ
ด้านการบริหารงาน มีคณะกรรมการ 18 คน แบ่งหน้าที่กันทำงาน เช่น ประธาน ฝ่ายบัญชี พิจารณาเงินกู้ ฝ่ายตรวจสอบ ฯลฯ มีพนักงาน 2 คน (เป็นคนในตำบล มีเงินเดือนประจำ) ทำบัญชี รับฝาก-ถอน-กู้ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์บันทึกข้อมูล มีสมุดบัญชีเหมือนธนาคารพาณิชย์ทั่วไป เปิดทำการทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-15.30 น. สมาชิกที่กู้เงิน จะต้องยื่นเรื่องภายในวันที่ 1-4 ของทุกเดือน เมื่อผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการจะรับเงินได้ในวันที่ 8 ของเดือนนั้น
กลุ่มออมทรัพย์เป็นฐานในการสร้างทุนชุมชน
โตแล้วแตก...สร้างปั๊มน้ำมันชุมชน
ในช่วงปี 2546 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) มีแนวทางสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนทั่วประเทศ จึงร่วมกับ ‘ครูชบ ยอดแก้ว’ (ปัจจุบันเสียชีวิต) ต้นแบบกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์วันละ 1 บาท จาก อ.จะนะ จ.สงขลา จัดเวทีแนะนำการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนขึ้นในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
แกนนำกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตตำบลคลองน้ำไหลได้เข้าร่วมเรียนรู้ด้วย และในปีนั้นจึงได้จัดตั้ง ‘กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลคลองน้ำไหล’ ขึ้นมา โดยมีหลักการสำคัญคือ ให้สมาชิกลดรายจ่ายเพียงวันละ 1 บาท หรือปีละ 365 บาท แล้วนำเงินนั้นมาสมทบร่วมกันเพื่อช่วยเหลือสมาชิกในยามจำเป็น ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย
ในปี 2552 เมื่อกลุ่มออมทรัพย์ฯ ดำเนินการมาได้ 10 ปีเศษ มีเงินกองทุนมากขึ้น ประพันธ์ ซึ่งมีบทบาทเป็นประธานกลุ่ม หารือร่วมกับคณะกรรมการเพื่อจะจัดตั้งปั๊มจำหน่ายน้ำมันขึ้นมา เนื่องจากเห็นว่าตำบลคลองน้ำไหลเป็นตำบลใหญ่ มีถึง 28 หมู่บ้าน ประชากรหนาแน่น ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้มอเตอร์ไซค์ รถกระบะ รถอีแต๋น รถไถนา ใช้เครื่องยนต์ในการเกษตร จึงเห็นดีที่จะทำธุรกิจปั๊มน้ำมันในตำบล ใช้เงินลงทุนครั้งแรกประมาณ 36,000 บาท เป็นปั๊มเล็กๆ แบบใช้มือหมุน
เมื่อกิจการดีขึ้น ในปี 2562 กลุ่มออมทรัพย์ฯ ได้กู้เงินจากธนาคารออมสินจำนวน 2.4 ล้านบาทเพื่อนำมาขยายกิจการ เป็นปั๊มแบบมาตรฐาน มี 4 หัวจ่าย ขายน้ำมันดีเซลและแก๊สโซฮอล์ มีพนักงานเติมน้ำมัน 1 คน ปัจจุบันขยายไปเปิดอีก 1 แห่ง เป็นปั๊มน้ำมันแบบหยอดเหรียญ จำนวน 2 ตู้ (ตั้งอยู่บริเวณที่ทำการกลุ่มออมทรัพย์) มียอดขายน้ำมันรวมกันประมาณเดือนละ 100,000 บาท เมื่อหักรายจ่ายและค่าจ้างพนักงานแล้ว จะมีรายได้เข้ากลุ่มออมทรัพย์ประมาณเดือนละ 15,000 บาท
ส่วนกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลคลองน้ำไหล ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 900 คน (สมาชิกมาจากกลุ่มออมทรัพย์) มีเงินกองทุนประมาณ 3 ล้านบาท สมาชิกจะสมทบเงินเข้ากองทุนคนละ 365 บาทต่อปี มีสวัสดิการช่วยเหลือ เช่น คลอดบุตร 1,000 บาท (ให้เป็นเงินออมในบัญชีสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์) เจ็บป่วยนอนโรงพยาบาลปีหนึ่งไม่เกิน 10 คืน ช่วยเหลือคืนละ 150 บาท เสียชีวิตช่วยเหลือ 10,000-20,000 บาท ตามอายุการเป็นสมาชิก
ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ยอดขายเดือนละแสน
ในช่วงปลายปี 2564 กลุ่มออมทรัพย์ได้ขยายธุรกิจไปทำโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ใช้งบลงทุนประมาณ 600,000 บาท เป็นเงินลงหุ้นจากกลุ่มออมทรัพย์ กองทุนสวัสดิการ และสมาชิกลงหุ้นในนามบุคคล ผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากมูลเป็ด ไก่ หมู ค้างคาว แร่ยิปซั่ม ฟอสเฟต โคโลไมท์ เปลือกไข่ แกลบดำ ฯลฯ ใช้ชื่อกลุ่มว่า ‘กลุ่มวิสาหกิจชุมชนคนเกษตรก้าวหน้า’ (ตรานกอินทรีย์ขาว) โดยมีชาวบ้านในชุมชนช่วยกันผลิต 7 คน ได้ค่าแรงวันละ 300 บาท
ส่วนขั้นตอนการผลิต กลุ่มจะรับซื้อวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชน เช่น มูลไก่จากชาวบ้านที่เลี้ยงไก่ ราคากระสอบละ50 บาท (ประมาณ 25 กิโลกรัม) มูลหมูกระสอบละ 30 บาท ส่วนวัตถุดิบที่ชุมชนไม่มีจะสั่งซื้อจากภายนอก โดยจะนำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วจึงนำเข้าเครื่องตีป่น แล้วนำเข้าเครื่องร่อนเพื่อแยกเศษหินและบนเศษวัสดุอื่นๆ ออก
จากนั้นจึงนำเข้าเครื่องผสมปุ๋ย ราดด้วยน้ำหมักชีวภาพ ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาเทกอง คลุมด้วยผ้าใบ 1 คืน ตอนเช้าจึงนำมาเข้าเครื่องบดอัดเป็นเม็ดหรือแท่ง นำไปตากแดดที่ลานตากให้แห้งสนิท แล้วนำมาบรรจุถุงๆ ละ 25 กิโลกรัม หากแดดจัดๆ วันหนึ่งจะผลิตได้ถึง 120 ถุง ต้นทุนประมาณถุงละ 110 บาท ราคาจำหน่ายสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์และกองทุนสวัสดิการ ถุงละ 180 บาท ขายทั่วไปถุงละ 200 บาท
มียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 500 ถุง เช่น เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มียอดขาย 597 ถุง ราคาขายรวม 109,360 บาท เดือนมีนาคมมียอดขาย 1,247 ถุง ราคาขายรวม 232,680 บาท หักต้นทุนแล้วจะมีรายได้สุทธิประมาณถุงละ 70-90 บาท หรือมีรายได้เข้ากลุ่มไม่ต่ำกว่าเดือนละ 35,000-40,000 บาท
ส่วนด้านการตลาด ในช่วงแรกยังเป็นการประชาสัมพันธ์แบบปากต่อปาก โดยมีสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ฯ กองทุนสวัสดิการชุมชนและเครือข่ายสวัสดิการชุมชนช่วยกันแนะนำ บอกต่อผ่านกลุ่มไลน์และเฟซบุ๊ก
“ปุ๋ยของเราตอนแรกตั้งใจว่าจะขายภายในตำบลเพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านทำเกษตรอินทรีย์ แต่เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้น ประเทศผู้ผลิตปุ๋ยเคมี เช่น รัสเซีย ยูเครน เกิดสงคราม ทำให้การขนส่งลำบาก ราคาปุ๋ยเคมียิ่งแพงขึ้น เกษตรกรจึงหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้นด้วย ตอนนี้เราส่งไปขายหลายจังหวัดในภาคเหนือ บางคนก็ซื้อไปขายต่อ เพราะใช้แล้วเห็นผลดี ราคาถูก จึงบอกกันปากต่อปาก มีประโยชน์ช่วยบำรุงดิน บำรุงพืชทุกชนิด ทำให้ผลผลิตงอกงาม โตไว ไม่มีสารตกค้าง” ประพันธ์บอก
นอกจากนี้เขายังบอกด้วยว่า การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ของชุมชนถ้าดำเนินการต่อไปได้ดีก็จะเป็นรายได้หลักที่จะช่วยให้กลุ่มออมทรัพย์ฯ และกองทุนสวัสดิการชุมชนเติบโตเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตัวเองได้
นี่คือตัวอย่างการสะสมทุนชุมชนของชาวบ้านตำบลคลองน้ำไหล อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร นำไปสู่การสร้างธุรกิจชุมชนที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ เป็นแหล่งทุน และสร้างสวัสดิการให้แก่ชุมชนได้อย่างยั่งยืน !!
คณะกรรมการกลุ่มออมทรัพย์และกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลคลองน้ำไหล
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน
UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’
รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567
ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’
‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน
รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด
เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”
คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย
บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ
สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ
รมว.พม. แจ้งตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง ใน 13 จว. ช่วยกลุ่มเปราะบาง-ผู้ประสบภัยน้ำท่วมริมแม่น้ำโขง ด้าน พอช. พร้อมอนุมัติงบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติภาคเหนือและอีสาน
จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลกระทบในพื้นที่ 8 จังหวัด 47 อำเภอ 207 ตำบล 22,817 ครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา