พอช.เดินหน้าพัฒนาคุณภาพชีวิต-แก้ปัญหาที่อยู่อาศัย ชุมชนชายฝั่งทะเลอันดามัน 6 จังหวัด 14,388 ครัวเรือน

พอช.ร่วมมือกับท้องถิ่น-ชุมชน  เดินหน้า โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบทกลุ่มจังหวัดอันดามัน’  6 จังหวัด  คือ  ระนอง  พังงา  ภูเก็ต  กระบี่  ตรัง  และสตูล  ตั้งเป้าดำเนินการปีนี้ 2,000 ครอบครัว  ขณะที่ จุรินทร์’  รองนายกฯ เตรียมเสนอ ครม.อนุมัติโครงการเพื่อให้ประชาชนกลุ่มจังหวัดอันดามัน  มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี  รวม 14,388  ครอบครัว

ชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย  เริ่มจากปากน้ำกระบุรี (พรมแดนไทย-พม่า) จังหวัดระนอง  ลงมายังพังงา  ภูเก็ต  กระบี่  ตรัง  และสตูล (พรมแดนไทย-มาเลเซีย)  มีความยาวทั้งหมดประมาณ  1,111 กิโลเมตร  ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  ระบุว่า  มีชุมชนต่างๆ ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเล  6 จังหวัด  ในพื้นที่  29  อำเภอ 139 ตำบล  รวม  14,388  ครัวเรือน

ชุมชนชายฝั่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน  จับปลา  ปู  กุ้ง  หอย  หมึก  เลี้ยงสัตว์  ทำสวนยางพารา สวนปาล์ม  ฯลฯ  มีปัญหาความไม่มั่นคงในที่อยู่อาศัยและการทำมาหากิน  เนื่องจากส่วนใหญ่ปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ริมชายฝั่ง  พื้นที่ป่าชายเลน  ป่าโกงกาง  หรืออยู่ในพื้นที่ที่หน่วยงานรัฐประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า  เขตอนุรักษ์ป่าสงวนแห่งชาติ  อุทยานแห่งชาติ  หรือพื้นที่ที่กรมเจ้าท่าดูแลอยู่  ฯลฯ  

แม้ชุมชนเหล่านี้จะอยู่อาศัยต่อเนื่องมายาวนาน  แต่ก็ไม่ได้รับรองสถานะจากหน่วยงานรัฐ  หลายพื้นที่หน่วยงานปกครองในท้องถิ่น  เช่น  อบต. ไม่สามารถเข้าไปสนับสนุนสาธารณูปโภคที่จำเป็น  หรือส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวชุมชนได้  เพราะถือว่าเป็นชุมชนบุกรุก  หากเข้าไปสนับสนุนอาจจะมีความผิดตามกฎหมาย 

แม้แต่การซ่อมแซมบ้านเรือนหากชาวบ้านไม่ขออนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของที่ดินก็อาจจะมีความผิด  เป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน  ไม่เฉพาะชุมชนชายฝั่งทะเลเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ป่า  พื้นที่สูงทั่วประเทศด้วย

อย่างไรก็ดี   ปัญหาและอุปสรรคเหล่านี้   หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ริเริ่มแก้ไขปัญหามาตั้งแต่ปี 2545  โดยคณะกรรม การการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ./ ขึ้นอยู่กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี)   ได้จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการถ่ายโอนภารกิจด้านโครงสร้างพื้นฐาน  ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มาอย่างต่อเนื่อง  เช่น  การถ่ายโอนการศึกษาขั้นพื้นฐาน  การถ่ายโอนบริการด้านสาธารณะให้ อปท.  ฯลฯ

ส่วนการกระจายอำนาจและการถ่ายโอนภารกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ อปท. เพิ่งจะประสบความสำเร็จเมื่อปี 2564  ที่ผ่านมา

หน่วยงาน MoU. ปลดล็อกพัฒนาชุมชนในเขตป่า-ชายฝั่งทะเลได้

โดยเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564  มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Understanding) เพื่อสนับสนุนการกระจายอำนาจด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ระหว่างผู้แทน 6 หน่วยงาน  คือ  กรมอุทยานแห่งชาติ  กรมป่าไม้  กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น  สำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.)  และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  โดยมีนายวิษณุ  เครืองาม  รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

บันทึกความร่วมมือในครั้งนี้   มีทั้งหมด  3 ฉบับ  คือ 1.ฉบับที่เกี่ยวข้องกับที่ดินในเขตอุทยาน  เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า ฯลฯ  ที่กรมอุทยานแห่งชาติ  สัตว์ป่า และพันธุ์พืชดูแล  2.ฉบับที่เกี่ยวข้องกับที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่กรมป่าไม้ดูแล  และ 3.ฉบับที่เกี่ยวกับที่ดินป่าชายเลนที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งดูแล

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันสนับสนุนการอนุรักษ์  ฟื้นฟูป่า  ส่งเสริมอาชีพ  พัฒนาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย  พัฒนาคุณภาพชีวิตชาวชุมชนที่อาศัยอยู่ในเขตอุทยานฯ  เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า  เขตป่าสงวนฯ  และป่าชายเลน  ระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี (พ.ศ.2564-2568)  

นายวิษณุ รองนายกฯ (นั่งกลาง) เป็นประธานในพิธีลงนาม  มี รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นั่งซ้าย) และ รมว. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (นั่งขวา) ร่วมในพิธี

ผลจากการลงนามในครั้งนี้จะทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เช่น  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช.สามารถเข้าไปสนับสนุนการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น  การพัฒนาอาชีพ  รายได้  ที่อยู่อาศัย  ที่ดินทำกิน  การดูแลรักษาฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนและชุมชนที่อยู่อาศัยทำกินในเขตป่าดีขึ้น  

ส่วนบทบาทและภารกิจของ พอช. ที่ร่วมลงนามในครั้งนี้  คือ 1.ร่วมสนับสนุนการจัดทำแผนและการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน  2.ร่วมสนับสนุนงบประมาณแก่องค์กรชุมชนในการพัฒนาที่อยู่อาศัย  3.ร่วมสนับสนุนการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตและแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยของชุมชนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง  เช่น  การจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์  การพัฒนาความเข้มแข็งของกลุ่มองค์กรชุมชน 

4.ร่วมสนับสนุนกระบวนการออกแบบวางผังการใช้ประโยชน์ที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงระบบนิเวศ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน  และ 5.สนับสนุนงบประมาณแก่องค์กรชุมชนในการพัฒนาที่อยู่อาศัย  ที่ดินทำกิน  ระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็น  คุณภาพชีวิต  การสร้างกระบวนการเรียนรู้  ตลอดจนสินเชื่อที่อยู่อาศัยตามความจำเป็น  ฯลฯ

พอช.ต่อยอดพัฒนาชุมชนชายฝั่งทะเลอันดามัน 6 จังหวัด  

สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  มีภารกิจในการส่งเสริมสนับสนุนสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน  องค์กรชุมชน  และภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ   ผ่านกิจกรรม  โครงการต่างๆ  เช่น  การพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยตามโครงการ บ้านมั่นคง’  การส่งเสริมอาชีพ  สร้างรายได้  พัฒนาคุณภาพชีวิต  สิ่งแวดล้อม  ส่งเสริมการจัดสวัสดิการชุมชน  การจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลเพื่อเป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชน  ฯลฯ

เมื่อมีการปลดล็อคให้ อปท. และหน่วยงานต่างๆ  สามารถเข้าไปส่งเสริมการพัฒนาชุมชนในเขตป่าและชายฝั่งทะเลได้  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช. ได้จัดทำ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและที่อยู่อาศัยพื้นที่กลุ่มจังหวัดอันดามัน ขึ้นมาในปี 2564   เพื่อให้ชุมชนชายฝั่งอันดามันได้รับโอกาสในการพัฒนาชุมชน  ขณะนี้อยู่ในระหว่างการเริ่มต้นโครงการ

นายธีรพล  สุวรรณรุ่งเรือง  ผู้อำนวยการ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบทกลุ่มจังหวัดอันดามัน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ  บอกว่า  กลุ่มจังหวัดอันดามัน  6 จังหวัด  คือ  ระนอง  พังงา  ภูเก็ต  ตรัง  กระบี่  และสตูล  มีชุมชนผู้มีรายได้น้อย  ไม่มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินทั้งในเมืองและชนบทเป็นจำนวนมาก  ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน  ทำสวนยางพารา  สวนปาล์ม  รับจ้างทั่วไป  ฯลฯ

เขาบอกว่า  ที่ผ่านมารัฐหรือหน่วยงานที่ดินในเขตป่าและชายฝั่ง   รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  มีแนวทางการแก้ไขปัญหาและผ่อนปรนการอยู่อาศัยและทำกินของประชาชนในหลายพื้นที่   เช่น  การอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำกิน   การพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน   ควบคู่กับการดูแลอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่ง  ฟื้นฟูระบบนิเวศน์  ดิน   น้ำ  ป่า  สอดคล้องกับวิถีชุมชนดั้งเดิม  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ที่ได้ดำเนินการ  พบว่ายังมีพื้นที่ที่มีปัญหาอีกจำนวนมาก 

ดังนั้น พอช.จึงจัดทำโครงการนี้ขึ้นมา  เพื่อร่วมมือกับองค์กรชุมชน  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ประชาสังคม  ภาคเอกชน  ภาคีต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  เพื่อจะร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่ชุมชนชายฝั่งอันดามันไปสู่ความยั่งยืนทุกมิติ  ผู้อำนวยการโครงการบอกถึงความเป็นมา  

โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ กลุ่มจังหวัดอันดามัน  เริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงปลายปี  2564  เป็นต้นมา   โดยเริ่มจากชุมชนชาวประมงหรือชายฝั่งทะเลก่อน  เพราะสภาพพื้นที่ 6 จังหวัดอันดามันมีชุมชนชายฝั่ง   หรือชุมชนในเขตป่าชายเลนจำนวนมาก  จากข้อมูลของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งระบุว่า  มีชุมชนเหล่านี้อยู่ในพื้นที่  29  อำเภอ 139 ตำบล  รวม  14,388  ครัวเรือน    

ส่วนรูปแบบและวิธีการทำงานนั้น  พอช.จะร่วมกับหน่วยงานในท้องถิ่น   ภาคีเครือข่าย  สถาบันการศึกษา และชุมชน  จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา  เช่น  มีคณะทำงานระดับจังหวัด  คณะกรรมการเมือง  เพื่อประสานงานด้านนโยบายและสนับสนุนการทำงาน  และมีคณะทำงานระดับพื้นที่ตำบล/เทศบาล  โดยใช้องค์กรในชุมชนที่มีอยู่แล้วเป็นกลไกในการขับเคลื่อนงานในพื้นที่  เช่น  สภาองค์กรชุมชนตำบล  กองทุนสวัสดิการชุมชน  ฯลฯ 

มีกระบวนการทำงาน  เช่น  1.การชี้แจงสร้างความเข้าใจกับชาวชุมชน  เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน  เข้าใจวัตถุประสงค์  เป้าหมาย  และวิธีดำเนินการ  2.การจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นการรวมคน  รวมเงิน  สร้างฐานการเงินเป็นของชุมชน  เรียนรู้ระบบการจัดการการเงินร่วมกัน  3.การแบ่งหน้าที่  ความรับผิดชอบในการทำงาน  4.การสำรวจข้อมูลชุมชน  ความเดือดร้อน  ความต้องการ  จัดทำแผนที่ชุมชน  5.นำข้อมูลมาวางแผนการทำงาน-การแก้ไขปัญหา 6.เสนอโครงการ  งบประมาณ   7.ปฏิบัติงานตามแผน  ฯลฯ

เราจะใช้กระบวนการขั้นตอนการทำงานตามแนวทางของโครงการ บ้านมั่นคงที่ พอช. ดำเนินงานทั่วประเทศมาเป็นแนวทางสำคัญ  เพราะ บ้านมั่นคงไม่เพียงแต่จะแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินและที่อยู่อาศัยเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิต  การส่งเสริมอาชีพ  รายได้  การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ ทุกมิติ  ตามที่ชุมชนต้องการ  โดยชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหา  พอช. และหน่วยงานภายนอกเป็นฝ่ายสนับสนุน  ซึ่งแนวทางการพัฒนาแบบนี้จะทำให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง  สามารถพึ่งพาตนเองได้  นายธีรพลบอก

การจัดประชุมชาวบ้านที่อำเภอสิเกา จ.ตรัง

คนสิเกา จ.ตรัง - สุขสำราญ .ระนอง  พร้อมพัฒนาชุมชน 

ส่วนความคืบหน้า โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบทกลุ่มจังหวัดอันดามันนั้น  ขณะนี้มีการขับเคลื่อนโครงการแล้วในหลายจังหวัด  หลายตำบล  เช่น  ตำบลบ่อหิน  อ.สิเกา  จ.ตรัง  มีพื้นที่บางส่วนติดป่าชายเลนและฝั่งทะเล   มี 9 หมู่บ้าน  จำนวน  2,100 ครัวเรือน  ประชากรประมาณ  7,000 คน  ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวนยาง  ปาล์มน้ำมัน  ประมงพื้นบ้าน  และรับจ้างทั่วไป

นายภาคภูมิ  สมันหลี  รองประธานคณะทำงานที่อยู่อาศัยบ้านดุหุน  หมู่ที่ 3  บอกว่า  ตำบลบ่อหินมีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลตั้งแต่ปี 2552 จึงใช้สภาฯ ขับเคลื่อนงาน  เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา   เช่น  ร่วมกับเจ้าหน้าที่ พอช.จัดประชุมชี้แจงสร้างความเข้าใจโครงการกับผู้นำชุมชนและชาวบ้าน  จัดตั้งคณะทำงานในแต่ละหมู่บ้านขึ้นมา  จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์  ร่วมกันสำรวจข้อมูล  ครัวเรือนที่มีความเดือดร้อนเรื่องบ้าน  เรื่องที่ดิน  และปัญหาต่างๆ ในหมู่บ้าน-ตำบล  จัดทำแผนที่ทำมือ  ฯลฯ  เพื่อนำมาวางแผนงานแก้ไขปัญหาทั้งตำบล  เป็นแผนระยะ 3 ปี

ทั้งนี้จากการจัดประชุมคณะทำงานที่อยู่อาศัยบ้านดุหุน  ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา  มีคณะทำงานและตัวแทนชาวบ้านเข้าร่วมประชุมประมาณ 50 คน  เพื่อให้ที่ประชุมรวบรวมปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไข  พบว่า  ชาวบ้านมีปัญหาต่างๆ  เช่น  มีรายได้น้อย  มีหนี้สิน  มีอาชีพไม่มั่นคง  ไม่มีทุนประกอบอาชีพ  ไม่ที่ดินปลูกบ้าน  อยู่ในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์  บ้านเรือนทรุดโทรมคับแคบ  ไม่มีบ้านเป็นของตนเอง  น้ำประปาไม่พอใช้  ปัญหาขยะ  ถนนเป็นดินลูกรัง ฝนตกจะเฉอะแฉะ  น้ำท่วมขัง  ฯลฯ  โดยชาวบ้านต้องการจะแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้

ขณะเดียวกัน  ชาวบ้านได้ร่วมกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นทุนในการพัฒนาชุมชน  มีสมาชิกแรกเข้า 102 ครัวเรือน  (บ้านดุหุนมีทั้งหมดประมาณ 250 ครัวเรือนร่วมกันออมเงินเข้ากลุ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  ครัวเรือนละ 120 บาท  แบ่งเป็นออมเพื่อที่อยู่อาศัย 50 บาท  เพื่อจัดสวัสดิการช่วยเหลือกัน 30 บาท  ออมเพื่อสะสม  20 บาท  เป็นค่าบริหารจัดการ 20 บาท  และบางกลุ่มยังออมเพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพด้วย!!

ชาวบ้านที่  อ.สิเกา  จ.ตรัง  เสนอแผนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชุมชน

ชุมชนในเขตเทศบาลตำบลกำพวน  อ.สุขสำราญ  จ.ระนอง  มีทั้งหมด มี 7 หมู่บ้าน  จำนวน 1,630  ครัวเรือน  ประชากรประมาณ  8,000 คน  ในจำนวนนี้มี 463 ครัวเรือนที่ปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ในที่ดินป่าชายเลนและพื้นที่ชายฝั่งที่กรมเจ้าท่าดูแล  ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน  สภาพบ้านเรือนทรุดโทรมเพราะปลูกสร้างมานาน

นายอารีดีน  อินตัน  นายเทศมนตรีเทศบาลตำบลกำพวน  บอกว่า  ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่ป่าชายเลนซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติแหลมสน  และบางส่วนเป็นพื้นที่ที่กรมเจ้าท่าดูแลอยู่  แม้ว่าที่ผ่านมาหน่วยงานเจ้าของที่ดินจะอนุญาตให้ชาวบ้านอยู่อาศัยโดยไม่ได้ขับไล่  เพราะชาวบ้านอยู่อาศัยและทำกินมานานหลายสิบปีก่อนการประกาศเขตอุทยานฯ (ประกาศเขตอุทยานปี 2526)  แต่ที่ผ่านมา  ทางเทศบาลไม่สามารถเข้าไปพัฒนาชุมชนได้อย่างเต็มที่  เนื่องจากติดขัดข้อกฎหมายและงบประมาณมีจำกัด

เมื่อทางรัฐบาลมีนโยบายให้ อปท.สามารถเข้าไปพัฒนาชุมชนได้  เทศบาลก็จะร่วมกับ พอช. พัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลพบว่า  ชาวบ้านต้องการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านเรือนที่ผุพังทรุดโทรม  สร้างสะพาน  ทางเดินเท้าในชุมชน  เพราะเดิมเป็นสะพานไม้เก่าๆ ผุผังแล้ว 

นอกจากนี้ก็จะมีแผนการปรับปรุงท่าเรือประมง  สร้างลานแกะปู  คัดปลา  การจัดการขยะ  บำบัดน้ำเสียในครัวเรือนและชุมชน   รวมทั้งทำเรื่องท่องเที่ยวชุมชนด้วย  เพราะในตำบลมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามหลายแห่ง  เช่น  เกาะญี่ปุ่น  อ่าวเขาควาย  มีหาดทรายสวย  น้ำทะเลใส  ถ้าปรับปรุงท่าเรือแล้ว  นักท่องเที่ยวก็มาลงเรือที่นี่ได้  ชาวบ้านจะได้มีรายได้จากการท่องเที่ยวด้วย”  นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลกำพวนบอกถึงแผนงานพัฒนาชุมชน

ส่วนเรื่องที่ดินที่อยู่อาศัยนั้น  ทางเทศบาลจะทำเรื่องถึงผู้ว่าราชการจังหวัดระนองและอุทยานแห่งชาติแหลมสนเพื่ออนุญาตให้ชาวบ้านใช้ที่ดินอุทยานฯ เป็นที่อยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามแนวทางของ คทช. (คณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) ที่ให้ อปท.ทำเรื่องขอใช้ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยของชุมชนเสนอต่อจังหวัดและหน่วยงานเจ้าของที่ดินได้ (แต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์)  ซึ่งจะทำให้ชาวบ้านมีความมั่นคงในเรื่องที่ดินที่อยู่อาศัย  ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนขับไล่

นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลกำพวน  อ.สุขสำราญ  จ.ระนอง

พอช.ตั้งเป้าเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนอันดามันปีนี้ 2,000 ครัวเรือน

นายจิตรกร  พยัคโส  หัวหน้างานออกแบบและก่อสร้าง  สำนักงานบ้านมั่นคงและที่ดิน พอช.  บอกว่า   ชุมชนชายฝั่งทะเลอันดามัน  เช่น  ตำบลบ่อหิน  อ.สิเกา  จ.ตรัง  และชุมชนในเขตเทศบาลตำบลกำพวน  อ.สุขสำราญ  จ.ระนอง   เป็นตัวอย่างที่ พอช.เข้าไปสนับสนุนให้หน่วยงานในท้องถิ่นและชาวชุมชนร่วมกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชน 

ส่วนงบประมาณสนับสนุนชุมชนนั้น   พอช.จะสนับสนุนการซ่อมแซมบ้านเรือนที่มีสภาพทรุดโทรม  บ้านเรือนที่มีความคับแคบ  หรือเป็นครอบครัวขยาย  ตามโครงการบ้านมั่นคงเมือง (ชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง) ไม่เกินครัวเรือนละ 30,000 บาท  และสนับสนุนด้านสาธารณูปโภคส่วนกลาง เช่น  ถนน  ทางเดิน  การจัดการขยะ  น้ำเสีย  ฯลฯ  ไม่เกินครัวเรือนละ 30,000 บาท  เช่น  ชุมชนบ้านท่ากลาง  เทศบาลตำบลกำพวน  อ.สุขสำราญ  จ.ระนอง  เสนอแผนงานระยะเวลา 3 ปี  งบประมาณรวม 11.5 ล้านบาท

สภาพชุมชนชาวประมงที่เทศบาลตำบลกำพวน  อ.สุขสำราญ  จ.ระนอง

ส่วนชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตชนบท  พอช. สนับสนุนการซ่อมบ้านไม่เกินครัวเรือนละ 40,000 บาท  และสาธารณูปโภคไม่เกินครัวเรือนละ 12,000 บาท

ทั้งนี้ในการซ่อมแซมบ้านเรือนและก่อสร้างสาธารณูปโภคในชุมชนต่างๆ นั้น  พอช.จะสนับสนุนให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม  เช่น  ใช้ช่างก่อสร้าง  แรงงานในชุมชน  หรือจิตอาสา  หรือร่วมกับสถาบันฝีมือแรงงานในท้องถิ่นจัดอบรม  เพื่อพัฒนาให้ช่างชุมชนยกระดับเป็นช่างฝีมือเพื่อใช้ประกอบอาชีพต่อไปได้

ช่างชุมชนและช่างจิตอาสาจากจังหวัดต่างๆ มาช่วยสร้างบ้านที่ชุมชนชาวประมง  เนื่องในโอกาสการจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกที่ จ.กระบี่เมื่อปลายปี 2564

นายธีรพล  สุวรรณรุ่งเรือง  ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบทกลุ่มจังหวัดอันดามัน  บอกว่า  ขณะนี้ พอช.อยู่ในระหว่างการอนุมัติแผนงานและงบประมาณตามที่ชุมชนเสนอมา  ในเบื้องต้นจะมีพื้นที่ที่เป็นโครงการนำร่องประมาณ 7 ตำบล  ใน 3 จังหวัด  คือ  ระนอง  พังงา  และตรัง 

โดยในปีนี้มีเป้าหมายครัวเรือนทั้งหมดที่อยู่ในแผนพัฒนาประมาณ 2,000 ครัวเรือน  ส่วนเป้าหมายที่เหลือจากชุมชนในเขตป่าชายเลนฝั่งทะเลอันดามัน  6 จังหวัด  คือ  ระนอง  พังงา  ภูเก็ต  กระบี่  ตรัง  และสตูล  ในพื้นที่  29  อำเภอ 139 ตำบล  รวม  14,388  ครัวเรือน  จะนำเสนอแผนงานเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติที่มี    นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี  เป็นประธาน

ขณะที่ นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี  ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ   ได้กล่าวในพิธีมอบบ้านและงบประมาณที่ พอช.ดำเนินการให้แก่ชาวชุมชนที่มีรายได้น้อยในจังหวัดภูเก็ตเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า 

ผมมีแผนที่จะเสนอผลการดำเนินงานและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตและที่อยู่อาศัยของประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดอันดามัน  ระยะ 5 ปี (..2565 - 2569) ต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี  เพื่อให้เกิดการสนับสนุนแผนงานและงบประมาณ  โดยมีความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตามแผนเพื่อให้พี่น้องประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง  และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น !!

..................................

เรื่องและภาพ  :  สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สุราษฎร์ธานี จัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกปี67 ย้ำชุมชนต้องเป็นแกนหลักในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน

UN – HABITAT หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’ กำหนดให้วันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทุกปีเป็น ‘วันที่อยู่อาศัยโลก’ หรือ ‘World Habitat Day’

รวมพลังคนจนแก้ปัญหาที่ดิน-ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ วันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2567

ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’

‘21 ปีบ้านมั่นคง’ พอช. แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจนทั่วประเทศ กว่า 3 แสนครัวเรือน

รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย และสร้างความมั่นคงในการอยู่อาศัยแก่คนจนในเมืองที่ ยังไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้อยู่อาศัยในชุมชนแออัด

เสียงจากคลองเปรมประชากร…บ้านหลังใหม่ชีวิตใหม่ “คืนสายน้ำให้คนคลอง คืนสายคลองให้คนเมือง”

คลองเปรมประชากร มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คลองนี้ได้ประสบปัญหามากมาย

บอร์ด พอช. มีมติ พักชำระหนี้องค์กรผู้ใช้สินเชื่อในพื้นที่ประสบอุทกภัยทั่วประเทศ

สถานการณ์การเกิดอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุยางิ ในระหว่างวันที่ 7 - 8 กันยายน 2567 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในจังหวัดเชียงราย จำนวน 7 อำเภอ

รมว.พม. แจ้งตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง ใน 13 จว. ช่วยกลุ่มเปราะบาง-ผู้ประสบภัยน้ำท่วมริมแม่น้ำโขง ด้าน พอช. พร้อมอนุมัติงบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบภัยพิบัติภาคเหนือและอีสาน

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลกระทบในพื้นที่ 8 จังหวัด 47 อำเภอ 207 ตำบล 22,817 ครัวเรือน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา