17 ก.ย.2567 - ที่พรรคพลังประชารัฐ ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ประกอบด้วย ดร.อุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ร่วมกันแถลงข่าวตรวจสอบนโยบายรัฐบาลนายกแพทองธารที่แถลงต่อรัฐสภา โดยมุ่งตรงไปยังนโยบาย ศก. ทั้งการแก้หนี้ ดิจิตอลวอลเล็ต และกองทุนวายุภักษ์
นายอุตตม กล่าวว่า ตนเห็นด้วยกับรัฐบาลที่กำหนดการแก้หนี้เป็นนโยบายเร่งด่วนลำดับแรกของคณะรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอแนะว่า การแก้หนี้ให้บรรลุผลนั้น ต้องทำครบวงจร เช่น รัฐบาลต้องผนึกธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันการเงินเอกชน/รัฐ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างยืนในทุกมิติที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรเทาความเดือนร้อน เติมกำลังให้ประชาชนและเศรษฐกิจ สร้างอนาคตประเทศ ทั้งนี้ โครงการที่ทำต้องเข้าถึงประชาชนฐานรากทั่วทั้งประเทศ บริการเสมอภาคเป็นธรรม พร้อมทั้งมีการนำเทคโนโลยีมาร่วมขับเคลื่อน
นายอุตตม กล่าวถึงมาตรการที่ใช้ขับเคลื่อนว่า “รัฐมนตรีการคลังควรหารือกับ ธปท. ถึงแนวทางการลดเงินที่เก็บเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) เหลือ 0.23% ต่อ 6 เดือน ชั่วคราว 5 ปี เพื่อนำเงินที่ประหยัดได้ไปลด ยอดหนี้ (haircut) สำหรับลูกหนี้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/เดือน และต้องเจรจาให้ธนาคารต้องนำกำไรสะสมมาร่วมด้วยไม่น้อยกว่า 25% ของหนี้ที่ลดให้แก่ลูกหนี้ อันเป็นการร่วมมือกันแก้ปัญหาระหว่างรัฐกับเอกชน” นายอุตตม กล่าวทิ้งท้าย
ด้านนายสนธิรัตน์ ได้กล่าวถึง 3 ประเด็น ที่อยากจะให้รัฐบาลได้รับทราบถึงทำงานของของพรรค พปชร. ว่า 1.ดิจิทัลวอลเล็ต ถือว่าเป็นโครงการเรือธงของรัฐบาล และเป็นโครงการที่รัฐบาลใช้หาเสียง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐไม่สบายใจ เพราะโครงการนี้เดินบนความไม่แน่นอนตลอดเวลากว่าหนึ่งปีของรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ การเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาสาระของโครงการคือสิ่งที่เราตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอด ตั้งแต่รูปแบบเงินดิจิตัลที่หลายฝ่ายตั้งคำถามมากมาย รวมทั้งทีมวิชาการของพรรคได้ตั้งคำถามว่า เงินดิจิตัลจะใช้สกุลอะไร ไทม์ไลน์ กลุ่มเป้าหมาย วิธีการใช้จ่ายก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จนเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาได้ข้อยุติเป็นครั้งแรกว่า จะใช้เงินสดเป็นตัวดำเนินนโยบาย จึงได้ตั้งข้อสังเกตว่า การใช้เงินสดจากการหาเสียงมีความตรงกันหรือไม่ แต่พรรคพลังประชารัฐดีใจที่รัฐบาลจะนำเงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจตามความตั้งใจตั้ง เอาเงินมาช่วยประชาชนกลุ่มเปราะบางที่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการเยียวยาจากรัฐบาล กลุ่มที่จะได้รับ 14.5 ล้านคน เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ ซึ่งชัดว่าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กลายเป็นโครงสร้างหลักของการดำเนินการนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าแจกเงินสดผูกกับบัตรประชาชน และใช้กลไกพร้อมเพลย์ หวังว่าจะยังให้ความสำคัญกับร้านธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งเป็นกลไกที่อุ้มให้ร้านค้าของประชาชนจาก 0 ร้าน เป็น 84,000 ร้าน
2.ผลกระทบที่รัฐบาลหวังว่าจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ที่คาดว่าจะทำให้เกิดการกระตุ้นต่อจีดีพี เราจะติดตามผลกระทบของพายุหมุนเศรษฐกิจครั้งนี้ จะเป็นพายุหมุนสมกับเม็ดเงินงบประมาณที่รัฐบาลใช้ หรือเป็นเพียงแค่ฝนหลงฤดูของรัฐบาล
3.งบประมาณ 140,000 ล้านบาท เราจะตรวจสอบว่ากระทบต่อ GDP ถึง 0.35% หรือไม่ และงบดังกล่าวนำมาใช้ในโครงการดิจิตัลวอลเล็ตลดการเติบโตด้านอื่นหรือไม่ ทำให้เกิดผลกระทบการที่รัฐบาลจะจะใช้เงินก้อนนี้ ในการทำโครงสร้างพื้นฐาน หรือประโยชน์สาธารณะอย่างไร ซึ่งการดึงงบประมาณเหล่านี้ จะมีผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เราจะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนผู้ลงทะเบียนดิจิตัลวอลเล็ต จำนวน 36 ล้านคน รัฐบาลได้แถลงว่าจะดำเนินการแน่นอนในส่วนของผู้ที่ลงทะเบียน แต่ก็มีคำถามว่า จะทำเมื่อไหร่ จะทำอย่างไร จะทำวิธีไหน งบประมาณจะมาจากไหน นี่คือจุดใหญ่ที่ทางพรรคพลังประชารัฐ อยากเห็นโครงการเรือธงของรัฐบาล เป็นโครงการที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้จริง “ไม่อยากเห็นโครงการเรือธงกลายเป็นโครงการเรือร่ม ออกสตาร์ทแค่ปากอ่าวแล้วไปได้ไม่ไกล”
ด้านนายธีระชัย กล่าวว่า การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐที่นำเอากองทุนวายุภักษ์ เพื่อระดมทุนนั้น เป็นการใช้นโยบายอุ้มคนมีเงิน สร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมและมีความเสี่ยงผิดกฎหมาย ตนขอเตือนว่าการระดมเงินแล้วไปเก็งกำไร ทั้งในตลาดหลักทรัพย์(ตลท.) และนอกตลาดหลักทรัพย์ ทั้งทองคำ น้ำมันดิบ สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้นกู้เครดิตต่ำ (junk bond) ฯลฯ ที่ไม่ใช่กิจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง เป็นเรื่องไม่เหมาะสมและเสี่ยงผิดกฎหมาย
“ตนเองได้มีหนังสือ 4 ฉบับเสนอแนะให้นายกฯ แพทองธาร ชินวัตรทบทวน เพราะมีปัญหา 2 ด้าน คือก่อปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคม เป็นการรอนสิทธิของประชาชนทั้งประเทศ สิทธิของข้าราชการ และสิทธิของผู้ใช้แรงงานไปให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย และยังอาจมีปัญหาคนต่างชาติใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินีเพื่อแสวงหาประโยชน์อีกด้วย นอกจากนี้ มีความเสี่ยงผิดกฎหมาย กรณีหากมีผู้ใดฟ้องศาลให้ระงับเงื่อนไข ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนรายใหม่ได้รับความเสียหาย รัฐมนตรีคลังอาจเข้าข่ายประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง“ นายธีรชัยกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ออกหมายจับแล้ว! DSI บุกรวบตัวแม่ ไร้เงา 'สามารถ'
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวมารดาของนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช หลังออกหมายจับ
โค่นแชมป์เก่า! 'วาริน' คว้าชัย 'นายก อบจ.เมืองคอน' ทิ้งห่าง 'กนกพร'
ผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นครศรีธรรมราช อย่างเป็นทางการ ประกาศว่า นางสาววาริน ชิณวงศ์ ผู้สมัครหมายเลข 2 จากทีมนครเข้มแข็ง
'สุริยะใส' เขย่า 'แจกเงินหมื่น' หอกทิ่มแทง วัดใจจุดเปลี่ยนรัฐบาลแพทองธาร
“สุริยะใส” ชี้จุดสลบใหญ่เรื่องเศรษฐกิจ นโยบายเรือธงอย่างดิจิทัล แจกเงินหมื่นเป็นหอกทิ่มแทง วัดใจจุดเปลี่ยนของรัฐบาลแพทองธาร
'นิพนธ์' ซัดรัฐบาลแจกเงินหมื่น เฟส 2 หวังผลการเมือง ไม่ใช่กระตุ้นเศรษฐกิจ
นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย-อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และอดีตนายก อบจ. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟส 2 ของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีการแจกเงินสด 10,000 บาท ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ที่ลงทะเบียนในระบบและยืนยันตัวตนแล้ว รวมกว่า 4 ล้านคน
ป้า 67 ป่วยหลายโรค หาบเร่ขายของเลี้ยงชีพ หวังได้เงินหมื่น เฟส 2 หวั่นตกหล่น บัตรคนจนก็ไม่มี
บุรีรัมย์ ป้า 67 ป่วยความดัน มีก้อนเนื้อที่คอ แต่ต้องหาบเร่ขายของเลี้ยงชีพและลูกพิการ หวังได้เงินหมื่น เฟสสอง มาแบ่งเบา
รัฐบาลเคาะแจกเงินหมื่น เฟส 2 ให้คนอายุ 60 ปีขึ้นไป ก่อนวันตรุษจีนปี 68
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งที่ 1/2567 โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง