สว. 167 เสียง ลงมติเห็นชอบใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น ทำประชามติแก้รธน.

“วุฒิสภา” 167 เสียง ตีกลับร่าง สส. แก้กฎหมายประชามติ เห็นชอบใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้นแก้รัฐธรรมนูญ “สว.สิทธิกร”แบไต๋ขวางนักการเมืองครอบงำชาวบ้าน เลือกตั้งนายกอบจ. พ่วงประชามติ

30 ก.ย.2567 - เวลา 11.40 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม มีวาระพิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่มีพล.ต.ต. ฉัตรวรรษ แสงเพชร เป็นประธานกมธ.ฯ พิจารณาเสร็จแล้ว

สำหรับร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวที่ผ่านการพิจารณาของคณะกมธ.นั้น พบว่าแก้ไขเพียงมาตราเดียว คือ มาตรา 7 แก้ไขมาตรา 13 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การผ่านประชามติ ที่ให้เติมความวรรคสอง กำหนดให้ การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในการจัดทำประชามติ มาตรา 9 (1) หรือ (2) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น(Double Majority)

ทั้งนี้ในการประชุม พบกมธ.เสียงข้างน้อย ได้สงวนความเห็น และอภิปรายขอให้กลับไปใช้เนื้อหาเดิมตามที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบ โดย น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ในฐานะกมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า การกลับมติของ กมธ. ในวันที่ 25 ก.ย. ทั้งที่ก่อนหน้านั้นกมธ.ได้ลงมติในทิศททางเดียวกัน และปฏิเสธคำแปรญัตติของนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ที่เสนอให้ใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้นในเรื่องรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้การกลับลำดังกล่าว เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีใบสั่ง เพราะเมื่อวันที่ 24 ก.ย. นั้น มีหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลแสดงความไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้การลงมติของกมธ. ด้วย 17 เสียง ต่อ 1 เสียง นั้่นไม่งาม

“ขอสว.อย่าความจำสั้น เพราะการลงมติวาระแรก มีผู้ลงมติรับหลักการ 179 เสียง ทั้งนี้รัฐธรรมนูญที่มีปัญหา ทำให้การเมืองไร้เสถียรภาพ ปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นขอให้กฎหมายประชามติเป็นก้อนหินก้อนแรก เพื่อสร้างถนนประชาธิปไตย” น.ส.นันทนา อภิปราย

ด้านนายนิกร จำนง กมธ.เสียงข้างน้อยในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) อภิปรายว่าไม่เห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมาก เนื่องจากการศึกษาของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ เป็นประธาน และตนทำงานในคณะดังกล่าวพบว่าเกณฑ์ออกเสียงประชามติด้วยเสียงข้างมาก 2 ชั้น เป็นอุปสรรคที่ทำให้ประชามติผ่านยาก จึงเสนอให้แก้ไขให้ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวซึ่งเป็นฉบับที่เสนอให้วุฒิสภาพิจารณา

นายนิกร กล่าวอีกว่าหาก สว. เห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมาก ต้องกลับไปสภาฯ และเชื่อว่าสภาฯจะยืนยันตามร่างของตนเอง เพราะได้ลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ ดังนั้นสิ่งที่ตามมา คือตั้งกมธ.ร่วมกันฝ่ายละ 10 คน หากตกลงไม่ได้ไม่มีข้อสรุป และส่งไปยังแต่ละสภาพิจารณา หากสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบ ต้องถูกแขวนไว้ 180 วัน จากนั้นสภาฯ ถึงจะลงมติ ซึ่งจะใช้ร่างของสภาฯ ไม่ผ่านวุฒิสภา

“สิ่งที่จะกระทบคือ รัฐธรรมนูญของประชาชนจะเกิดไม่ทันในรัฐสภาชุดนี้แน่ เพราะมีเวลาไม่ถึง 3 ปี แล้วใครจะรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น ที่จะไม่มีรัฐธรรมนูญของประชาชน ตามที่คณะกรรมการฯ เล็งกันไว้ คือ ทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งท้องถิ่น วันที่ 2 ก.พ.68 หากไม่ทันจะเพิ่มค่าใช้จ่าย ผมตั้งความหวังไว้ ผมอยากให้สว.เห็นด้วยกับร่างของสภา ไม่เช่นนั้นจะสุ่มเสี่ยงถูกโทษว่ารั้งรัฐธรรมนูของประชาชนไว้” นายนิกร กล่าว

นายนิกร กล่าวด้วยว่า ขอเสนอวันและเวลา รวมถึงโอกาส คือ แม้สว.จะโหวตตามกมธ.เสียงข้างมากแก้ไข ส่งไปสภาฯ 9 ต.ค. พิจารณาตั้งกมธ. ร่วมกัน จากนั้นมีเวลาระหว่างวันที่ 16 - 23 ต.ค. ที่กมธ.จะพิจารณาหาทางออก ต่อมาวันที่24 ต.ค. กมธ.ร่วมกันส่งให้สองสภา วันที่ 28 ต.ค. วุฒิสภาเห็นชอบตามร่างของกมธ.ร่วมกัน จากนั้นวันที่ 30 ต.ค. ให้ความเห็นชอบ และวันที่ 31 ต.ค. สามารถทำตามกระบวนการของการประกาศใช้กฎหมาย และสามารถทำประชามติได้ทันวันที่ 2 ก.พ. 68 แต่หากทำไม่ทันเวลาจะไหลไป ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องของพรรคใด แต่เป็นเรื่องว่าจะมีรัฐธรมนูญของประชาชนในยุคสมัยนี้ได้หรือไม่

ด้านนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. อภิปรายว่าตนเสนอคำแปรญัตติให้กมธ.พิจารณาแก้ไข เพราะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขให้มีเสียงข้างมากเพียงชั้นเดียว ทั้งนี้ที่ระบุว่าไม่แก้กลัวว่าประชามติไม่ผ่านนั้น หากเปรียบเทียบกับการทำประชามติรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550 และ 2560 พบว่าผู้ออกมาใช้สิทธิและคะแนนเสียงต่างผ่านเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้นทั้งสิ้น ดังนั้นอย่ามาอ้างว่าหลักการดังกล่าวจะทำให้การทำประชามติเป็นไปได้ยาก ส่วนที่ระบุเหตุผลว่ากลัวไม่ทันกับการเลือกตั้ง อบจ. ก.พ.68 ตนมองว่าสามารถใช้พ.ร.บ.ประชามติฉบับปัจจุบันได้

“การแก้รัฐธรรมนูญปัจจุบันมีแต่เรื่องแก้จริยธรรมนักการเมือง แต่ไม่มีประเด็นเรื่องแก้เพื่อประชาชนทั้งนี้ที่บอกว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาเคยมีประชาชนเดินมาบอกหรือไม่ว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาตรงไหน ทั้งนี้ตนเชื่อว่ารัฐธรรมนูญนี้มีปัญหากับพรรคและนักการเมืองมากกว่า” นายพิสิษฐ์ อภิปราย

ขณะที่ นายสิทธิกร ธงยศ สว. อภิปรายว่า การแก้ไขเรื่องเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้นของกมธ.นั้นชอบธรรมและถูกต้อง และขอชื่อชม เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งที่ตามมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้การแก้ไขเกณฑ์ข้างมาก 2 ชั้น ไม่เป็นปัญหา หากได้ 3 ชั้นยิ่งดี อย่างไรก็ดีความพยายามให้การออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้ง นายก อบจ. นั้น เป็นเรื่องไม่ชอบมาพากล เพราะขณะนี้มีพรรคการเมืองใหญ่เปิดตัว ผู้สมัครนายก อบจ. แล้ว 70-80% ดังนั้น หากสว.ผ่านให้ทำประชามติวันดังกล่าว จะกลายเป็นเครื่องมือของนักการเมืองทันที

“คนแก่ที่จะเลือกต้องปรึกษาหัวคะแนน ใบแรก เลือกตั้งนายก อบจ. ใบสองคือ แก้เรื่องอะไรต้องถามหัวคะแนน เป็นเรื่องที่แอบแฝง ทั้งนี้ไม่ต้องห่วงค่าใช้จ่าย หรือ เป็นภาระสังคม อันอื่นเสียได้ ตอนนั้นจำนำข้าวเสียหาย 7 แสนล้านบาท เป็นเรื่องเล็กน้อยกับการทำประชามติกฎหมายแม่บท ดังนั้นต้องทำให้ปลอดจากการครอบงำของพรรคการเมือง ขอให้เป็นวันใหม่ เป็นวันขึ้นปีใหม่ หรือ วันสงกรานต์ เพราะประชาชนกลับบ้านมากกว่าเลือก นาย อบจ. อย่าให้พรรคการเมืองครอบงำ มีประโยชน์ทับซ้อน” นายสิทธิกร ระบุ

นายสิทธิกร อภิปรายต่อว่า ในการถามคำถามประชามติ หากสว.ผ่านไป ไม่รู้เขาจะตั้งคำถามอะไร หลีกไม่พ้นกับการจัดตั้งมีระบบอุปถัมภ์ที่ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะทำให้ได้รัฐธรรมนูญที่ไม่มีคุณภาพ เป็นเครื่องมือของนักการเมือง ตนเห็นควรว่า สว.ต้องตระหนักในประเด็นดังกล่าว เพราะเป็นผลประโยชน์ทางซ้อน ซึ่งเราหลงเกมนักการเมือง เขาจะกินหัวเรา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ประชุมอภิปรายแล้วเสร็จได้ลงมติเห็นชอบตามที่กมธ.เสียงข้างมากแก้ไข ด้วยคะแนน164 เสียง ต่อ 21 เสียง และงดออกเสียง 9 เสียง ต่อมาที่ประชุมลงมติในวาระสามว่าจะเห็นชอบทั้งฉบับหรือไม่ ผลปรากฎว่า เสียงข้างมากเห็นชอบกับร่างพ.ร.บ.ประชามติตามที่คณะกมธ.แก้ไข ด้วยคะแนน 167 เสียงไม่เห็นชอบ 19 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ทั้งนี้ ทางวุฒิสภาจะได้ส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาว่าจะเห็นชอบตามที่สว.แก้ไขหรือไม่ หรือจะยืนยันตามที่สภาผู้แทนราษฎมีมติ หากไม่เห็นด้วยกับที่สว.แก้ไข จะต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันต่อไป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดิ้นสุดซอย! 'ชูศักดิ์' ชี้ช่องยื่นตีความ พรบ.ประชามติ เป็นกฎหมายการเงิน ไม่ต้องรอ 180 วัน

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตีความร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การออกเสียงประชามติ ว่าเป็นกฎหมายการเงินหรือไม่

สส.แพ้! กมธ.ประชามติ ฝั่ง สว. โหวตชนะ ใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น แก้รัฐธรรมนูญ

นายกฤช เอื้อวงศ์ สว. พร้อมด้วย นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ แถลงผลการประชุมครั้งที่ 3 เพื่อหาข้อยุติในมาตรา 7 ของ พ.ร.บ.

'สิริพรรณ นกสวน' อาจารย์จุฬาฯ ลงสมัครชิงเก้าอี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ในฐานะหน่วยธุรการ เปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำนวน 2 คน เพื่อมาแทน นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรธน.

'ทักษิณ' ยันพรรครัฐบาลไม่แตะ 112 เผยเคยเตือนสติ 'ธนาธร' มาแล้ว!

"ทักษิณ" เผยพรรคร่วมรัฐบาล ลงสัตยาบันไม่แตะ มาตรา 112 โอดตัวเองตกเป็นเหยื่อเพราะถูกหมั่นไส้  เคยคุย "ธนาธร" ขอให้ช่วยกันทำเพื่อบ้านเมือง หากจะแก้กฎหมายควรทำทีละขั้นตอน อย่าไปมุ่งหาเสียง บางทีจุดโฆษณาอันตรายกว่าสิ่งที่ตั้งใจทำ

'ชูศักดิ์' ลั่นหาทางแก้รัฐธรรมนูญให้เร็วขึ้น เสร็จในรัฐบาลนี้

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ว่า ในส่วนของพรรคเพื่อไทย ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ไปแล้วว่าจะใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว ก็คงจะยืนตามนั้น