นักกฎหมาย หวั่นคำสั่งทางปค. กรณีที่ดินเขากระโดง อยู่เหนือคำพิพากษาศาลฎีกา จะขัดต่อหลักนิติรัฐ

“ดร.ณัฏฐ์”  นักกฎหมายมหาชน ชี้ มติเขากระโดง หักมุม ไม่เชื่อรูปแผนที่ในคำพิพากษาศาลฎีกา  คำพิพากษาศาลฎีกาย่อมเหนือกว่าคำสั่งทางปกครอง
 
8 พ.ย.2567 - จากกรณีหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท 0516.2(2)/22162 เรื่อง การเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2567 ถึงผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงนามโดย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ถึงเหตุผลไม่เพิกถอนที่ดินเขากระโดงที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยนั้น
 
ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงเรื่องนี้ มติคณะกรรมการสอบสวนที่ดินเขากระโดง ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง การรถไฟแห่งประเทศไทย คู่กรณี ย่อมมีสิทธิโต้แย้งต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อกฎหมายและปัญหาข้อเท็จจริงภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งนั้น แต่ถ้าคณะกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท สิทธิในการอุทธรณ์และกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามมาตรา 48 ประกอบมาตรา 44 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539   เป็นเงื่อนไขการฟ้องคดีปกครองเพื่อเพิกถอนคำสั่งทางปกครองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตาม มาตรา 42 วรรคสองประกอบมาตรา 49 แห่ง พรบ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 
          
หากไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งภายในระยะเวลาที่กำหนดก่อนฟ้องคดีปกครอง ที่ดินเขากระโดงที่เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เป็นสมบัติของแผ่นดิน  จะตกเป็นของเอกชนทันที
 
โดยเฉพาะที่ดินบางส่วน กลุ่มพรรคพวกและบริวารของหมอผีเขมร ที่ใช้ประโยชน์ และเก็บผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตนเอง โดยใช้อำนาจโดยพฤตินัย ผ่านพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง เข้ามาเป็นรัฐบาลผสม คุมกรมที่ดินในกระทรวงมหาดไทย ถามว่า ประชาชนเจ้าของประเทศจะยินยอมหรือไม่ เอาที่ดินของรัฐมาเป็นของตนเอง ตนไม่ได้บอกว่า หมอผีเขมร คือใคร  เป็นพรรคการเมืองอะไร สีอะไร  ให้ประชาชนไปตรวจสอบกันเอง  ตนมองด้วยความเป็นกลาง เพราะประชาชนต้องช่วยกันรักษาสมบัติของแผ่นดิน เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศ มึนงงกับมติคณะกรรมการสอบสวนที่ดินเขากระโดงใหญ่กว่าคำพิพากษาศาลฎีกาได้อย่างไร เป็นการให้ความรู้กฎหมายมหาชนแก่ประชาชนเพื่อประโยชน์สาธารณะทั้งสิ้น
 
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่ามติคณะกรรมการสอบสวนมีหลายประเด็น แต่ประเด็นที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ “รูปแผนที่ดิน” เป็นเหตุให้คณะกรรมการสอบสวนฯยุติเรื่อง และไม่เพิกถอนที่ดินเขากระโดงทั้งหมด  ย้ำทั้งหมดทุกแปลง ประชาชนสับสน ตกใจกันทั้งประเทศ กับมติของคณะกรรมการสอบสวนว่า มติคณะกรรมการสอบสวนที่อธิบดีที่ดินตั้งขึ้นเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดดัง จะมีอำนาจเหนือ อำนาจของตุลาการศาลยุติธรรมได้อย่างไร จึงเกิดตั้งคำถามถึงความยุติธรรมและอำนาจของคณะกรรมการสอบสวน หากใช้ดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ เพราะมติคณะกรรมการสอบสวนที่ เป็นเพียงการใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสถานภาพสิทธิต่อการรถไฟแห่งประเทศไทย ถือว่าเป็นเพียงคำสั่งทางปกครอง เป็นเพียงขั้นตอนเริ่มต้นในคดีปกครอง และยังไม่สิ้นสุด 
          
ตนเห็นว่า กรณีมติคณะกรรมการสอบสวนฯที่ดินเขากระโดง ไม่เชื่อในรูปแผนที่ตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยคณะกรรมการสอบสวนฯได้หยิบเอาข้อเท็จจริงบางส่วน จากหนังสือจากจังหวัดบุรีรัมย์ได้มีหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ บร 0020.4/186 ลงวันที่ 25 เมษายน 2565 แจ้งผลการตรวจสอบว่า รูปแผนที่ที่ผู้ฟ้องคดีอ้างสิทธินั้นได้จัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2531 และปี พ.ศ.2539 เป็นการจัดทำขึ้นตามมติที่ประชุมคณะกรรมการประสานการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐส่วนจังหวัด ซึ่งได้จัดทำขึ้นภายหลังที่ได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไปแล้วประมาณ 900 กว่าแปลง โดยผู้ฟ้องคดี(การรถไฟฯ) นำแผนที่ดังกล่าว ไปใช้ประกอบการต่อสู้คดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 846-476/2560 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561  มติคณะกรรมการสอบสวนไม่เชื่อว่า แผนที่ดังกล่าวจึงไม่ใช่แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินฯ ในที่ดินพิพาทแต่อย่างใด  
 
นักกฎหมายมหาชนกล่าวต่อว่า มติดังกล่าว เป็นการหักมุมคำพิพากษาศาลฎีกา ที่วินิจฉัยเป็นที่สุดแล้ว ว่าเป็นที่ดินตามรูปแผนที่เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการสอบสวนชุดนี้  แต่ใช้ดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร หากเป็นการร่วมกันใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การรถไฟฯ ย่อมเป็นผู้เสียหาย สามารถดำเนินคดีอาญาได้ แยกต่างหากจากคดีปกครอง
          
การใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสอบสวนฯ ไม่เชื่อรูปแผนที่ที่ปรากฎในคำพิพากษาศาลฎีกา โดยใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่นว่า รูปแผนที่จัดทำขึ้นในภายหลัง พรฎ.จัดซื้อที่ดิน โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยไม่มีแผนที่มาแสดง ถึงแนวเขตที่ดินของการรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375+650 ตามแผนที่ท้าย พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง ลงวันที่ 27 พ.ย.2465 แตกต่างจากศาลยุติธรรม โดยศาลฎีกาเชื่อในรูปแผนที่ของการรถไฟ ที่จัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2531 และปี พ.ศ.2539 ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการประสานการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐส่วนจังหวัด ซึ่งได้จัดทำขึ้นว่า เป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงเป็นที่มาของมติคณะกรรมการสอบสวนฯ ใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น  โดยอ้างว่า แผนที่จัดทำภายหลังที่นำไปใช้ในคดีแพ่งที่ศาลฎีกาตัดสิน ไม่ใช่แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินฯ ในที่ดินพิพาท
 
อีกประการหนึ่ง คณะกรรมการสอบสวนได้หยิบประเด็นตรวจสอบสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการ กปร. จังหวัดบุรีรัมย์ ครั้งที่ 1/2538 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2538 พิจารณา เรื่อง กรณีพิพาทระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยกับราษฎรในพื้นที่ตำบลอิสาณ และตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ มีมติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยดำเนินคดีทางศาลแก่ผู้บกรุก โดยมิได้มีการสั่งการเกี่ยวกับการจัดทำรูปแผนที่แต่อย่างใด การสำรวจทำแผนที่ทางกายภาพ ในพื้นพื้นที่รัศมี 1 กิโลเมตร สองข้างทางรถไฟ เมื่อปี พ.ศ.2537 สันนิษฐานว่า น่าจะจัดทำขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2539 และมีมติที่ประชุมการแก้ไขบัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรกลุ่มสมัชชาคนจน เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2539 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรกลุ่มสมัชชาคนจน ดังนั้น จึงน่าเชื่อได้ว่า แผนที่ที่ปรากฏตามคำพิพากษา ไม่ใช่ แผนที่ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงจัดการสร้างประกาศลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464ประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2464...” 
 
"จะเห็นได้ว่า การใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสอบสวนฯเขากระโดงชุดนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่น ทำให้เกิดคำสั่งทางปกครองใหม่ เป็นช่องทางกฎหมายปกครองที่ประวิงเวลา ไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์และยุติเรื่อง เป็นการใช้เทคนิคช่องทางกฎหมายมหาชน หากคู่กรณีไปใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งและฟ้องศาลปกครอง ซึ่งใช้เวลานาน  หากพิจารณารูปแผนที่ศาลฎีกาหยิบไปใช้และรับฟังเป็นที่ยุติแล้วว่า ที่ดินเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย   แต่คณะกรรมการสอบสวนชุดนี้ กลับสบช่องในหนังสือที่กรมที่ดินนำไปสอบถามการรถไฟแห่งประเทศในเรื่องแผนที่ท้าย พรฎ.จัดซื้อฯและอ้างลอยๆว่า ไม่เชื่อแผนที่ ตามคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นการหักมุมคำพิพากษาในศาลยุติธรรมในคดีปกครอง เพื่อให้แตกเป็นคดีใหม่ ซึ่งการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการสอบสวนจะต้องหยุดพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติในคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว มิฉะนั้น คำสั่งทางปกครองของคณะกรรมการที่ดินเขากระโดง จะเหนือกว่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่เป็นที่สุดแล้ว ซึ่งจะขัดต่อหลักนิติรัฐในประเทศไทย"
 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ณฐพร' ลั่นจะใช้กฏหมาย-พยานหลักฐาน ดำเนินคดีกับก๊วนยึด 'ที่ดินเขากระโดง' จนถึงที่สุด

ดร.ณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยแพร่ข้อความ หัวข้อ ยุคนักการเมืองชั่ว มีเนื้อหาดังนี้

'กรมที่ดิน' ยืนกรานยึดกฎหมายกรณีที่ดินเขากระโดง

กรมที่ดิน ชี้แจงอีกครั้งถึงผลการรังวัดที่ดินเขากระโดง ว่าดำเนินการครบถ้วนถูกต้อง ตามคำพิพากษาศาลปกครอง และร่วมตรวจสอบแนวเขตที่ดิน กับ รฟท. ตามกฎหมายทุกขั้นตอน

'สุริยะ' ลั่น รฟท.ไม่ยอมเสียที่ดินให้ใคร ขอให้จบในชั้นเจ้าหน้าที่ อย่าขยายประเด็นการเมือง

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์กรณีกรมที่ดินมีมติไม่เพิกถอนสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)และกรมที่ดิน

อธิบดีกรมที่ดิน ยันคำแถลงคกก.สอบเขากระโดง ไม่มีฟอกขาว ยึดข้อกฎหมายไม่ใช้ดุลพินิจ

นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวชี้แจงถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์ผลสรุปกรมที่ดินกรณีที่ดินเขากระโดง ว่า ในส่วนของกรมที่ดินทำ ทำอยู่สามส่วน โดยส่วนแรกทำตามคำสั่งศาลปกครอง  ส่วนที่สองทำตามข้อกฎหมายไม่มีส่วนใดใช้เรื่องดุลยพินิจ

'นักกฎหมาย' โต้ยิบ 'กรมที่ดิน' ปมที่ดินเขากระโดง

ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ ดร.ณัฏฐ์” นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงกรณีกรมที่ดินชี้แจง 5 ประเด็นเกี่ยวกับที่ดิน 'เขากระโดง' ว่าคำแถลงของกรมที่ดิ

'ทวี' ชี้ ‘เขากระโดง’ คำวินิจฉัยศาลฎีกา 5,083 ไร่ เป็นที่ดินของการรถไฟ ถือสิ้นสุด

เรื่องนี้ไม่ใช่ศาลฎีกาอย่างเดียว กฤษฎีกาก็วินิจฉัยแล้ว ป.ป.ช.ก็วินิจฉัยแล้ว ก็ถือว่าสิ้นสุด ที่สำคัญมีการบังคับคดีและยึดที่คืน