“ปลูกไม้มีค่าเป็นบำนาญ มีเงินล้านยามชรา”

เด็กสาวชาวกะเหรี่ยงที่บ้านภูเหม็น  อ.ห้วยคต  จ.อุทัยธานี  ร่วมปลูกต้นไม้  สร้างพื้นที่สีเขียว  ฟื้นฟูป่า

แนวคิดการปลูกต้นไม้มีค่าเพื่อเป็นบำนาญในยามชราเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย  โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ  เกษตรกร  ชาวไร่  ชาวนา  ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ฯลฯ  ที่ไม่มีบำเหน็จบำนาญในยามชรา  หากเราเริ่มปลูกไม้มีค่าตั้งแต่อายุ 30 ปี  พออายุ 60 ปีไม้ที่ปลูกก็เติบโตมีราคาไม่ต่ำกว่าต้นละ 30,000 บาท !!

ปลูกต้นไม้ 30 ปี  มีเงินใช้เดือนละ 3 หมื่น

ดังเช่น  ‘วิระ  ปัจฉิมเพ็ชร’  อาชีพเกษตรกร   และเป็นประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลนาขา  อ.หลังสวน       จ.ชุมพร  บอกว่า  เขาเริ่มปลูกไม้มีค่าตั้งแต่ปี 2547  ตอนนั้นอายุ 33 ปี (ปัจจุบันอายุ 51 ปี)   โดยปลูกแซมในสวนผลไม้  เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ  20 ไร่  เช่น  ยางนา  จำปาทอง  ตะเคียนทอง  มะฮอกกานี  และสะเดาเทียม  และทยอยปลูกเรื่อยมา  รวมไม้ที่ปลูกทั้งหมดประมาณ 500 ต้น

“ไม้ยืนต้นที่เราปลูก  เช่น  ตะเคียนทอง  จำปาทอง  สะเดาเทียม  จากการคำนวณพบว่า  เมื่อปลูกลงดินแล้วไม้แต่ละต้นจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 3 บาท,  1 ปี 1 พันบาท,  10 ปี 1 หมื่นบาท  และ 30 ปีประมาณ  3 หมื่นบาท  หากเราปลูก 100 ต้น  ภายในเวลา 30 ปี   เราจะมีทรัพย์สินงอกเงยขึ้นมา  3 ล้านบาท”

ปัจจุบันไม้เหล่านี้มีอายุประมาณ 16 -18 ปี  เช่น  จำปาทองอายุ 18 ปี  มีความสูงประมาณ 16 เมตร  เส้นรอบวงประมาณ 130 เซนติเมตร  แม้ว่าไม้พวกนี้จะใช้เวลาในการเติบโต  จนอายุประมาณ 30-40 ปี  จึงจะสามารถตัดขายหรือนำมาใช้ประโยชน์ได้  แต่เขาและครอบครัวก็มีรายได้รายวัน-รายเดือนจากปลูกผักสวนครัวแบบอินทรีย์  เพาะเห็ด  และมีรายได้รายปีจากมังคุด  ทุเรียน  และการเลี้ยงผึ้งโพรง

“ตอนที่ปลูกไม้มีค่า  ผมคิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์ตอนแก่  เพราะไม้พวกนี้กว่าจะโตใช้ประโยชน์ได้  ผมก็จะมีอายุประมาณ 60 ปี  เอามาใช้สร้างบ้าน  ทำเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ  หรือขายเป็นบำนาญก็ได้  เพราะหากผมตัดไม้ที่มีอายุ 30 ปี มีราคาต้นละ 3 หมื่นบาท  ขายเดือนละ 1 ต้น  ผมก็จะมีเงินใช้เดือนละ 3  หมื่นบาท  ผมมีต้นไม้ 500 ต้น  และหากปลูกทดแทนเรื่อยๆ ตัดจนตายก็ยังตัดไม่หมด”  วิระบอก

ต้นตะเคียนที่วิระปลูก  อายุประมาณ 18 ปี  เส้นรอบวง 1 เมตรเศษ

นอกจากวิระจะปลูกไม้มีค่าในผืนดินของตนเองแล้ว  ในฐานะประธานสภาองค์กรชุมชนตำบลนาขา  เขาได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านในตำบลปลูกไม้มีค่าต่างๆ  ตามรูปแบบของ ‘ธนาคารต้นไม้’  (จัดตั้งครั้งแรกที่บ้านคลองเรือ อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพรในช่วงปี 2549) เพื่อเป็นบำนาญในยามสูงวัย  แต่จะต้องเริ่มปลูกตั้งแต่วัยหนุ่มสาว  ปัจจุบันมีสมาชิกธนาคารต้นไม้ประมาณ 120 ราย 

รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกผักและผลไม้อินทรีย์  เช่น  ทุเรียน  มังคุด  โดยร่วมมือกับ อบต.  รพ.สต.  อสม.ขับเคลื่อนเรื่องนี้  เขาบอกว่า  หากเกษตรกรยังใช้สารเคมี  แม้จะมีรายได้ดี  แต่สารเคมีก็จะสะสมในร่างกาย  เกิดปัญหาโรคภัยติดตามมา  ทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ 

“สังคมสูงวัยต้องอยู่กับการทำการเกษตรที่ยั่งยืน  มีรายได้เลี้ยงดูตัวเอง  และมีความสุข  ไม่ใช่สูงวัย  แต่ยังยากจน  หรือต้องเอาเงินไปใช้รักษาตัวในตอนแก่”  วิระย้ำ

ออมต้นไม้เป็นหลักทรัพย์กู้เงินแสน

นอกจากแนวคิด ‘ปลูกต้นไม้เป็นบำนาญ’ ที่จังหวัดชุมพรแล้ว  ที่ตำบลเขาแก้ว  อ.ลานสกา  จ.นครศรีธรรมราช  ก็มีการส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกต้นไม้เป็นบำนาญเช่นกัน

สาโรจน์  สินธู  ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเขาแก้ว  อ.ลานสกา  จ.นครศรีธรรมราช  เล่าว่า  ตำบลเขาแก้วมีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนขึ้นมาในปี 2553  โดยให้สมาชิกสมทบเงินเข้ากองทุนเดือนละ 30 บาท  แล้วนำเงินกองทุนมาช่วยเหลือสมาชิก 

เช่น   เจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล  ช่วยเหลือคืนละ 200 บาท  ปีหนึ่งไม่เกิน  15 คืน  เสียชีวิตช่วยเหลือตามอายุการเป็นสมาชิกตั้งแต่ 2,000-12,000  บาท  ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ  เช่น  อบต.เขาแก้ว  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) นอกจากนี้ได้จัดตั้งสถาบันการเงินชุมชนขึ้นมาในปี 2558 ให้สมาชิกสะสมเงินและกู้ยืมไปใช้ในยามเดือดร้อน (ปัจจุบันมีสมาชิกประมาณ 600 คน  เงินหมุนเวียนกว่า 6 ล้านบาท)

ในปี 2560  กองทุนสวัสดิการชุมชนตำบลเขาแก้วจัดทำโครงการ ‘ออมต้นไม้’ โดยแจกกล้าไม้มีค่าให้สมาชิกปลูก เช่น  ตะเคียนทอง  จำปาทอง  พะยูง  สะเดาเทียม  ฯลฯ  โดยปลูกแซมในสวนผลไม้  แบบสวน ‘สมรม’ ให้ธรรมชาติดูแลกันเอง  จำนวน 1,000 ต้น  และแจกเพิ่มขึ้นปีละ 1,000 ต้น 

ปัจจุบันมีสมาชิกที่ปลูกต้นไม้ประมาณ 90 ครอบครัว  ปลูกไม้มีค่าแล้วประมาณ 5,000 ต้น  เมื่อไม้เติบโตมีอายุ 10 ปีขึ้นไปสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินชุมชนตำบลเขาแก้วได้  นอกจากนี้ยังมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในตำบล  เช่น  ผืนดินมีความชุ่มชื้น  สร้างพื้นที่สีเขียว  เพิ่มออกซิเจน  ลดก๊าซเรือนกระจก  ฯลฯ

“เรากำหนดว่าต้นไม้ที่มีเส้นรอบวง 1 เซนติเมตร  จะมีมูลค่า  100 บาท  หากมีเส้นรอบวง 100 เซนฯ หรือ 1 เมตร จะมีมูลค่า 1 หมื่นบาท  ถ้ามี  10 ต้นสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์กู้เงินจากสถาบันการเงินชุมชนฯ ได้ถึง 1 แสนบาท  หรือปล่อยให้ต้นไม้โตขึ้นเรื่อยๆ ก็จะมีราคาสูงขึ้น  เมื่อต้นไม้อายุ 30 ปีจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าต้นละ 2-3 หมื่นบาท  หากปลูก 100  ต้นก็จะมีเงินล้านเอาไว้ใช้ในยามสูงวัย  ” สาโรจน์บอก

ต้นตะเคียนที่เขาแก้ว  อายุเกือบ 30 ปี  ปลูกก่อนจะมีโครงการออมต้นไม้  เป็นการลงทุนที่ใช้เงินน้อย  แต่สร้างผลตอบแทนระยะยาวที่คุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม  นอกจากชาวชุมชนจะตื่นตัวเรื่องปลูกไม้มีค่าเป็นบำนาญแล้ว  ปัจจุบันธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีนโยบายสนับสนุนให้เกษตรกรและชุมชนทั่วประเทศปลูกไม้มีค่าเพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ในการขอใช้สินเชื่อจาก ธ.ก.ส. เริ่มปล่อยสินเชื่อครั้งแรกในปี 2562  โดยมีต้นไม้ 58 ชนิดที่ใช้เป็นหลักทรัพย์ได้  เช่น  สัก  ประดู่  พะยูง ชิงชัน  ไม้ตระกูลยาง ฯลฯ (ดูรายละเอียดที่ https://www.baac.or.th/treebank/baac-tree-bank-2015.pdf)

หลักการปลูกต้นไม้เป็นเงินออมของ ธ.ก.ส. (ภาพ ธ.ก.ส.)

ขณะที่ จินดา  บุญจันทร์  อดีตผู้ร่วมก่อตั้งธนาคารต้นไม้แห่งแรกที่จังหวัดชุมพร  เสนอความเห็นว่า  รัฐบาลได้ปลดล็อกกัญชาและกระท่อมออกจากพืชยาเสพติดแล้ว  แต่ธนาคารต้นไม้ที่จัดตั้งมาตั้งแต่ปี 2549  จนถึงปัจจุบันยังขับเคลื่อนต่อไปไม่ได้มาก  เพราะติดอุปสรรคหลายด้าน  จึงอยากให้รัฐบาลปลดล็อก 

เช่น ในพื้นที่ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์  แต่ทางราชการอนุญาตให้ประชาชนเข้าทำกินแล้ว  หรืออยู่ในระหว่างการตรวจสอบที่ดินนั้น  ให้หน่วยงานรัฐ  เช่น ธ.ก.ส.รับรองการปลูกต้นไม้ในพื้นที่นั้นๆ  หรือรับรองการขึ้นทะเบียนต้นไม้เพื่อเป็นทรัพย์สินหรือนำมาใช้ประโยชน์ต่อไปได้

“ส่วนการปลูกต้นไม้เพื่อเป็นบำนาญหรือรองรับสังคมสูงวัยนั้น  ในกรณีที่ประชาชนไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง  ควรจะอนุญาตให้ปลูกในที่ดินสาธารณะ  เช่น  พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม  พื้นที่ริมถนน  โรงเรียน  หรือวัด  ฯลฯ  และรับขึ้นทะเบียนเพื่อให้ผู้ปลูกนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินได้”

นี่คือตัวอย่างทางเลือกและข้อเสนอ  เพื่อให้คนไทยเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณค่า  เหมือนไม้ใหญ่ที่ลงรากหยั่งลึก  แผ่กิ่งก้าน  ให้ประโยชน์และความร่มเย็นแก่ทุกสรรพสิ่ง  ไม่ใช่ไม้ที่ผุพัง...รอเพียงวันล้ม  !!

 

เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน

รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด

เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”

คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย

บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ

สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ

รมว.พม. แจ้งตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง ใน 13 จว. ช่วยกลุ่มเปราะบาง-ผู้ประสบภัยน้ำท่วมริมแม่น้ำโขง ด้าน พอช. พร้อมอนุมัติงบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติภาคเหนือและอีสาน

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลกระทบในพื้นที่ 8 จังหวัด 47 อำเภอ 207 ตำบล 22,817 ครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา