‘พรรคประชาชน’ โวผลงานฝ่ายค้าน 1 ปี’ เสนอกฎหมาย 84 ฉบับ ตั้งเป้าทำงานผสมผสานได้ทั้ง ‘รุก-รับ’ ปัดฮั้ว ‘เพื่อไทย’ เมินผลโพลคะแนนร่วง เปรียบ ‘เตะบอล’ ต้องรอจบ 90 นาที
4 พ.ย. 2567 – ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน แถลงสรุป 1 ปี ผลงานกฎหมายในสภาฯ ของพรรคประชาชน ว่า สิ่งที่เราพยายามตลอด 1 ปีที่ผ่านมา คือการวางบทบาทใหม่ของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งพยายามผสมผสานบทบาท ทั้งฝ่ายค้านเชิงรับที่การตรวจสอบรัฐบาล ในการดูว่าจะดำเนินการ ออกนโยบาย อย่างไร ซึ่งทั้งอดีตพรรคก้าวไกล จนถึงพรรคประชาชน เราทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีการอ่อนข้อ และมีความเข้มข้นเท่าเดิม
พรรคประชาชนใช้กลไกหลายอย่างของสภา เพื่อตรวจสอบรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 เพื่อซักถามข้อเท็จจริง และเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในทุกๆ เรื่องที่ประชาชนสงสัย อีกทั้งใช้กลไกการอภิปรายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ที่พยายามเข้าไปตรวจสอบ ว่าการใช้ภาษีถูกใช้อย่างคุ้มค่าหรือไม่ รวมถึงมีการเสนอแนะว่า หากจะใช้อย่างคุ้มค่าควรจัดงบประมาณแบบใด รวมทั้งยังมีการใช้กลไกของกระทู้สดทุกสัปดาห์ เพื่อพยายามซักถามประเด็นข้อสงสัยของประชาชน ณ เวลานั้น และยังพยายามใช้กลไกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญทั้ง 35 คณะ ไม่ว่าจะมี สส. ของพรรคเป็นประธาน กมธ.หรือไม่
นายพริษฐ์ กล่าวว่า อีกสิ่งหนึ่งที่เราพยายามเติมเข้ามา เพื่อเสริมคือบทบาทฝ่ายค้านเชิงรุก คือบทบาทในการนำทางรัฐบาล หรือเสนอแนะในสิ่งที่เราเห็นว่า รัฐบาลยังไม่ได้ทำ แต่เราเห็นว่าควรจะทำ นอกเหนือจากการเสนอแนะด้วยวาจา เราได้ยื่นร่างแก้ไขกฎหมาย เพราะมองว่าเป็นการฉายภาพให้เห็นพิมพ์เขียวของประเทศไทยในฉบับของพรรคประชาชนนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร และเพื่อทำให้รัฐบาลเห็นว่า หากจะมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายให้สอดคล้องกับนโยบายที่พรรคประชาชนเสนอนั้น จะต้องแก้ไขมาตราไหนกฎหมายฉบับใดอย่างไร
สำหรับหลายคนที่ตั้งข้อสังเกตว่า การที่พรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้านเสนอกฎหมายไปแล้วจะได้อะไร ในเมื่อเสียงในสภาผู้แทนราษฎรของเราไม่เกินกึ่งหนึ่ง แต่เรามี 3 วัตถุประสงค์ คือ 1.แก้ไขกฎหมายเพื่อประชาชน (Legislative changn) คือการแก้กฎหมายให้สำเร็จจริงๆ ร่างกฎหมายหลายฉบับที่เรายื่นไปนั้น สอดคล้องกับ 300 นโยบายที่เรานำเสนอกับประชาชนในช่วงของการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งหากเราสำเร็จในการผลักดันกฎหมายให้มีการแก้ไขจริง ก็เปรียบเสมือนการทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน แม้ในวันที่เราเราอาจจะยังไม่ได้เป็นรัฐบาล
2.การกำหนดวาระของรัฐบาล (Agenda-setting) เพราะไม่ว่าการเสนอกฎหมายของเรา ท้ายที่สุดจะนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายหรือไม่ แต่การที่เรายื่นเข้าไปส่วนหนึ่งเป็นการทำให้รัฐบาลต้องมาคุย และหาทางออกร่วมกันในประเด็นที่เราคิดว่าสำคัญ ถึงแม้ว่ารัฐบาลอาจจะมีข้อเสนอที่ไม่ตรงกับเราทั้งหมด แต่หากการยื่นกฎหมายของเราทำให้รัฐบาลเสนอร่างกฎหมายเข้ามาประกบ และสามารถแก้ไขปัญหาได้บางส่วน เราก็เห็นว่าเป็นความสำเร็จที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
และ 3.การทำงานเชิงความคิด (Winning hearts & minds) แม้ร่างกฎหมายที่เราเสนอเข้าไปอาจไม่ผ่านการเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรในสภาชุดนี้ แต่การใช้พื้นที่สภาในการอธิบายสังคมว่า ทำไมการแก้ไขกฎหมายจะเป็นประโยชน์ ตนเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เราพยายามจะนำเสนอมากขึ้น และเข้าใจว่าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจในการลงลึกในรายละเอียดว่าจะแก้ไขสิ่งต่างๆ อย่างไร และหวังว่าหากประชาชนให้การสนับสนุนเรื่องที่เราเสนอ ก็อาจจะทำให้ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
นายพริษฐ์ กล่าวว่า พรรคประชาชนได้เสนอร่างกฎหมายไปแล้วทั้งหมด 84 ฉบับ แบ่งออกเป็นลงมติวาระ 1 แล้ว 25 ฉบับ และยังมีอีก 59 ฉบับที่ยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ
“หลายคนมักมีความเชื่อว่าพรรคประชาชนเสนอกฎหมายอะไรไปก็ตกอยู่ดี แต่ความเป็นจริงมีเพียง 9 ร่างเท่านั้นที่สภาฯ ลงมติเห็นชอบ ถือเป็นหลักฐานที่ประจักษ์ว่าพรรคประชาชนเสนอกฎหมายเข้าไปไม่เสมอไปว่ากฎหมายจะถูกปัดตก และการเสนอกฎหมายของเรายังมีความสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศแม้วันนี้เรายังเป็นฝ่ายค้านก็ตาม” นายพริษฐ์ ระบุ
นายพริษฐ์ ย้ำว่า พรรคประชาชนมี 7 ชุดกฎหมายสำคัญ ที่จะเดินสายรณรงค์ในช่วงปิดสมัยประชุม แบ่งออกเป็น 2 เปิด คือ เปิดโอกาสแข่งขัน จากการยื่น พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า ที่พยายามจะปรับอำนาจที่มาของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการนำเสนอ ”โครงการคนฮั้ววงแตก“ เพื่อให้เกิดการระแวงกันเอง ระหว่างบริษัทเอกชนกับผู้ประกอบการที่พยายามจะฮั้วกัน ทางการค้า และเปิดโปงการทุจริต มีทั้งส่วนการเสนอในการเสนอ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารสาธารณะรวมไปถึงการแก้แก้ไขรัฐธรรมนูญหลายมาตรา เกี่ยวกับเรื่องสิทธิประชาชนเข้าถึงข้อมูลของรัฐ รวมถึงคุ้มครองประชาชนที่มาชี้เบาะแสในเรื่องการทุจริตอีกด้วย
2 ปลดล็อก คือการปลดล็อกที่ดิน สาระสำคัญคือ การนิรโทษกรรมประชาชนที่ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับที่ดินทำกิน สืบเนื่องมาจากการประกาศที่ดินของรัฐที่ไปทับที่ดินที่ประชาชนอาศัยอยู่หลายปี รวมไปถึงการแก้กฎหมายที่เพิ่มช่องทางให้ประชาชนที่ประสบปัญหาดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิ์ในที่ดินทำกินของตนเองได้อย่างสะดวกมากขึ้น และปลดล็อกการท่องเที่ยว โดยการแก้ไข พ.ร.บ.โรงแรม และพ.ร.บ. ควบคุมอาคารไปพร้อมกัน สาระสำคัญคือการอำนวยความสะดวกให้โรงแรม ที่พัก สามารถขอใบอนุญาตได้สะดวกมากขึ้น รวมไปถึงการกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น ให้มีบทบาทหลักในการออกใบอนุญาตให้กับโรงแรม
2 ปฏิรูป คือปฏิรูปกองทัพ จะทำอย่างไรให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน และดำเนินการสอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการปรับอำนาจที่มาของสภากลาโหม ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารในยามที่ไม่มีภัยสงคราม ขอบเขตของอำนาจศาลทหาร รวมไปถึงพรบฉุกเฉิน ที่พยายามจะให้มีกฎหมายที่รักษาสมดุลให้ดีขึ้นระหว่างเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนของประชาชน กับการบริหารจัดการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และปฏิรูปการศึกษา เป็นการนำเสนอ พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ ที่พยามจะคุ้มครองสิทธิของผู้เรียน และนักเรียนทุกคนทั่วประเทศ ในการเข้าถึงสิทธิ์เรียนฟรีอย่างน้อย 15 ปี รวมไปถึงสิทธิต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร สิทธิการรักษาด้านสุขภาพจิต
และ 1 ปกป้อง คือการปกป้องสิ่งแวดล้อม การเสนอกฎหมายปกป้องสิ่งแวดล้อม พ.ร.บ.โลกรวน , พ.ร.บ.ขยะ พ.ร.บ.PRTR เกี่ยวกับมลพิษ , พ.ร.บ.รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
โฆษกพรรคประชาชน กล่าวว่า การผลักดันกฎหมายของพรรคประชาชนถือเป็นกลไกสำคัญในการทำงานในสภาของพรรคในฐานะฝ่ายค้านเชิงรุกที่ไม่เพียงแค่ตรวจสอบรัฐบาลแต่จะเดินหน้าในการนำทางและเสนอแนะรัฐบาลผ่านการเสนอร่างแก้ไขกฎหมาย
“เราเข้าใจดีในเชิงคณิตศาสตร์เสียงของ สส.พรรคประชาชนที่มีเพียงน้อยนิดก็ไม่เพียงพอในการผ่านความเห็นชอบกฎหมายในสภาได้ จึงพยายามที่จะทำงานร่วมระดมทำความคิดกับพรรคซีกรัฐบาล เพื่อให้ร่างกฎหมายของพรรคประชาชนผ่านความเห็นชอบของสภาไปได้ เพราะมีความเชื่อมั่นมั่นใจในกฎหมายที่เราเสนอนั้น เป็นจุดยืนที่เป็นประโยชน์กับประชาชนสามารถแก้ปัญหากับประเทศได้ภารกิจของเราไม่ใช่การเปลี่ยนจุดยืนแต่คือการเปลี่ยนใจคนทั้งในและนอกสภาที่มีความสำคัญยิ่งเราอธิบายต่อสังคมเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าวก็จะทำให้การสนับสนุนในสภามีโอกาสมากขึ้นเพราะเสียงประชาชนที่ดังเข้ามาในสภาก็อาจจะมีผลกระทบต่อท่าทีของสส.ในสภาด้วยเช่นกัน” นายพริษฐ์ ระบุ
นายพริษฐ์ กล่าวว่า พรรคประชาชนจะเน้นไปที่การพยายามจะเพิ่มการมีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด หากย้อนกลับไปจะเห็นว่ามี สส.ที่รับผิดชอบในแต่ละเรื่องชัดเจนอยู่แล้ว ในการผลักดันประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่องหลายรูปแบบ เพื่อสร้างความเข้าใจว่ากฎหมายต่างๆ เหล่า กระทบต่อชีวิตประชาชนอย่างไร เน้นการรับฟังความเห็น และสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและภาคประชาสังคมที่ขับเคลื่อนประเด็น
เมื่อถามว่า หากให้ประเมินผลงานตัวเองที่ผ่านมา เต็มสิบให้เท่าไหร่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า คนที่ให้คะแนนฝ่ายการเมืองได้ดีที่สุด คงไม่ใช่พวกเราเอง แต่คือประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภาพจำของกฎหมายที่ผ่านสภา ซึ่งมักจะเป็นกฎหมายที่พรรครัฐบาลเห็นด้วย จะสามารถนับว่าเป็นผลงานของฝ่ายค้านได้อย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า แน่นอนว่าเมื่อเราเป็นฝ่ายค้าน เรามีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ถ้าสภาจะเห็นชอบ ต้องมี สส.ฝ่ายรัฐบาลเห็นชอบด้วย ยืนยันว่าไม่ได้มีความกังวลใจ ถ้าภาพจำจะเป็นผลงานของรัฐบาล เพราะหากย้อนไปตั้งแต่การก่อตั้งพรรคประชาชน รวมถึงพรรคก้าวไกล ที่ตั้งใจจะสร้างความเปลี่ยนแปลง ดังนั้น หากการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่วงสมัยที่พรรคประชาชนไม่ได้เป็นรัฐบาล เราก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องรอให้พรรคประชาชนเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนก็สามารถพยายามผลักดันและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงบางอย่างไปก่อนได้
ส่วนผลโพลที่คะแนนฝ่ายค้านลดลง มองว่ามีนัยสำคัญอย่างไร และจะมีการปรับเกมอย่างไรบ้างนั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ผลโพลทุกสำนักเป็นข้อมูลประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของทุกฝ่ายอยู่แล้ว แต่ต้องดูในรายละเอียดว่าเป็นผลโพลของสำนักไหน มีวิธีการถามคำถามอย่างไร และถามกับใคร ซึ่งทั้งหมดก็เป็นประโยชน์
“ท้ายที่สุด ผลงานของเรา ประชาชนจะพิพากษาอย่างไร ก็จะจบที่การเลือกตั้งครั้งถัดไป หากเปรียบเหมือนเกมฟุตบอล ก็เป็นข้อมูลที่อาจจะช่วยให้เราสามารถปรับเกมระหว่างการแข่งขันได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือคะแนนตอนจบเกมการแข่งขัน 90 นาที” โฆษกพรรคประชาชน ระบุ
เมื่อถามว่า ในการเมืองก่อนปิดสภา ซึ่งพรรคประชาชนอาจถูกมองว่าเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ค้านไม่จริง เนื่องจากเคยเป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยมาก่อน ทำให้การตรวจสอบไม่เต็มที่ นายพริษฐ์ กล่าวยืนยันว่า ตลอด 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา เราในฐแกนนำพรรคฝ่ายค้านใช้กลไกของสภาอย่างเต็มที่ ในการตรวจสอบรัฐบาลทุกเรื่องที่สังคมคาใจส่วนเรื่องข้อเท็จจริงที่คงปฏิเสธไม่ได้ คือพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลเคยอยู่ในซีกพรรคฝ่ายค้านร่วมกัน แต่ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลในปี 66 เป็นต้นมา เมื่ออยู่คนละขั้วกัน เราก็ทำงานเต็มที่ในการตรวจสอบ ไม่มีฮั้ว ไม่มีการอ่อนข้อแน่นอน ตนเชื่อว่า ในอีก 2 ปีครึ่งข้างหน้า จะยิ่งตอกย้ำ และยืนยันภาพดังกล่าว
ส่วนกรณีพรรคเพื่อไทยตอบรับเรื่องการทำประชามติ 2 ครั้งนั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า เรื่องจำนวนของการทำประชามติ พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยเห็นตรงกันมานานแล้ว ในเชิงความจำเป็นของกฎหมายว่า 2 ครั้งพอ เพียงแต่ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล พยายามจะใช้การยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขยายความให้เกิดความชัดเจนขึ้น ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 หมายถึงจำนวนการทำประชามติทั้งหมดกี่ครั้ง ซึ่งเมื่อพอศาลรัฐธรรมนูญไม่รับเรื่องดังกล่าวไปวินิจฉัย จึงทำให้ประธานสภา อาจวินิจฉัยหรือตีความเรื่องดังกล่าว ต่างจากพรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย จนไปมองว่า ต้องมีการทำประชามติ 3 ครั้ง ส่งผลให้ไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ของพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลที่ยื่นไปเมื่อต้นปี ดังนั้น ตนมองว่าจุดยืนของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนสอดคล้องกันมาตลอด แต่มาถึงวันนี้ เราก็ต้องมาขบคิดกันว่าจะทำอย่างไร ให้แผนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่อาศัยการทำประชามติ 3 ครั้ง เกิดขึ้นได้จริง
อย่างไรก็ตาม ยังมี 3 ล็อก หรือ 3 บุคคลสำคัญ ที่ต้องเข้าไปหารือ คือ 1.ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้บรรจุร่างดังกล่าวลงระเบียบวาระ 2.นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล เพื่อทำให้สมาชิกรัฐสภาลงมติเห็นชอบ โดยไม่นำคำวินิจฉัย 4/2564 มาเป็นข้ออ้างในการลงมติไม่เห็นชอบ และ 3.ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ขยายความให้ทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน และเดินตามแนวทางดังกล่าว ทั้งนี้ ได้มีการส่งหนังสือ เพื่อขอเข้าพบกับ 3 บุคคลดังกล่าวแล้ว เนื่องจากวาระการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้ทันกับการเลือกตั้งครั้งถัดไป ไม่เพียงแต่เป็นวาระที่ทั้งพรรครัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน เคยออกมาประกาศว่าเห็นตรงกัน แต่ยังเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้สัญญาไว้กับประชาชนเช่นกัน เราก็อยากจะเห็นเป้าหมายดังกล่าวสำเร็จ
เมื่อถามถึงการทำหนังสือที่ส่งไป มีการตอบรับมาแล้วหรือยัง หรือมีการชี้แจงอย่างไรบ้าง นายพริษฐ์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบ ยังไม่มีการตอบรับกลับมา เนื่องจากเราส่งไปเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่เมื่อติดตามการให้สัมภาษณ์ของบุคคลในพรรคเพื่อไทยเรื่องนี้ ก็ฟังดูเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่า ทางพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำพรรครัฐบาล น่าจะพร้อมหารือ หาทางออกเรื่องนี้ร่วมกับเรา รอคำตอบจากทั้ง 3 ท่าน
เมื่อถามย้ำถึงความมั่นใจในการทำประชามติ 2 ครั้ง ไม่ถูกหยิบยกไปอ้างในการร้องศาลภายหลัง โฆษกพรรคประชาชน กล่าวย้ำว่า การพบ 3 บุคคลข้างต้น จึงมีความสำคัญ หรือเป็นตัวแปรสำคัญมาก ในการที่เราจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รองเลขาฯเพื่อไทย ฟาดกลับ 'ไอซ์ รักชนก' แซะแจกเงินหมื่นช่วงเลือกตั้งนายก อบจ.
น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า ใจเย็นๆ นิดนะคะ รัฐบาลตั้งใจส่งเงินหมื่นกระตุ้นเศรษฐกิจ ถึงมือกลุ่มเป้าหมายให้เร็วที่สุด
'ไอติม-กมธ.การเมือง' รุดขอความชัดเจนศาลธรน. หวังได้คำตอบปมทำประชามติ 2 ครั้ง
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการการเมืองการมีส่วนร่วม สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมหารือกับประธานศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า อย่างที่เราทราบกันดีว่าการ
กมธ.มั่นคงฯ ขอดูลาดเลาปม MOU44 ให้รอบด้าน
'กมธ.มั่นคง' ขอฟังข้อมูลปม MOU 44 รอบด้าน หลังหลายฝ่ายมีความเห็นต่าง 'โรม' ยันยึดประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เล็งใช้กลไกสภาเดินหน้าตรวสอบ เหตุเรื่องรื้อรังมานาน
'เอ็ดดี้ อัษฎางค์' มีคำตอบให้! 'พิธา' ไม่เข้าใจทำไมกลายเป็นศัตรูเพื่อไทย
เอ็ดดี้-อัษฎางค์ ยมนาค อินฟลูเอ็นเซอร์การเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ไม่เข้าใจทำไมกลายเป็นศัตรูกับเพื่อไทย อัษฎางค์ ยมนาค มีคำตอบให้
'ชูศักดิ์' บอกรู้ตั้งแต่เห็นคำร้อง 'ธีรยุทธ' ไปไม่ได้ เหตุไม่เข้าเกณฑ์ล้มล้างปกครอง
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณา
รู้ไว้ซะ 'ปิยบุตร' เผย 'ทักษิณ' ได้กลับบ้าน เพราะก้าวไกลชนะเลือกตั้ง!
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันอีกครั้ง