อดีตสว.สมชาย อัดเพื่อไทย-พรรคส้ม ผลประโยชน์ทับซ้อน ชำเรารัฐธรรมนูญ

21 ก.ย.2567 - นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ที่เป็นแกนนำหลักของอดีตกลุ่ม 40 สว.สมัยที่ผ่านมา ซึ่งร่วมกันยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีเศรษฐา ทวีสิน จนทำให้นายเศรษฐา พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯ กล่าวถึงการที่พรรคการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในขณะนี้ว่าเห็นได้ชัดว่า การยื่นแก้ไขรธน.ครั้งนี้ เป็นการทำเพื่อนักการเมืองและพรรคการเมือง ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม การเสนอแก้ไขรธน.รายมาตรา ทั้งเรื่องอำนาจศาลรธน.หรือแก้ไขเรื่องมาตราฐานจริยธรรมของผู้ถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี ไม่เห็นว่าประชาชนจะได้ประโยชน์ตรงไหน มันเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนของพวกคุณด้วยซ้ำไป ไม่เชื่อว่าประชาชนจะลงประชามติเห็นด้วยกับร่างที่เสนอฯ

นายสมชายกล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาจากความเห็นชอบของประชาชนผ่านการทำประชามติ 16 ล้านเสียง แต่ก็ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่แก้ไขไม่ได้ หลักสำคัญสามอย่างที่ยังคงยืนมั่นอยู่ในรัฐธรรมนูญคือ หนึ่ง หลักแก้ไขไม่ได้เลย ก็คือ เรื่องรัฐไทยเป็นหนึ่งเดียว สอง แก้ง่าย ที่ก็เคยแก้ไขมาแล้วในรัฐสภาสมัยที่ผ่านมาคือแก้ไขกติกาการเลือกตั้งเปลี่ยนจากระบบเลือกตั้งส.ส.แบบบัตรใบเดียวเป็นบัตรสองใบ สาม แก้ยาก ที่เป็นหลักความคุ้มครองหลักนิติรัฐ นิติธรรม และการปฏิรูปประเทศ การถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ รวมถึงองค์กรอิสระที่ใช้อำนาจหน้าที่ต่างๆ การออกแบบให้มี ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ใช่เพิ่งเกิดในรัฐธรรมนูญปี 2560 แต่เกิดมาตั้งแต่รธน.ปี 2540 โดยที่ผ่านมาทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี กรณีที่เสนอแก้ไขรธน.เรื่องศาลรัฐธรรมนูญเวลานี้ พรรคเพื่อไทย ที่เป็นรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้านคือพรรคประชาชน อาจจะมีการแสวงจุดร่วมเพราะทั้งสองฝ่าย ได้เคยถูกศาลรธน.วินิจฉัยโดยหลักนิติรัฐ-นิติธรรมแล้วทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการป้องกันไม่ให้คนไม่ดี เข้ามามีอำนาจ รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติเรื่อง รัฐมนตรี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ฯต้องไม่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ปัญหามันจึงอยู่ที่ตัวบุคคล ไม่ใช่อยู่ที่รัฐธรรมนูญ และไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ปัญหามันอยู่ที่ดุลยพินิจ และการเลือกใช้คนรัฐธรรมนูญปี 2560 จึงออกแบบมาให้ นายกรัฐมนตรี พรรคการเมือง ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ด้วยการต้องคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และไม่ประพฤติผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อมาบริหารประเทศ

“รัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ(5) เขียนไว้ชัดเจนอยู่แล้วและยิ่งชัดมากขึ้นเมื่อมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา ยิ่งเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เป็นเรื่องที่วิญญูชนรู้ดีอยู่แล้วว่าความซื่อสัตย์สุจริตเป็นอย่างไร อย่างเช่นเรื่องถุงขนมสองล้านบาท เรื่องนี้ก็เพียงแค่คนไหนมีปัญหาก็อย่าตั้งให้มีตำแหน่ง ถ้าตั้งโดยซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีเบื้องลึกแอบแฝงมา หรือเป็นเรื่องผลประโยชน์ตอบแทน ก็ตั้งได้ทั้งสิ้น รัฐธรรมนูญไม่ได้มีปัญหา ไม่ได้มีความผิด ไม่อย่างนั้นประเทศชาติไปไม่ได้ ถ้าไม่มีกรอบกติกา การจะเสนอแก้ไขรธน.โดยอ้างว่า รธน. มาตรา 160 (4) และ (5)  บัญญัติไม่ชัดเจนนั้น มันเป็นความไม่ชัดเจนของพวกคุณกันเอง เพราะมีทั้งคำตัดสินของศาลฎีกา และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องมาตรฐานจริยธรรมฯ ออกมาแล้ว"

นายสมชาย อดีตสว.กล่าวด้วยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเริ่มดำเนินการต่อจากนี้ ไม่เชื่อว่าประชาชนจะลงประชามติเห็นด้วย อยากจะแก้ไข ก็ทำกันไปในรัฐสภา จะได้เป็นการพิสูจน์ว่า พรรคเพื่อไทย ที่กำลังจะเข้าไปลิดรอนอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เช่นการแก้ไขให้การลงมติวินิจฉัยคดีในการให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องพ้นจากตำแหน่งต้องใช้เสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างน้อย ใน เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว -พวกพ้อง หรือทำเพื่อผลประโยชน์ประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลเอง ไม่ว่าจะเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา จะไปเห็นพ้องด้วยหรือไม่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง ไม่เชื่อว่าประชาชนจะออกเสียงประชามติให้ผ่าน

        นายสมชาย -อดีตสว. ยังกล่าวถึงกรณี พรรคเพื่อไทย เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้ผลการลงมติให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ้นจากตำแหน่งโดยใช้เสียง ใน ของตุลาการศาลรธน.ที่ปฏิบัติหน้าที่ โดยกล่าวว่า ถ้าแบบนี้ เหตุใดไม่แก้เรื่องการพิจารณาร่างกฎหมายของสภาฯ และวุฒิสภาไปด้วย โดยแก้ว่า ร่างพรบ.ที่จะผ่านความเห็นชอบจากสภาฯและวุฒิสภา ต้องได้เสียงเห็นชอบจากสมาชิกไม่น้อยกว่า ใน ของสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่ ทำไมให้ใช้เสียงแค่เกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ ของสภาฯที่มีส.ส. 500 คน สว. 200 คน ซึ่งเมื่อก่อนเวลามีประชุม เช่น สว.มาไม่ถึงครึ่งหนึ่ง สว.ลงมติเสียงข้างมาก 80 เสียง ต่อ 70 เสียง กฎหมายก็แก้ไขได้แล้ว ไม่ถึงกึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ จนกระทั่งมีคำวินิจฉัยศาลรธน. จนรัฐธรรมนูญเขียนในเวลาต่อมาว่าสมาชิกต้องมาเป็นองค์ประชุมเกินกึ่งหนึ่ง และเสียงเห็นชอบต้องมีเกินกึ่งหนึ่ง การวินิจฉัยคดีของศาลรธน. ไม่ได้วินิจฉัยแบบชุ่ยๆกว่าจะออกคำวินิจฉัยมา ต้องมีการไต่สวนคดี กว่าจะออกมาเป็นคำวินิจฉัย ศาลต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมืองอยู่แล้ว ไม่ว่าเสียงข้างมากจะออกมาอย่างไร จะเป็น ต่อ 4 หรือ ต่อ ก็ต้องใช้ดุลยพินิจกันเยอะ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคนต้องเขียนคำวินิจฉัยส่วนตนเวลาวินิจฉัยคดีต่างๆ แล้วส.ส.เคยเขียนอะไรหรือไม่เวลาส.ส.ลงมติเรื่องต่างๆ หากเข้าใจเรื่องนี้ มันก็เหมือนกันคือเป็นเรื่องหลักการเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง ถูกต้องเหมาะสมแล้วสำหรับการลงมติวินิจฉัยคดีของศาลรธน.ไม่จำเป็นต้องมาแก้ไขโดยให้เป็นมติ ใน แต่อย่างใด 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สว.พิสิษฐ์' เตรียมจัดเวทีชำแหละร่างแก้รธน. หั่นเสียงวุฒิสภา ขัดปชต.-การถ่วงดุล

นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256

'วราวุธ' ย้ำแก้รธน. ไม่แตะหมวด 1,2 ตั้ง ส.ส.ร. ต้องสะท้อนถึงสังคมปัจจุบัน

นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า พรรคยังยืนยันจุดเดิมคือ การได้มาซึ่ง ส.ส.ร. โดยเฉพาะหมวด 1 หมวด 2 ที่

รู้ทันกลเกมนักการเมือง แก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 ใครได้ใครเสีย?

ประชาธิปไตยจะไม่มีทางเบ่งบานได้เลย หากประชาชนยังไม่รู้เท่าทันกลเกมของนักการเมือง ที่มักแอบอ้างประชาชนในการกระทำสิ่งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน การเมืองไทยทุกวันนี้ยังคงเป็นพื้นที่ของคนรวยที่อยากมีอภิสิทธิ์เหนือคนทั่วไป หรืออยากได้อำนาจรัฐมา

'ธนกร' เห็นด้วยเลื่อนถกแก้รธน. ออกไป 1 เดือน แนะแก้ปัญหาประชาชนเป็นอันดับแรก

นายธนกร วังบุญคงชนะ  รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า จากการประชุมของคณะกรรมการประสานงาน (วิป 3 ฝ่าย) มีมติให้เลื่อนการพิจารณา การประชุมร่วมรัฐสภา

'เพื่อไทย' ยื่นร่างแก้รัฐธรรมนูญ ประกบฉบับ 'พรรคประชาชน' 8 ม.ค.นี้

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล กล่าวว่า ในวันที่ 8 ม.ค. พรรคเพื่อไทยจะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ต่อรัฐสภา จะเสนอประกบไปกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256