ดร.ณัฏฐ์ ชำแหละร่างแก้รธน.ฉบับเพื่อไทย ลับลวงพราง-เกมสับขาหลอก!

ดร.ณัฏฐ์ มือกฎหมายมหาชน เผย ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเพื่อไทย ลับลวงพราง แค่เกมสับขาหลอก     

9 ม.ค.2568  - สืบเนื่องจากนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ ฐานะประธาน สส.พรรคเพื่อไทย นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) ซึ่งแก้ไข มาตรา 256 และเพิ่มหมวดใหม่ ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่(ร่างฉบับพรรคเพื่อไทย) เสนอต่อสำนักงานเลขาธิการสภาฯแล้ว เพื่อให้พิจารณาบรรจุไว้ในวาระการประชุมร่วมรัฐสภาและเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนแล้วนั้น         

ล่าสุด ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ ดร.ณัฏฐ์ นักกฎหมายมหาชน กล่าวว่า เนื้อหาที่พรรคเพื่อไทยประกบร่างของพรรคประชาชน มีเนื้อหาลักษณะไม่แตกต่างกันเป้าหมายเพื่อออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยตัดอำนาจของ สว.ออกไป เป็นเพียงเนื้อหาร่างเทคนิคสับขาหลอก ลับลวงพรางทางการเมืองเพื่อลดโทนความร้อนแรงและการต่อต้าน แต่มีเป้าหมายเดียวกัน   

จะเห็นได้ จากการเนื้อหาร่างฉบับเพื่อไทยและร่างของพรรคประชาชน ตัดหลักเกณฑ์ที่ต้องใช้เสียงสว. จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน และเสียงของสส.ฝ่ายค้านไม่น้อยกว่า 20% ออกจากกระบวนการเห็นพ้องชั้นลงมติวาระแรกและวาระสามจากเดิมที่กำหนดไว้ โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนตามที่พรรคของตนได้หาเสียงไว้เพื่อลดทอนอำนาจของสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้มีระบบถ่วงดุในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอ่อนแอลง เพื่อออกแบบและจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ง่ายขึ้น           

ดร.ณัฏฐ์ กล่าวว่า แม้จะมี สว.พันธ์ุใหม่บางคนออกมาออกตัวแรง ยอมลดอำนาจงตนเองเพื่อหาแสงให้ตนเองแต่เป็น สว.เสียงข้างน้อย อาจเรียกว่า เป็น สว.นกแล เพราะในชั้นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ในการออกเสียงคะแนนในวาระที่สาม ขั้นสุดท้าย รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 256(6)รัฐธรรมนูญได้บัญญัติด่านหิน ในวาระสาม ต้องมีเสียงรับรองแก้ไขรัฐธรรมนูญของ สว.หนึ่งในสาม หรือจำนวน 67 คน  จึงเป็นหลักการที่ร่างฉบับพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนเป้าประสงค์ตรงกัน เพราะเพื่อลดอำนาจของสว.และนำหลักการให้ ส.ส.เป็นใหญ่ในสภา เข้ามาทดแทนอำนาจเพื่อให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แก้ไขง่ายขึ้น  

นักกฎหมายมหาชน กล่าวว่าหากพิจารณาจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ได้ระบุอย่างชัดแจ้งในความสัมพันธ์แห่งอำนาจ และระบบถ่วงดุลในเจตจำนงในการประชุมร่วมของ สส.และ สว. ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่ว่า 

“..การที่รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๕๖ (๑๕) บัญญัติให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกระทำโดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา มุ่งประสงค์ให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นการใช้อำนาจของรัฐสภาโดยเฉพาะ รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้กระบวนการใช้อำนาจนิติบัญญัติของรัฐสภาในกรณีดังกล่าวมีหลักเกณฑ์และวิธีการซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากการทำหน้าที่ในกระบวนนิติบัญญัติทั่วไป โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญแลรักษาความต่อเนื่องของรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ กล่าวได้ว่า แม้รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นอำนาจที่ได้รับมอบมา ซึ่งถูกจำกัดทั้งรูปแบบ กระบวน เนื้อหา รัฐสภาจึงต้องทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด โดยไม่อาจกระทำนอกขอบของหน้าที่และอำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ได้ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงต้องอยู่ในเงื่อนไขที่มีความผูกพันกับรัฐธรรมนูญฉบับเดิม ยึดโยงกับหลักการพื้นฐาน และให้เหมาะสมและสอดคล้องกับมติมหาชน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หมวด ๑๕ เพียงบัญญัติให้สามารถแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้เท่านั้น ไม่มีบทบัญญัติให้จัดทำขึ้นใหม่ทั้งฉบับ

จะเห็นได้ว่า เป้าประสงค์ของร่างฯประกบพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ตัดอำนาจของ สว. มากกว่า ส่วนกรณีไม่จัดทำประชามติบางส่วน อธิบายได้ว่า ลดโทนความร้อนแรงการต่อต้านจากสังคม โดยเฉพาะหมวด พระมหากษัตริย์ เพียงแต่ร่างพรรคประชาชน ถอนยวง ตามมาตรา 256 (8) ทั้งหมด ส่วนร่างฉบับพรรคเพื่อไทยต้องจัดทำประชามติทั้ง กรณี   คือ (1)แก้ไขเพิ่มเติมหมวด บททั่วไป (2)หมวด พระมหากษัตริย์ และ(3)หมวด15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  

ซึ่งย้อนแย้งกับพรรคเพื่อไทย ที่เป้าประสงค์ต้องการจัดทำประชามติในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงสองครั้ง  เนื้อหาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคเพื่อไทยและฉบับพรรคประชาชน จึงเป็นการหักอำนาจหรือตัดทอนอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา ไม่ได้ยึดโยงกับหลักการเดิมและไม่สอดคล้องกับมติมหาชน แม้พรรคเพื่อไทยจะเสนอประกบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนที่ประธานรัฐสภาได้บรรจุเป็นญัติไว้แล้ว และเลื่อนการพิจารณาไปเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ก็ตาม 

ส่วนเนื้อหาร่างฯ กรณีตัดเงื่อนไขของการนำไปออกเสียงประชามติก่อนการทูลเกล้าฯ ในมาตรา 256 (8) เรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติหน้าที่หรืออำนาจได้ แต่ยังคงการให้ทำประชามติ ใน กรณี คือ แก้ไขเพิ่มเติมหมวด บททั่วไป หมวดพระมหากษัตริย์ หมวด15การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงเทคนิคเกมสับขาหลอกเท่านั้น เพราะกระแสสังคมต่อต้าน เพราะไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน ประกอบกับปัจจุบันอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ กระทำบปัญหาปากท้องประชาชนและรัฐบาลไร้ผลงาน ประกอบกับ สว.สายสีน้ำเงินและพรรคภูมิใจไทย ไม่เอาด้วย จึงใช้เทคนิค ประชามติบางส่วน เพื่อประกบร่างของพรรคประชาชนซึ่งสาระสำคัญไม่แตกต่างกัน 

แม้พรรคเพื่อไทยจะเสนอร่างประกบให้เข้มข้นในการจัดทำรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด และ หมวดของรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้พร้อมให้อำนาจรัฐสภาวินิจฉัยว่าหากมีการจัดทำเนื้อหาที่เป็นข้อห้ามดังกล่าวให้ถือว่าร่างรัฐธรรมนูญตกไป และให้ สสร. ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย  เป็นเพียงสับขาหลอกเพราะเป็นกระบวนการภายหลังแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 265เสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีผลลบล้างสิ่งมติที่ประชุมรัฐสภา ทั้งเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวเท่านั้นประกอบการร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หมวด 15/ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานว่า เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะต้องไปจัดทำประชามติสอบถามประชาชนก่อนว่าจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่  แต่ไม่ใช่ว่า ตั้ง สสร.ก่อนแล้วไปสอบถามประชาชน เป็นการข้ามขั้นตอน ดังนั้น กระบวนการเสนอร่าง อาจเสนอและประธานรัฐสภา อาจบรรจุเป็นวาระการพิจารณาได้ แต่จะผ่านการพิจารณาของรัฐสภาหรือไม่ อีกเรื่องหนึ่ง 

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พระราชกฤษฎีกา 1 เมษายน 2476 คือ การทำรัฐประหารเงียบหรือ ? (ตอนที่ 53)

ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้สรุปเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เป็นเงื่อนไขที่นำมาสู่การประกาศพระราชกฤษฎีกา วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 อันเป็นพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร

'ธนกร' เห็นด้วยเลื่อนถกแก้รธน. ออกไป 1 เดือน แนะแก้ปัญหาประชาชนเป็นอันดับแรก

นายธนกร วังบุญคงชนะ  รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า จากการประชุมของคณะกรรมการประสานงาน (วิป 3 ฝ่าย) มีมติให้เลื่อนการพิจารณา การประชุมร่วมรัฐสภา

'จิรายุ' ตีปาก 'สส.โรม' อย่าพูดให้ประเทศเสียหาย ปมยิงอดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจาก พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กรณีมีอดีต สส. ของกัมพูชา ถูกยิงเสียชีวิตในประเทศไทยแล้ว