'ศิริกัญญา' บอกมันจบแล้ว หลัง 'แพทองธาร' บริหารเศรษฐกิจย่ำแย่เละคามือ ขอบคุณทำคนไทยทั้งประเทศตาสว่าง ได้รู้ว่าเพื่อไทยไม่ได้เก่งกาจด้านเศรษฐกิจอย่างที่คุยโม้ ความสำเร็จในอดีตเป็นเพียงเพราะโชคช่วย ความผิดพลาดมหันต์ที่ให้อภัยไม่ได้คือ นายกฯทำให้ชาวบ้านร้องหาลุงตู่
25 มีนาคม 2568 - เวลา 14.00 น. นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปราย โดยกล่าวขอบคุณ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้ทำให้คนไทยทั้งประเทศตาสว่าง ได้เรียนรู้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เก่งกาจด้านเศรษฐกิจ ความสำเร็จในอดีตได้มาเพราะโชคช่วย ตอนนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ว่าแย่แล้ว วันนี้แย่ยิ่งกว่า พอมาถึงยุคนางสาวแพทองธาร แม้ว่าจะมีนายกแพ็คคู่มากว่า 7 เดือนแล้ว แต่วันนี้เห็นการชัดๆ เต็มสองตา สัมผัสได้ทุกรูขุมขน เข้าใจกระจ่างแจ้งทุกอย่างแล้ว ว่าคุณไม่ได้เก่งจริงอย่างที่คุณได้เคยโอ้อวดเอาไว้ ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีความรู้ ความเข้าใจ บริหารเศรษฐกิจเละคามือ
"ณ วันที่ข้ามขั้ว ดิฉันเชื่อว่า ประชาชนบางส่วนรับได้ ยอมหลับตาข้างหนึ่งไม่ถือสา เพราะศรัทธาในตัวอดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นคนบริหารเก่ง บริหารเศรษฐกิจดี คิดว่าอย่างน้อย ถ้าได้รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็นำพาเศรษฐกิจไทยกลับมารุ่งโรจน์โชติช่วงเหมือนในอดีต แต่วันนี้พวกเขารู้ตัวแล้วว่า เขาคิดผิด เข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่เห็นดีอย่างที่คิด ไม่เห็นเหมือนที่โฆษณา นึกว่าเก่งด้านเศรษฐกิจ พอเอาเข้าจริง บริหารได้ย่ำแย่ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่นั่นยังไม่ทำให้เราช้ำใจ ความผิดมหันต์ที่ให้อภัยไม่ได้ ของนางสาวแพทองธาร คือการทำให้คนร้องหาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี คิดถึง ลุงตู่"
นางสาวศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ให้อภัยไม่ได้จริงๆ ที่นายกรัฐมนตรีกำลังทำให้คนพากันลืมภาพร้ายๆ ของรัฐประหาร ทำให้ความทรงจำเลวร้ายเลือนลาง กลายเป็นความทรงจำที่มีเสียงออกมาว่า "สมัยลุงตู่ยังดีกว่านี้เลย" ตนอยากถามว่าท่านทำอะไรลงไป ท่านรู้ตัวหรือไม่ ความเดือดร้อนในตอนนี้ เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า ตั้งแต่รายได้ที่ฝืดเคือง ค่าของชีพสูง ทำมาหากิน อะไรก็ไม่คล่อง หนี้ครัวเรือนท่วมท้น ทั้งในและนอกระบบ โรงงาน ห้างร้าน บริษัททยอยปิดตัว คนงานตกงาน เศรษฐกิจโตต่ำ ปัญหาเฉพาะหน้าแก้ไม่ได้ ปัญหาโครงสร้างไม่เคยพูดถึงอย่างจริงจัง
ชนชั้นแรกที่ถูกแจกความสิ้นหวังกันอย่างเท่าเทียม คือ เกษตรกร ล่าสุดการที่รัฐมนตรีว่าการระทรวงพาณิชย์ขึ้นชี้แจง เรามีคนแบบนี้ที่คอยส่งข้อมูลที่บิดเบือนให้กับนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ โกหกหน้าตาย ว่าราคาสินค้าทางการเกษตรทุกอย่างยังดี ทั้งที่ราคาปาล์มตกต่ำ จนตนงงว่าอยู่คนละโลกกับท่านหรือไม่ เพราะทั้งข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด ราคาลดลง ตนขอไม่โทษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ขอโทษนายกรัฐมนตรีที่ไม่ใส่ใจในการแก้ปัญหา รัฐมนตรีมารายงานอะไรก็เชื่อ ไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถให้ทิศทางการแก้ไขปัญหากับรัฐมนตรีได้ ก็ปล่อยให้เขาทำไป ได้แต่สั่งให้ไปแก้ปัญหา แต่ไม่บอกว่าให้ทำอะไร ไม่ได้แยแสว่าจะต้องมีการเตรียมการอะไรล่วงหน้า แถมยังไม่มีน้ำยาที่จะประสานงานกับรัฐมนตรีต่างพรรคให้ทำงาน
"มันจบแล้วค่ะ รัฐบาลเพื่อไทย ที่ไม่สน ไม่แคร์ ฐานเสียงหลักของตัวเอง คุณแพทองธาร สัญญาว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาค่าครองชีพให้กับประชาชน เพื่อให้คนไทยมีกินมีใช้ ตั้งแต่หลังจากบริหารได้ 6 เดือน ประชาชนกลับตอบว่า เรื่องปัญหาค่าครองชีพสูง คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย กำลังซื้อในประเทศไม่ขยายตัว เป็นเรื่องแรกที่พวกเขากังวล ต่อปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้"
นางสาวแพทองธาร ยืนยันว่า ปัญหาค่าครองชีพกระทบกับทุกคนไม่เลือกหน้า แต่คนที่มีรายได้น้อยและพี่น้องชาวรากหญ้าได้รับผลกระทบเยอะกว่า หากจะบอกว่าตนคิดไปเอง เงินเฟ้อต่ำขนาดนี้ เอาอะไรมาพูด แต่ชาวบ้านไม่ได้รู้สึกตามเงินเฟ้อ เมื่อเขาซื้ออะไรแล้วมันแพง เขาก็บอกว่ามันแพง ของบางอย่างราคาขึ้นแล้วก็ขึ้นเลย ซึ่งหมายความว่า ค่าครองชีพไม่ได้ลดลง และหลายๆ อย่าง ก็มีแต่แนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้น
"ตอนนี้เราคงไม่มาถามแล้ว ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่เรากลัวว่า คำตอบจะกลายเป็นว่า ให้เราไปกินอย่างอื่นแทน ถ้าหมูแพง ก็ให้ไปกินปลา ถ้าน้ำมันปาล์มแพง ก็ไปกินน้ำมันถั่วเหลืองแทน เพราะปัญหาอยู่ที่นายกรัฐมนตรี ใช้คนไปแก้ปัญหาไม่เป็น"
ในยุคที่ค่าครองชีพสูง เงินเฟ้อต่ำ คนยังเดือดร้อนขนาดนี้ ขณะที่รายได้ของคนส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้เพิ่ม โตไม่ทันกับค่าครองชีพ ส่วนเรื่องจีดีพี แม้จะพยายามออกมาพูดว่าเพิ่มขึ้น แต่ชาวบ้านไม่รู้เรื่อง เพราะเงินในกระเป๋าเขาไม่ได้เพิ่มด้วย และไม่เคยพูดเลยว่าจะเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับประชาชนอย่างไร แล้วชาวบ้านจะมาสนทำไม ว่าจีดีพีจะโตเท่าไหร่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตเขาเลย
หรือถ้าจะบอกให้รอก่อน รัฐบาลเพิ่งบริหารงานมาได้แป๊บเดียว แต่ที่เราต้องรีบ เพราะปัญหาปากท้อง รอไม่ได้ นอกจากนายกรัฐมนตรีจะไม่มีความสามารถในการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนแล้ว ยังชอบมาสัญญาลมๆแล้งๆ ไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว ที่นางสาวแพทองธาร พร่ำเพ้อพูดเรื่องค่าแรง 400 บาท สัญญากี่รอบแล้วว่าภายในปี 67 จะได้แน่นอน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำไม่ได้ พูดคนเดียวไม่พอ ยังเอาไปเล่าให้พ่อฟัง แล้วพ่อก็เอาไปพูดต่อในทุกเวทีหาเสียง แล้วเป็นอย่างไร ประกาศออกมาได้ 400 บาทจริงๆ แต่ได้แค่ใน 4 จังหวัด กับอีก 1 อำเภอ และยังให้ความหวังไม่หยุดว่าในปี 68 ได้แน่ แต่จนขณะนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว แล้วจะให้สัญญาเพื่อ จงใจโกหกหลอกลวงกันล้วนๆ
"โกหกตอนหาเสียงแล้วทำไม่ได้ยังพอให้อภัย แต่มีอำนาจเต็มมือในฐานะนายกรัฐมนตรี ทำไม่ได้ แล้วยังจะมาหลอกประชาชนไปเรื่อยๆ เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ยังทำไม่ได้ มีนายกรัฐมนตรี 2 คนก็ยังทำไม่ได้ แต่มาหลอกแรงงานให้มีความหวัง แล้วมากระทืบทำลายความหวังเขาครั้งแล้วครั้งเล่า"
อย่างน้อยที่สุด คนที่ยังมีงานทำ ก็ยังดีกว่าคนที่ตกงาน ยังคงก้มหน้าต่อไปได้ แต่บริหารเศรษฐกิจอย่างไร ให้เขาเลิกจ้างแรงงาน ปิดกิจการกันเป็นแถว เฉพาะภายหลังที่นางสาวแพรทองธาร เข้ามาบริหาร มีบริษัทเลิกกิจการ ปิดเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ เปิดเพิ่มขึ้นแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลกระทบแรงงานไม่ได้รับเงินชดเชยจากการเลิกจ้าง ซึ่งอีกหนึ่งต้องการที่จะสามารถช่วยเหลือเยียวยาได้ แม้ว่าจะได้ไม่เท่า คือจากกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง แต่ขณะนี้เงินในกองทุนหมดแล้ว จึงจำเป็นต้องขอจากงบกลาง นี่เป็นกรณีเร่งด่วนชัดเจนอยู่แล้ว แต่คนมีอำนาจอนุมัติงบกลาง ซึ่งคือนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกลับเตะถ่วง กระทรวงแรงงานทำหนังสือไปแล้วกว่า 2 เดือน แต่จนตอนนี้ ก็ยังไม่ถูกนำเข้าคณะรัฐมนตรีเลย ต้องรอให้เขาประท้วงไปถึงเมื่อไหร่ ต้องรอให้เขาอดอาหารจนตายหรือเปล่า หรือต้องรอใครมาตัดริบบิ้น
ด้าน SMEs และผู้ประกอบการ ก็มีปัญหาเดือดร้อนไม่แพ้กัน คนไม่มีกำลังซื้อ ปัญหาสินค้าจีนล้นทะลัก เทียบกับความรู้สึกของประชาชนแล้ว เป็นการแก้ไขปัญหาที่ช้ามาก และท่าทีของ รัฐมนตรีทุกคนในการตอบเรื่องนี้ ดูเกรงอกเกรงใจสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างมาก แค่ขอร้องให้บังคับใช้กฎหมาย ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า อย.ให้เข้มข้นขึ้น จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเลยหรือ ทุกวันนี้ทุนจีนรุกคืบ จนจะกลายเป็นซัพพลายเชนศูนย์เหรียญอยู่แล้ว ยกมาทั้งระบบ
ตลอดจนเรื่องสินเชื่อ แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการเยอะมาก แต่เคยดูหรือไม่ ว่าลงไปที่รายย่อยจริงหรือเปล่า ใช่คนที่เดือดร้อนหรือไม่ อย่าไปโทษธนาคารพาณิชย์ เพราะขนาดธนาคารของรัฐเอง ยังบังคับให้ปล่อยกู้เพิ่มไม่ได้เลย
นางสาวศิริกัญญา ย้ำว่า ความสิ้นหวังไม่ได้มีแค่เฉพาะชนชั้นล่างและชนชั้นกลางอีกต่อไป แต่เริ่มขยับขึ้นมาเรื่อยๆ แล้ว แม้แต่นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้น ก็ยังได้รับผลกระทบ จากฝีมือการบริหารตลาดทุนของนางสาวแพรทองธาร จากวันที่เข้ารับตำแหน่ง กระทั่งตอนที่พ่อนายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ จนถึงวันแถลงนโยบาย หุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงความเชื่อมั่น
แต่ภายหลังจากมีนโยบายวายุภักดิ์ เวอร์ชั่น 2.0 มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท ดัชนีก็ร่วงไม่หยุด จนอยู่ในระดับเดียวกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ รวมถึงมูลค่าตลาด ก็หายไปถึง 3 ล้านล้านบาท ใครอยากเข้ามาลงทุนเพิ่มก็ต้องลุ้น เขาไม่รู้ว่าเจ้าของบริษัทจะป๊อกไปเมื่อไหร่ เนื่องจากมีข่าว เรื่องการกำกับดูแลที่ย่อหย่อน ปัญหาสภาพคล่อง และธรรมาภิบาลเต็มไปหมด จนตอนนี้ก็ยังไม่สามารถออกมาตรการ ที่ทำให้มั่นใจได้เลย ขนาดบริษัทใหญ่ๆ ก็ยังจะเอาตัวไม่รอด มีบริษัทที่ต้องเข้าไปกู้ยืมเงินในตลาดตราสารหนี้ จนถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ มากกว่าช่วงสถานการณ์โควิด-19 เสียด้วยซ้ำ คงเหลือแค่ไม่กี่บริษัทที่ยังเติบโตได้ ถ้าไม่มีความสัมพันธ์แนบชิดสนิทสนมกับผู้มีอำนาจการเมืองในปัจจุบัน ก็จะเป็นกลุ่มที่มีสัมปทานภาครัฐ ซึ่งก็เป็นกลุ่มเดียวกันอยู่ดี ที่ยังคงเติบโตได้ในประเทศนี้ บางเจ้ามีกำไรสูงสุดตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้บอกว่า ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่นางสาวแพทองธาร แต่อยู่ที่การบริหารจัดการและแก้ปัญหา ทั้งระยะสั้น กลาง ยาว พร้อมยก คำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุ ประชาชนลำบาก 3 เรื่อง คือ เรื่องเศรษฐกิจที่บริหารผิดพลาด โดยการดึงเงินออกนอกระบบจนเศรษฐกิจแห้ง เรื่องโควิด และการสร้างโอกาสของประชาชนไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ประชาชนสามารถทำมาหากินได้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า นี่เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเองหรือไม่ เพราะตนเห็นด้วยทุกข้อ การแก้ปัญหารายวัน ขายผ้าเอาหน้ารอด ไฟลนก้นแล้วค่อยมาแก้ปัญหา
นางสาวศิริกัญญา ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้ดีที่สุดแล้ว ถึงจุดสูงสุดแล้ว และต่อจากนี้ไป จะมีแต่ขาลงอย่างเดียว ตนเชื่อว่าทั้งปีจะโตขึ้นไม่เกิน 2.4% แต่การรับมือของนางสาวแพทองธารนั้น แน่นอนว่าควรออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในสถานการณ์นี้ เราคาดหวังว่านายกรัฐมนตรีต้องมีแผนการที่รอบคอบคิดเสร็จแล้ว ค่อยมาประกาศให้พี่น้องประชาชน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นศรัทธากลับคืนมา ทั้งที่นายก รัฐมนตรีนั่งเป็นประธานในคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การประชุมที่ผ่านมายังดูเหมือนไม่สะเด็ดน้ำ
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่การแจกเงินหมื่นสองเฟสที่ผ่านมา ล้มเหลว โดยชิ้นเชิงในการเป็นเครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ว่าจะวัดด้วยตัวชี้วัดใด แต่ก็ยังทำต่อ เพียงแค่เลิกพูดแล้วว่าจะกระตุ้นได้เท่าไหร่ รวมถึงมีการลดจำนวนคุณควรที่จะได้รับสิทธิ์ลง เรียกว่าเป็นโครงการประชานิยมยังไม่ได้เลย
ส่วนมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ก็ยังคงเป็นเหมือนในรัฐบาลนายเศรษฐา และเป็นมาตรการเดิมในปีที่ผ่านมา ไม่คืบไปไหน หน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ทำ บางโครงการก็ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรเลย และในจำนวน 47 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเพียง 7 โครงการเท่านั้น ที่ทำไปแล้ว มีโครงการที่ทำไปแล้ว แต่ยังไม่จบ 27 โครงการ และมีโครงการเสนอใหม่อีก 12 โครงการ ไม่นับรวมจำนวนเงิน 453,000 ล้านบาท ยังรวมวงเงินสินเชื่อที่เคยประกาศ และถูกใช้ไปแล้ว มารวมเพื่อให้ตัวเลขดูเยอะ จนอาจจะเหมือนว่า เราจะไปถึงจีดีพีมากกว่า 3% ได้จริงๆ
แต่จะทำได้อย่างไร หากยังบริหารผิดพลาดอยู่อย่างนี้ ตนยังมองไม่เห็นทางออกเลย รวมถึงโครงการแก้หนี้ ก็มีคนจำนวนน้อยมากที่ได้เข้าร่วมโครงการ ล่าสุด ก็มีโครงการจะซื้อหนี้ประชาชน แต่ถ้าจะทำในตอนนี้ รอให้โครงการเก่าอย่างคุณสู้เราช่วยจบก่อนดีหรือไม่ ตลอดจนราคาข้าว ที่ยังไม่มีมาตรการที่ดีพอ รวมถึงเรื่องน้ำ และราคาสินค้าทางการเกษตรอื่นๆ ตลอดจนมาตรการการค้าเสรีด้วย"
"การอภิปรายทั้งหมดนี้ ดิฉันไม่คาดหวังการชี้แจงอะไรอีกแล้ว เพราะประชาชน เบื่อจะฟัง คำแก้ตัวแบบบิดเบือน หรือบางทีก็ด้อยค่าประชาชน ไปต้องมายกตัวเลขนู่นนี่แล้วว่าเศรษฐกิจยังดี เราจะรวยกันแล้ว ไม่อยากฟังคำแก้ตัวแล้ว ยิ่งพูดยิ่งสะท้อนว่า นายกรัฐมนตรีและบรรดาลูกน้องรัฐมนตรีของท่าน กับประชาชนเหมือนอยู่คนละโลก และไม่ต้องมาตอบว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง มีแผนจะทำอะไรอีกบ้าง ไม่อยากฟังอีกแล้ว เพราะช่วงเวลาที่ท่านต้องบอกแผนต่อสาธารณชน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น มันผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เราให้เวลาให้โอกาสกับพวกท่านมามากพอแล้ว แต่ท่านทำไม่เคยได้ ยังคงทำนโยบายรายวัน ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ
ฝันไกล จะไปไม่ถึงดวงดาว หลังชนฝา ก็ไปควักนโยบายเก่าๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้วมาใช้ หมดหนทางจริงๆ ก็ร้องหาแบงก์ชาติ ให้ลดดอกเบี้ย ไม่ต้องแก้ตัวว่า เศรษฐกิจพังมาก่อนหน้านี้นานแล้ว หรือรัฐมนตรีพรรคร่วมเยอะเกินไป เลยทำไม่สำเร็จ
ช่วยบอกอะไรที่เรายังไม่รู้เถอะค่ะ ศักยภาพของผู้นำประเทศเป็นแบบนี้ แม้ในเวลาที่คลื่นลมยังไม่ปั่นป่วน ก็ยังทำให้มันวิบัติได้ขนาดนี้ พายุหมุนทางเศรษฐกิจของแท้กำลังมา และคลื่นลมจะสูงมากกว่านี้อีกมาก ถ้าจะให้เศรษฐกิจ ให้ประเทศรอดได้ เราไม่สามารถมีผู้นำประเทศแบบนี้ได้จริงๆ ไม่สามารถอดทนกันต่อไปได้อีกแล้ว ไม่สามารถอยู่ในสภาวะสิ้นหวังแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ยอมเอาอนาคตลูกหลานไปเสี่ยงได้อีกแล้ว และไม่สามารถไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป" นางสาวศิริกัญญา ทิ้งท้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
LIVE ก้าวลงเหว!? | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2568
พรรคส้ม แซะรัฐบาล รีบคลอดร่าง พ.ร.บ.กาสิโนฯ หลังศึกซักฟอก
พรรคประชาชน แซะรัฐบาล รีบเกิน! คลอดร่าง พ.ร.บ.กาสิโนฯ หลังจบศึกซักฟอก คาดล็อคสเปคใบอนุญาต “สิทธิพล” เผยต้องคุยในพรรค แนะรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่น-โปร่งใส
'วิโรจน์' มั่นใจนายกฯออกตั๋ว PN เลี่ยงภาษี เป็นการทำนิติกรรมอำพราง
"วิโรจน์" มองศึกซักฟอกตรงตามแผนที่ฝ่ายค้านคาดหวัง น้อมรับคำวิจารณ์ไปปรับปรุง ไม่กังวลผลลงมติไว้วางใจ ชีวิตต้องทำงานต่อ ย้ำพรุ่งนี้เข้าพบอธิบดีสรรพากร มั่นใจปมตั๋ว PN นายกฯ คือการทำนิติกรรมอำพราง ชี้ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทำได้ หากเป็นประโยชน์กับ ปชช. แต่ต้องประมูลโปร่งใส-ป้องผลกระทบเชิงลบ
'แพทองธาร' ลั่นเสียงรัฐบาลมีเหลือเฟือ ซื้อ 'งูเห่า' อีกทำไม ข้องใจแชทจริงหรือไม่
นายกฯอิ๊งค์ บอกเสียดายเงินซื้องูเห่า เสียงเหลือเฟือทำไมต้องจ่าย ย้อน "เท้ง" ใช้วาทกรรมไม่เลิก จวกหากยังเป็นนายกฯจะยิ่งทำให้คนไทยอายุสั้นลง
'สรวงศ์' ปัดดึงงูเห่า ทสท.ซื้อตัว สส.ปชน.
'สรวงศ์' ปัดดึงงูเห่า ชี้ สส.โหวตหนุนนายกฯ เป็นเรื่องภายใน ทสท. ส่วนปมแชตหลุดดูดเด็ก ปชน. ไม่ใช่ พท.แน่ ย้ำ 'อิ๊งค์' ยังไม่ได้ส่งสัญญาณปรับ ครม.
วาทะและคำท้า : เมื่อ ’แพทองธาร’ บีบ ‘พรรคประชาชน‘ เปิดตัวเลือกพันธมิตรการเมือง!
ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการ โดยมีระยะเวลาอภิปรายถึง 37 ชั่วโมง และผลการโหวตในเช้าวันที่ 26 มีนาคมไม่ได้พลิกโผแต่อย่างใด