'วิโรจน์' ซัดสภาเป็นโรงลิเก หลอกต้มประชาชน ส่งศาลตีความเตะถ่วงแก้รธน.

"วิโรจน์" ร่ายยิบไทม์ไลน์แก้รัฐธรรมนูญ ผิดหวังเพื่อนรัฐสภาไม่กล้าหาญ ซัด สภาเป็นโรงลิเก หลอกต้มประชาชน ชี้ คำวินิจฉัยศาลใช้ความกำกวมมาเป็นเหยื่อล่อให้ สส.กลัว สุดท้าย ต้องเถียงกันไปมา

17 มีนาคม 2568 - เวลา 15.40 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายว่า วันนี้ต้องเล่าเรื่องเก่าให้เห็นเส้นเรื่องว่า การยื้อแก้รัฐธรรมนูญนั้น ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเราจำกันได้ หลังรัฐประหาร ปี 2557 สส.จำนวนมากมายหลายพรรคมีท่าทีแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านกลไกของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาโดยตลอด จนกระทั่ง 17 ส.ค. 2563 ฝ่ายค้านของสภาฯชุดที่แล้ว ได้ยื่นเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมี สส.รัฐบาลยื่นร่างประกบ เวลานั้น สส.กล้าหาญกันมาก วันนี้ตนอยากให้มีความกล้าหาญเหมือนขณะนั้น ความกล้าหาญในอดีตเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่อย่าเอาความขาดเขลาหวาดกลัวในปัจจุบันไปโยนให้คนอื่น ความกล้าหาญที่แท้จริงต้องกล้าหาญทั้งในอดีตและปัจจุบัน ความกล้าหาญในอดีต แต่ปัจจุบันขาดเขลา สยบยอม หงอ มีแต่ประชาชนเขาประนามหยามเหยียด

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 23-24 ก.ย. 2563 ก็มีการประชุมร่วมรัฐสภา ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมีแนวคิดตรงกันที่จะแก้ ม.256 เปิดให้มี สสร. วันนี้ประชุมกันห้องสุริยันห้องเดิม สิ่งที่หายไปคือเจตจำนงทางการเมือง ซึ่งช่วงนั้น หลังจากอภิปรายข้ามคืน อยู่ดีๆ ก็มีการลุกขึ้นเสนอญัตติแทรก โดยอาศัยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ให้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง สส.และ สว. เพื่อพิจารณาก่อนลงมติในวาระที่ 1 วันนั้นพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรม งดส่งคนไปร่วมในคณะกรรมการร่วม ทำให้เหลือคนในกรรมาธิการแค่ 31 คน จากโควตาเต็ม 45 คน

“วันนั้น สส.เรากล้าหาญกันมากๆ ยืนหยัดกันมากๆ ผมต้องขอบคุณคุณสุทิน คลังแสง หนึ่งใน สส. ที่ได้รับการยอมรับนับถือจากในสภาตอนนั้น ถึงกับออกปากวิจารณ์ว่าเข้าร่วมไม่ได้ เป็นโรงลิเกหลอกต้มประชาชน แต่ ณ วันนี้ ท่านสุทิน ผมฟังท่านอภิปราย ว่าโลกแห่งอุดมการณ์ต้องยอมทำตามโลกแห่งความเป็นจริง ผมก็ต้องตั้งคำถามว่าถ้าโลกแห่งความเป็นจริงเป็นโลกแห่งความฟอนเฟะ ที่พยายามกดหัวให้ สส. ที่มีศักดิ์และสิทธิ์ มีศักดิ์ศรีได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ให้สยบยอมกับอำนาจมืด โลกแห่งความเป็นจริงที่ฟอนเฟะแบบนั้น เราจะไม่ยอมดึงให้กลับมาอยู่โลกอุดมคติที่ประชาชนพึ่งพาได้จริงๆหรือ จะยอมเลื้อย ยอมสยบ ยอมคุดคู้ จะยอมซุกอยู่ในรู อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ฟอนเฟะเจ็บปวดทำไม” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ อธิบายไทม์ไลน์การประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น ดูเหมือนฟ้าจะเปิด จะไปต่อได้ ดูเหมือนพลัง สส.ของเราจะดันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปได้เพื่อพลิกฟื้นประชาธิปไตย มันกำลังจะมีความหวัง แต่สุดท้ายก็มานั่งตีความศาลรัฐธรรมมนูญ

“เราก็อยู่แล้วว่าคำวินิจฉัยของศาลฯมันจะเป็นปริศนาธรรมที่ไม่เคยมีความชัดเจน เอาความกำกวมให้ตีความกันเอง สุดท้ายมันคือคนที่มีอำนาจนิติบัญญัติที่ได้รับจากประชาชน ที่จะต้องอาศัยความกล้าหาญของตัวเองในการใช้อำนาจที่ประชาชนประทานมาให้ ไม่ใช่ไปพึ่งพาศาล หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดที่มีอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน เขากำลังท้าทายว่า สส. ที่มาจากประชาชน จะกล้าใช้อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจากประชาชนหรือไม่ เอาความกำกวมมาเป็นเหยื่อล่อ สุดท้ายการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถูกคว่ำกลางสภา สุดท้ายก็เป็นความกลัว เนื่องจากเสียงที่ไม่เห็นด้วยมีไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาในขณะนั้น” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวว่า วันนั้น ตนต้องชื่นชมนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ที่ประกาศว่าไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหกปลิ้นปล้อนและไร้สาระสิ้นดี นี่คือสภาโจ๊ก

“วันนั้นท่านชาดาพูดได้สะใจผมมาก เราเสียเวลากันมาเพื่ออะไร เราหลอกประชาชนเพื่ออะไร คำวินิจฉัยที่ 4/2564 ของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2564 เรียบง่ายมากครับ เพียงบอกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องการกระทำใหม่ทั้งฉบับ รัฐสภาทำได้ แต่ต้องให้ประชาชนได้ลงประชามติว่าประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง แล้วอยู่ดีๆ ประเทศก็มะงุมมะงาหรา เถียงกันไปมา เรื่องทำประชามติ 2 ครั้งบ้าง 3 ครั้งบ้าง ไม่จบไม่สิ้นผมว่า เผลอๆ เถียงไปมาเดี๋ยวจะมี 4-5 ครั้ง คนที่ไม่คิดว่าจะแก้มันจะหาเหตุผลมารองรับความหวาดกลัวและความขาดเขลาที่จะไม่แก้ แต่คนที่มีเจตจำนงที่แก้ จะจ้องจะพยายามหาทางที่จะแก้ เพื่อให้อำนาจตกอยู่ที่หนึ่งประชาชนอีกครั้งให้ได้” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวไปถึงเหตุการณ์ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นญัตติต่อรัฐสภาให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา วันนั้นตนก็ไม่ขัด อยากจะส่งก็ส่ง เพราะยังเชื่อว่าอำนาจนิติบัญญัติยังคงอยู่ในคนที่เป็น สส. ที่ได้รับเลือกจากประชาชน ประชาชนเลือกเราเพราะคิดว่าพวกเราจะกล้าหาญ ใช้อำนาจเพื่อพวกเขา ซึ่งสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ เหมือนตบหน้าอำนาจนิติบัญญัติ ไม่รับคำร้องที่รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจของรัฐสภา

นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ทำงานอย่างแข็งขันจนทำให้ประธานรัฐสภาบรรจุญัตติแก้รัฐธรรมนูญในวาระ เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ถ้านับตั้งแต่วันที่เราพิจารณาครั้งแรก จนถึงตอนนี้ 4 ปีกว่า จะ 5 ปีแล้ว

“เด็กอายุ 7 ขวบ จะขึ้นปี 1 แล้ว คนอายุ 55 ปี ตอนนี้จะเกษียณแล้ว ถ้าเรายังจะเลื่อนพิจารณาออกไปอีก วันนี้ผมไม่มีทางเลือกอื่น จะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกเพื่อยื้อเวลาไปอีก ผมก็เห็นด้วยกับคุณสุทิน และคุณชาดา อย่างยิ่ง ว่านี่คือโรงลิเกหลอกต้มประชาชน เป็นสภาโจ๊กที่ประชาชนไม่อาจให้ความหวังได้ ไม่รู้ว่าจะเลือกตั้งนักการเมืองแบบนี้มาทำไม เพราะนักการเมืองเหล่านี้ไม่กล้าหาญที่จะใช้อำนาจนิติบัญญัติที่ประชาชนยกมาให้ด้วยความเต็มใจ วันนี้ประเทศชาติเสียเวลาน้อยกว่าครึ่งทศวรรษแล้วยังจะให้เสียเวลาอีกต่อไปหรือ จะไปซ้ำรอยกับอาจารย์ชูศักดิ์เคยยื่นไปแล้วเพื่ออะไร” นายวิโรจน์ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บุคคลในครอบครัว! เดิมพันใหญ่ศึกซักฟอก เมื่อ 'ดีลแลกประเทศ' ปะทะ 'หลงประเทศ'

ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังจะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2568 แต่แท้จริงแล้ว สงครามความหมายได้เริ่มต้นขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว

เปิดผลโหวต รัฐสภาตีตกร่างกฎหมาย ป.ป.ช. โอนคดีทุจริตกองทัพไปศาลพลเรือน

ผู้สื่อข่าวรายงานผลการลงมติที่ประชุมรัฐสภา มีมติเสียงข้างมาก 415 เสียง ตีตกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่. ... พ.ศ. ...) ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว

'วิโรจน์' อัด 'เพื่อไทย' หงออำนาจลายพราง หลังสภาฯตีตกกม.โอนคดีทุจริตทหารไปศาลพลเรือน

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร และ นายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม.พรรคประชาชน ในฐานะเลขานุการ กมธ. ร่วมแถลงภายหลังที่ประชุมรัฐสภา

'3 ไม่' ยุทธศาสตร์พรรคส้ม 'พูดง่ายแต่ทำยาก' ในเกมการเมืองที่ซับซ้อนและพลิกผัน!

การอภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการตรวจสอบรัฐบาลตามกลไกประชาธิปไตย