“ดร.ณัฏฐ์” มือกฎหมายมหาชน ระบุคณะรัฐมนตรี ออกพระราชกำหนดจัดเก็บภาษีนักลงทุนต่างชาติ มาใช้ได้เพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน แต่ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากรัฐสภา และสส.-สว. สามารถเข้าชื่อยื่นต่อประธานรัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้
15 ธ.ค.2567 – สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.2567 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. …. และ ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ…เพื่อเก็บภาษีนิติบุคคลต่างประเทศขั้นต่ำ (Global Minimum Tax : GMT) ร้อยละ 15
ล่าสุด ดร.ณัฏฐ์ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงเรื่องว่า รัฐธรรมนูญกำหนดหลักเกณฑ์ในการตราพระราชกำหนดเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร แยกต่างหากจากการตราพระราชบัญญัติซึ่งเป็นอำนาจของรัฐสภา หรือฝ่ายนิติบัญญัติ
แม้พระราชกำหนดมีสถานะเป็นกฎมายที่ตราโดยฝ่ายบริหาร แต่มีลำดับศักดิ์ระหว่างพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดสถานะในลำดับเท่ากัน แต่กรณีการตราพระราชกำหนดรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี
โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 บัญญัติให้อำนาจคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกําหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้ โดยการตราพระราชกําหนดให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่า เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น
คำว่า “ฉุกเฉิน” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายไว้ว่า “ที่เป็นไปโดยปัจจุบันทันด่วน และ ต้องรีบแก้ไขโดยพลัน” และคำว่า “จำเป็น เร่งด่วน อันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้” หมายถึง “ต้องทำทันที ถ้าไม่ทำจะเกิดผลร้ายแรงตามมา”
ดร.ณัฐวุฒิ ยกตัวอย่างในยุครัฐบาล คสช.ได้ออกพระราชกำหนดเกี่ยวกับการประมงอย่างน้อยสองฉบับ คือ พรก.การประมง พ.ศ.2558 และ พรก.การประมง(ฉบับที่สอง) พ.ศ.2560 เนื่องจากให้เหตุผลว่าขณะนั้นปัญหาการประมงไทยเป็นปัญหาที่จำเป็นเร่งด่วน ต้องเร่งแก้ไข เนื่องจากมีปัญหาการถูกใบเหลือง ในการทำประมงผิดกฎหมายจากสหภาพยุโรป ทำให้ไทยไม่สามารถส่งออกสินค้าจากการประมงไปที่สหภาพยุโรปได้
กรณีรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร โดยมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ(1)ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ…และ(2)ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ…รวม 2 ฉบับ อ้างเหตุผล ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ แม้ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 วรรคสอง กรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้
”แต่รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อาศัยช่องทางในการตราพระราชกำหนดทั้งสองฉบับ โดยใช้ช่องทางตามมาตรา 174 ในกรณีที่มีความจำเป็น ต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน พระมหากษัตริย์จะทรงตราเป็นพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้
ดังนั้น การตราพระราชกำหนดดังกล่าวสามารถกระทำได้ เพื่อจัดเก็บภาษีนักลงทุนต่างประเทศขั้นต่ำ (Global Minimum Tax : GMT) ร้อยละ 15 เพราะเป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติร้องขอ เพื่อเป็นตัวเลือกในกระบวนการตัดสินใจว่า จะเสียภาษีประเทศแม่ หรือประเทศไทย ซึ่งเป็นกติกาที่ตกลงกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) จะดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนเข้ามาได้ สามารถเก็บเงินรายได้เพิ่มเติมจากบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ“
นักกฎหมายมหาชน กล่าวต่อว่าในอดีตที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเคยออกพระราชกำหนดปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 และ พระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน พ.ศ.2540 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำในขณะนั้น
แต่เงื่อนไขในการตราพระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา ในรัฐธรรมนูญมาตรา 174 วรรคสอง เมื่อรัฐบาลตราพระราชกำหนดใช้แล้ว จะต้องส่งให้สภาพิจารณาโดยไม่ชักช้าถ้าเป็นการตราขึ้นในระหว่างสมัยประชุม จะต้องนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรภายใน 3 วันนับแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะต้องนำมาตรา 172 วรรคสาม วรรคสี่ วรรคห้า วรรคหกและวรรคเจ็ดมาใช้บังคับกับการตราพระราชกำหนดโดยอนุโลม
รัฐธรรมนูญมาตรา 172 วรรคสาม กำหนดให้ เมื่อประกาศใช้พระราชกำหนดแล้ว ในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ให้คณะรัฐมนตรีเสนอ พระราชกำหนดนั้นต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุม และการรอการเปิดสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนดโดยเร็ว
หาก สส. ไม่อนุมัติ โดยการลงคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ ให้ พระราชกำหนดฉบับนั้นตกไป แต่ถ้า สส. อนุมัติ แต่ สว.ไม่อนุมัติ หาก สส. เห็นด้วยเกินครึ่งหนึ่ง ก็ให้พระราชกำหนดมีผลเป็นกฎหมาย และประกาศใช้เป็นพระราชบัญญัติต่อไป
ในรัฐธรรมนูญมาตรา 173 ก่อนที่ สส.หรือ สว. จะได้พระราชกำหนดใด สส. หรือ สว. จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อเสนอต่อประธานแห่งสภาของตนที่เป็นสมาชิกว่า พระราชกำหนดไม่ได้เป็นไปตามมาตรา 172 วรรคหนึ่ง ให้ประธานสภาแห่งนั้นส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ภายในสามวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นเพื่อวินิจฉัย โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง และให้ศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานแห่งสภาที่ส่งความเห็นนั้นมา
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพระราชกำหนดใดไม่เป็นไปตามมาตรา 172 วรรคหนึ่ง ให้พระราชกำหนดฉบับนั้นไม่มีผลใช้บังคับมาแต่ต้น
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า พระราชกำหนดใดไม่เป็นไปตามมาตรา 172 วรรคหนึ่ง ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
ส่วนที่ถามว่า พรก.2 ฉบับที่ ครม.มีมติเห็นชอบเกี่ยวข้องเป็นการตราพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินหรือไม่ อย่างไร นักกฎหมายมหาชน อธิบายว่า ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ.. และ ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรื่องของภาษี ส่วนใหญ่จะออกเป็นพระราชกำหนดทั้งสิ้น
ส่วนร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน โดยร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 มาตรา 53 บัญญัติว่า “ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินนั้น จะเสนอได้โดย คณะรัฐมนตรี หรือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีรับรอง
ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน หมายความว่า การตั้งขึ้นหรือยกเลิก หรือลด หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับภาษีหรืออากร หรือว่าด้วยเงินตรา การจัดสรรรับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการกู้เงิน หรือการประกัน หรือการใช้เงินกู้
ดังนั้น ที่ประชุม คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ..และ ร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ล้วนเป็นกฎหมายการเงิน เพียงแต่กระบวนการตราเป็นพระราชกำหนดเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีเท่านั้นโดยมีกระบวนการตรวจสอบจากรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ และศาลรัฐธรรมนูญได้ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
แต่ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า แม้การเร่งจัดเก็บภาษีนักลงทุนที่เป็นนิติบุคคลต่างชาติ อาจเป็นข้อดีในการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินเพราะเป็นความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลอาจใช้เป็นช่องทางโยนหินถามทางหรือไม่ อย่างไร เพราะไม่มีประชาชนต้าน อาจใช้เทคนิคช่องทางการกฎหมายในรูปแบบพระราชกำหนดในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม จาก 7 % เป็น 15 % ได้โดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อส่งให้สภาอนุมัติ โดยรัฐบาลได้เปรียบกุมเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา อาจใช้ช่อง มาตรา 172 วรรคห้า แม้ สว.ไม่อนุมัติ และ สส.ยืนยันอนุมัติด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่อยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ทำให้สภาต้านไม่ได้
และในมาตรา 174 รัฐธรรมนูญให้อำนาจ คณะรัฐมนตรีพิจารณาด่วนและลับ ไม่ใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน แต่เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ย่อมส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน กระทบต่อความเป็นอยู่ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย จะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นเพราะสินค้าบริโภค ผู้บริโภคจะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ส่งผลเป็นการเพิ่มภาระแก่ประชาชนเกินควรและกระทบปัญหาปากท้องของประชาชนโดยตรง
“ดังจะเห็นปรากฏการณ์ทางการเมือง กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างเป็นวิทยากรพิเศษบรรยายพิเศษหัวข้อสถานการณ์ทิศทางของโลกและการปรับตัว ในการสัมมนาพรรคเพื่อไทย ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า ”บังเอิญผมไปนครปฐม หมูมันเปลี่ยนเสียงเรียก มันเรียกผมว่าพี่พี่ แต่เมื่อก่อนผมไปนครปฐม หมูไม่เปลี่ยนเสียงเรียก มันไม่เรียกพี่ มันร้องอู๊ดๆ แสดงว่า ผมไม่หมูแล้วนะ ขนาดหมูมันยังรู้ว่า ผมไม่หมูแล้ว เพราะฉะนั้น ไอ้คนที่ร้องผม ร้องพรรค ร้องไม่สำเร็จ ก็เตรียมถูกเช็คบิลด้วยละกันนะ”
และอีกกล่าวอีกว่า “เมื่อ 2 วันก่อน มี พรก.เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศเข้าที่ประชุม ครม.ปรากฎว่า มีพรรคร่วมบางพรรค “หลบป่วย” อย่างนี้ ไม่ใช่เลือดสุพรรณ ถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องด้วยกันวันหลังไม่ออยากอยู่ ต้องบอกให้ชัดเจน เราเป็นคนพูดรู้เรื่อง ห้ามหนี ต่อไปใครหนี ก็บอกว่าให้ส่งใบลาออกมาด้วย ง่ายดี ผมเป็นคนเกลียดพวกอีแอบ ตรงไปตรงมาง่ายๆดี อยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่ ถ้าอยู่ก็ต้องสู้ด้วยกัน ในเมื่อเป็นนโยบายรัฐบาลร่วมกัน แถลงนโยบาย คุณยกมือเห็นด้วย พอได้เก้าอี้รัฐมนตรีค่อยๆหลบมือออก ไม่ได้ต้องตรงไปตรงมา” บ่งบอกถึงอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงแทนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว ตัดพ้อ น้อยใจ เหมือนว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง“ ดร.ณัฐวุฒิกล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เคาะแล้ว ! หวย 3 ตัว มาแน่ต้นปี 67
ครม.ไฟเขียวประกาศสลาก6หลัก-3หลัก เร่งสลากดิจิทัลแตะ 25-30 ล้านใบปีนี้ พร้อมเปิดทางออกสลาก 3 หลักปี 2567
รัฐบาลขยายเวลาลดภาษีดีเซลยาวถึง ม.ค. 66
“ครม.” ใจดีสั่งขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 5 บาท ออกไปอีก 2 เดือน สิ้นสุด 20 ม.ค. 2566 หลังประเมินราคาน้ำมันทั่วโลกยังผันผวน แจงเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชนและภาคธุรกิจ
'สุพัฒนพงษ์' ชี้แผนยืมอำนาจคลังค้ำประกันเงินกู้กองทุนน้ำมัน เป็นวาระลับ
“สุพัฒนพงษ์” ลั่นวาระลับ ยืมอำนาจคลังค้ำประกันเงินกู้กองทุนน้ำมัน อยู่ระหว่างนำเสนอกฤษฎีกา ชี้เป็นเรื่องเร่งด่วน จากการประเมินสถานการณ์ราคาพลังงานลำบาก หวั่นช่วยเหลือไม่ทัน ลั่นอาจทยอยกู้ตามความเหมาะสม
ครม.เคาะเพิ่มวงเงินปล่อยกู้บ้านล้านหลังเฟส 2 เป็น 1.5 ล้านบาท
'ครม.' ไฟเขียว ธอส. ปรับวงเงินปล่อยกู้โครงการบ้านล้านหลัง เฟส 2 เพิ่มเป็น 1.5 ล้านบาท จากเดิมที่ 1.2 ล้านบาท ด้านบอร์ด ธอส. สั่งขยายวงเงินปล่อยกู้บ้านเต็มสตรีม 110% หวังช่วยคนไทยมีบ้านเป็นของตัวเอง
กทพ.ดันทางด่วน ’ฉลองรัช -นครนายก-สระบุรี’ ประเดิมเฟสแรกทุ่ม 1.9 หมื่นล้านบาท
การทางพิเศษฯเตรียมชงบอร์ด 24 พ.ค.นี้ เข็นโครงการทางด่วน 'ฉลองรัช - นครนายก – สระบุรี’ ประเดิมเฟสแรกทุ่ม 1.9 หมื่นล้านบาท สร้าง 17 กิโลเมตรเชื่อมวงแหวนรอบที่ 3 คาดเสนอ ครม.อนุมัติกลางปีนี้ เปิดประมูลปี66 ปักหมุดเปิดใช้ปี69 หวังแก้รถติด
รัฐบาลเคาะยกเครื่องภาษีรถยนต์ยกแผงหันหนุนกลุ่มรถยนต์รักษ์สิ่งแวดล้อม
“ครม.” เห็นชอบปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ใหม่ยกแผง หวังค่ายรถเพิ่มประสิทธิภาพ พัฒนารถยนต์รักษ์สิ่งแวดล้อม รถยนต์ใช้น้ำมันจ๊าก!! ปล่อย CO2 ไม่ลดเจอขยับภาษีรอบละ 2% ทำราคาขายพุ่ง