บิ๊กไทยสร้างไทย ชี้สหรัฐฯคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย สัญญาณอันตรายต่อเศรษฐกิจและการทูตไทย

18 มี.ค. 2568- นายเทพฤทธิ์ สีน้ำเงิน รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการดังกล่าว โดยระบุว่า รัฐบาลไทยอาจไม่ตระหนักถึงความละเอียดอ่อนของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพียงพอ แม้ว่ารัฐบาลจะยืนยันว่าการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนนั้นเป็นไปตามกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผลกระทบในระยะยาว และอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อการค้าและการลงทุนในอนาคต” นายเทพฤทธิ์กล่าว

สหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของไทยรองจากจีน โดยในปี 2566 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันสูงถึง 68,358 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากถึง 29,371 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่า 48,865 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 17.2% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ซึ่งครอบคลุมสินค้าหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ (25.8%) อาหารแปรรูป (12.1%) และชิ้นส่วนยานยนต์ (8.5%) หากความสัมพันธ์ทางการทูตแย่ลง ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะใช้มาตรการทางการค้าต่อไทยย่อมมีมากขึ้น หากมาตรการคว่ำบาตรมีผลกระทบเพียง 5% ต่อการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ จะทำให้ไทยเสียรายได้จากการส่งออกทันที 2,443 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นแหล่งรายได้หลัก และตนเชื่อว่ากระทรวงต่างประเทศของไทยไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะเจรจาและปรับความเข้าใจกับสหรัฐฯในเวลานี้

รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยยังได้กล่าวถึง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (EU) ที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของไทยโดยให้ข้อมูลว่าเศรษฐกิจระหว่างไทยกับ EU มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 43,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มเติบโตขึ้น 5.3% ต่อปี การที่สภายุโรปมีมติรับรองญัตติประณามไทยด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 482 เสียงแสดงให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายของไทยกำลังสร้างผลกระทบต่อการเจรจา ความตกลงการค้าเสรีไทย-EU (FTA) ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 ซึ่งหากไทยไม่สามารถเจรจาได้ทัน การส่งออกสินค้าไปยุโรป เช่น อาหารทะเลแปรรูป อุตสาหกรรมแฟชั่น และยานยนต์ อาจลดลง 3-7% ทำให้ภาคธุรกิจสูญเสียรายได้กว่า 3,634 – 6,792 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี ซึ่งคิดเป็นผลกระทบต่อ GDP ไทยประมาณ 0.67 – 1.25%

การลงมติของสภายุโรปที่ให้การสนับสนุนญัตติประณามไทยอย่างท่วมท้น สะท้อนถึงปัญหาในระดับนโยบายระหว่างประเทศของรัฐบาลไทยและ แสดงให้เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศไม่มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์เชิงลึกกับผู้นำและตัวแทนรัฐบาลของสมาชิก EU ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากรัฐบาลไทยมีการดำเนินนโยบายทางการทูตที่แข็งแกร่งกว่านี้ อาจมีคะแนนงดออกเสียงมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ที่ดีกับสหภาพยุโรป

ในสถานการณ์เช่นนี้ บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่ง รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเข้าใจกับนานาประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดมาตรการตอบโต้เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลยังคงเพิกเฉย ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับพันธมิตรและคู่ค้า ความเสียหายทางเศรษฐกิจและการทูตอาจทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และอาจกระทบต่อ GDP ของไทยมากถึง 0.67 – 1.25% ในปี 2568 โดย SME ไทยกว่า 3.19 ล้านราย จะได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะมีการจ้างงานกว่า 70% ของแรงงานภาคธุรกิจหรือ 12.65 ล้านคน หากไทยเผชิญมาตรการกีดกันทางการค้าจากชาติตะวันตก ประมาณ 350,000 – 500,000 ราย อาจต้องปิดกิจการภายใน 2 ปี โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และยุโรปมากถึง 45.8% ของรายได้ทั้งหมด

“นี่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่มันกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยและเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลต้องทำมากกว่าการแถลงข่าวว่าทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะในเวทีโลก ความถูกต้องตามกฎหมายอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องคำนึงถึงความชอบธรรมและความไว้วางใจจากนานาชาติด้วย” นายเทพฤทธิ์กล่าวสรุป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'จิรายุ' เผยภารกิจพบ 'ชาวอุยกูร์' ถูกส่งกลับจีน ได้รับการดูแลอย่างดี แม่สุดดีใจได้พบลูก

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เวลา 09.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พันตำรวจเอก

'จีน' ออกโรงประณาม 'สหรัฐ' ข่มเหงรังแกไทย ทำตัวสองมาตรฐาน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน แจงกรณีชาวจีน 40 รายที่ถูกกักขังในประเทศไทยได้ถูกส่งตัวกลับประเทศจีนแล้ว นายรูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่าจะมีการกำหนดมาตรการคว่ำบาตร