ลดภาวะโลกร้อน หมุนเวียนทรัพยากรให้ใช้อย่างคุ้มค่า

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศส่งผลให้โลกที่มนุษย์อาศัยอยู่ทุกวันนี้มีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งจากรายงานของโครงการ Copernicus Climate Change Service (C3S) ของสหภาพยุโรป พบว่า อุณหภูมิโลกเพิ่มเฉลี่ยในปี 2021 อยู่ที่ 1.1 - 1.2 องศาเซลเซียส สูงกว่าระดับในปี 1850 - 1900 โดยปีที่ร้อนที่สุดในประวัติการณ์คือปี 2016 และ 2020 ขณะที่รายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) ในปี 2018 ระบุว่า อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยน่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.5 องศาเซลเซียสในช่วงระหว่างปี 2030 - 2052 หากยังมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งหากเมื่อมาดูถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากโลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้นไปที่ 1.5 - 2 องศาเซลเซียส จะเกิดผลกระทบไปทุกด้าน โดยรายงานพิเศษจากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ที่เผยแพร่ออกมาในปี 2018 ชี้ว่า ทุกการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกนั้นจะส่งผลกระทบที่สำคัญ ได้แก่ สภาพอากาศร้อนจัดที่จะเพิ่มขึ้น โดยประชากรโลกจะเผชิญกับคลื่นความร้อนสูงในทุกๆ 5 ปี

ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น ประมาณ 0.26 - 0.87 เมตร ในปี 2100 เมื่อเทียบกับช่วงปี 1986 - 2005 ความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลง โดยคาดว่าภายในปี 2100 แมลง 6% พืช 8% และสัตว์มีกระดูกสันหลัง 4% จะสูญเสียพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ไปมากกว่าครึ่ง แต่หากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส คาดว่าผลกระทบจะรุนแรงเป็น 2 - 3 เท่า ซึ่งพื้นที่บนบกจะเผชิญการเปลี่ยนผ่านของระบบนิเวศจากประเภทหนึ่งไปสู่อีกประเภทหนึ่ง

ขณะเดียวกัน การละลายของน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกจะเกิดเหตุการณ์ปราศจากน้ำแข็งในช่วงฤดูร้อนประมาณทุกๆ 10 - 100 ปี ซึ่งจะเป็นการเร่งให้ระดับอุณหภูมิโลกเพิ่มเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากน้ำทะเลที่เป็นสีน้ำเงินเข้มจะดูดซับความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ ซึ่งจะเกิดความเสี่ยงต่อแนวปะการังทั่วโลกลดลงอีก 70 - 99% ซึ่งจะก่อให้เกิดความสูญเสียที่รุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งหลายแห่งแบบไม่มีทางย้อนกลับ ต่อเนื่องไปถึงการทำประมงทั่วโลกจะลดลง ปริมาณการจับสัตว์น้ำประจำปีสำหรับการทำประมงทางทะเลทั่วโลกลดลงหลายล้านตัน

ส่วนด้านประชาชนเองก็จะเผชิญกับภาวะความยากจนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นที่ต้องพึ่งพิงการเกษตรหรือการหาเลี้ยงชีพจากทรัพยากรตามแนวชายฝั่ง ซึ่งการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส อาจช่วยลดจำนวนประชาชนทั่วโลกที่ต้องเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศลงได้หลายร้อยล้านคน เมื่อเทียบกับการปล่อยให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นถึงระดับ 2 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ยังมีเรื่องผลกระทบด้านสุขภาพ ที่คาดว่าจะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนจัดหรือติดเชื้อจากพาหะนำโรค เช่น โรคมาลาเรียหรือไข้เลือดออกได้มากกว่าเดิม

ซึ่งจากผลกระทบทั้งหมดนั้นเป็นผลเสียให้กับมนุษย์และสัตว์ที่อาศัยอยู่บนโลกอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่อหลายคนบนโลกตระหนักถึงเรื่องผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้แล้ว จึงได้เกิดแผนงานที่จะดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและอุณหภูมิของโลกนี้ไม่ให้สูงเกินไปกว่าที่กำหนด โดยจำกัดไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในวาระประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP ที่ทำให้เกิดข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ขึ้น ซึ่งภายใต้ข้อตกลงนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมุ่งมั่นที่จะสร้างการมีส่วนร่วมและทำเป้าหมายให้เป็นจริง

ประเทศไทยเองที่ผ่านมาก็มีความชัดเจนเรื่องนี้อยู่หลายเรื่อง ขณะที่ภาคเอกชนเองก็มีการดำเนินงานตามความตั้งใจของประเทศ ซึ่งมีหลายแผนงานที่ถูกกำหนดออกมา หนึ่งในนั้นคือเรื่องการรีไซเคิล และลดใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง โดยหนึ่งในวัตถุดิบที่หลายคนมองข้ามและอาจจะไม่ได้ใส่ใจว่าเป็นเรื่องของความสิ้นเปลืองและเป็นบ่อเกิดของผลกระทบด้านอุณหภูมิก็คือการใช้ “กระดาษ”

ที่ผ่านมาประเทศไทยมีสถิติการใช้กระดาษในปี 2016 เฉลี่ยคนละ 50 กิโลกรัมต่อปี โดยทั่วประเทศนั้นมีความต้องการกระดาษทุกชนิดรวมกันประมาณ 3.6 ล้านตันต่อปี ไม่ว่าจะเป็นกระดาษที่นำไปทำเป็นบรรจุภัณฑ์ หนังสือพิมพ์ กระดาษสำหรับเขียน สำหรับพิมพ์ และอื่นๆ หมายความว่าจะต้องมีการตัดต้นไม้ประมาณ 18 ต้น/คน และถ้ารวมทั้งประเทศต้องตัดต้นไม้มากถึง 66.3 ล้านต้น/ปี เนื่องจากในการผลิตกระดาษทั่วไป 1 ตัน จากเยื่อไม้บริสุทธิ์ จะต้องใช้ไม้ยูคาลิปตัสอายุ 5 ปี จำนวน 17 ต้น ใช้ไฟฟ้าจำนวน 4,100 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ใช้น้ำถึง 31,500 ลิตร และมีการปล่อยมลพิษคือ คลอรีน สู่สิ่งแวดล้อมประมาณ 7 กิโลกรัม

และเมื่อมนุษย์ใช้กระดาษมากขึ้น นอกจากจะเพิ่มการผลิตที่สูงขึ้นจนเปลืองทรัพยากรแล้ว ยังเป็นการเพิ่มขยะให้สูงขึ้นอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีเอกชนหลายรายทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง และผู้ที่ตระหนักถึงผลกระทบที่กำลังจะมาถึงในอนาคต ได้เดินหน้าโครงการต่างๆ เพื่อลดการใช้กระดาษ และนำกระดาษมารีไซเคิลเพื่อให้โลกมีต้นไม้ที่คอยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ต่อเนื่อง อาทิ แคมเปญไปรษณีย์ reBOX ภายใต้แนวคิด “reBOX to School” ที่จะนำกล่องกระดาษไปรีไซเคิลเป็นสิ่งของใช้ประโยชน์ อาทิ ชุดโต๊ะเก้าอี้ ชั้นหนังสือ อุปกรณ์การเรียน เตียงกระดาษสำหรับห้องพยาบาล เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้และการศึกษาของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนทั่วประเทศต่อไป

โดยดำเนินงานผ่านความร่วมมือของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่ง ปตท. ได้ร่วมสนับสนุนพื้นที่ในการติดตั้งจุดรับบริจาครวมทั้งสิ้น 48 จุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและประชาชนทั่วไปได้มาร่วมโครงการในครั้งนี้

พร้อมเชิญชวนทุกท่านนำกล่องพัสดุและซองไปรษณีย์ที่ไม่ใช้แล้วมาบริจาคได้ที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต อาคารเอเนอร์ยี่ คอมเพลกซ์ โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง และสถานีบริการ NGV ปตท. ที่เข้าร่วมแคมเปญ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 ตุลาคม 2565

นอกจากนี้ยังรวบรวมกล่องพัสดุ/ซองที่ไม่ใช้แล้วมาบริจาคได้ที่จุด Drop Box จุด Drive Thru ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งจะได้รับแต้มสะสม POST FAMILY และสำหรับเดือนมิถุนายนนี้ สามารถนำแต้มสะสมมาแลกเป็นส่วนลดค่าจัดส่งได้ตั้งแต่ 50 บาท สูงสุดถึง 1,000 บาท เพื่อใช้ในบริการส่งด่วน EMS ในประเทศ ส่งด่วนต่างประเทศ EMS World ลงทะเบียนในประเทศ และลงทะเบียนต่างประเทศ

การทำงานร่วมกันนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเหลือให้ประเทศไทยลดการใช้กระดาษอย่างสิ้นเปลือง เป็นการลดการใช้ทรัพยากรที่จะช่วยลดผลกระทบต่ออุณหภูมิของโลกลงและยังสามารถนำไปพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ เครื่องมือเพื่อส่งต่อให้กับผู้ที่ต้องการใช้งานอย่างแท้จริงอีกด้วย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปตท. ขอเชิญร่วมงาน “ลำนำนที วารีสมโภช” เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

จัดเต็มกิจกรรมสุด Exclusive ณ สวนสันติชัยปราการ (ป้อมพระสุเมรุ) ถนนพระอาทิตย์ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 26 – 28 กรกฎาคม 2567

ขอเชิญชวนเยาวชนและบุคคลทั่วไปร่วมส่งผลงานประเภทประติมากรรมสื่อผสมจากวัสดุเหลือใช้ ในหัวข้อ ‘ชลวิถี นทีพัฒน์’

ขอเชิญชวนเยาวชนและบุคคลทั่วไป อายุ 18 ปีขึ้นไป ร่วมส่งผลงานประเภทประติมากรรมสื่อผสมจากวัสดุเหลือใช้ เข้าประกวดในหัวข้อ ‘ชลวิถี นทีพัฒน์’

ปตท. คว้าอันดับ 1 บริษัทชั้นนำในไทยและอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากนิตยสารฟอร์จูน สะท้อนผลการดำเนินงานและความสำเร็จที่เป็นเลิศในระดับสากล

ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) กล่าวว่า ปตท. ได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทชั้นนำอันดับหนึ่งของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

OR หนุน3สมาคมกีฬาฯ 4ปีรวม60ล้านบาท มุ่งพัฒนานักกีฬาไทยสู่สากล

ผศ. พิมล ศรีวิกรม์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี และประธานอนุกรรมการพิจารณาจัดการสนับสนุนสมาคมกีฬาจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน รับมอบเงินจำนวน 60 ล้านบาท สนับสนุน 4 ปีต่อเนื่อง (ปี 2567 - 2570) จาก นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย 3 สมาคม ได้แก่ สมาคมกีฬารักบี้ฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมกีฬาสควอชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมกีฬาคนพิการทางสมองแห่งประเทศไทย

ปตท. คว้า 7 รางวัลยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย สูงสุดในไทย สะท้อนความเป็นเลิศในระดับสากล

เมื่อเร็ว ๆ นี้ - นางสาวพรรณนลิน มหาวงศ์ธิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน พร้อมด้วย นางกนกพร รอดรุ่งเรือง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารชื่อเสียงองค์กรและกิจการเพื่อสังคม