ครบองค์ประกอบ! เรืองไกรร้องผู้ตรวจการแผ่นดินส่งศาลปกครองตีตกดิจิทัลวอลเล็ต

'เรืองไกร' ขอผู้ตรวจการแผ่นดินส่งศาลปกครองวินิจฉัยล้มดิจิทัลวอลเล็ต เหตุเลือกปฏิบัติไม่เสมอภาคขัดรัฐธรรมนูญ

17 ก.ค.2567 - นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะผู้เสียภาษี เปิดเผยว่า ถึงเวลาอันควรร้องอีกแล้ว เนื่องจากมีการกระทำครบองค์ประกอบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กรณีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตมีวงเงิน 500,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลจะใช้เงินจาก 3 แหล่ง ขณะนี้ มีออกมาแล้ว 2 แหล่ง คือ งบกลางในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท และงบกลางในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม 2567 จำนวน 122,000 ล้านบาท

นายเรืองไกร กล่าวว่า ศาลปกครองสูงสุดเคยวินิจฉัยการไม่จ่ายเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มให้ สส. พรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไปก่อนที่พระราชกฤษฎีกาจะออกมานั้นเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม อันเป็นการขัดต่อหลักความเสมอภาค รายละเอียดหาดูได้ในคดีหมายเลขแดงที่ ฟร.4/2566 ซึ่งกรณีโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 500,000 ล้านบาท มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นผู้มีอายุเกิน 16 ปี ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน สัญชาติไทย มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาทนั้น จะแจกให้ประชาชน 50 ล้านคน นั้น จึงทำให้คนอีกกว่า 10 ล้านคนไม่ได้รับแจกเงินตามโครงการดังกล่าวด้วยนั้น กรณีจึงเข้าข่ายเป็นการกระทำของคณะรัฐมนตรีที่เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ขัดต่อหลักความเสมอภาค

“ผมรอให้คณะรัฐมนตรีกระทำการที่เข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว เห็นได้จากการเสนอจำนวนเงินของโครงการดังกล่าวไว้ในงบกลางของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท และตามมาด้วย การเสนอโครงการดังกล่าวไว้ในงบกลางของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม 2567 จำนวน 122,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองร่าง สส.กำลังพิจารณาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร”

นายเรืองไกร กล่าวว่า หากเทียบเคียงตามแนวคำพิพากษาของศาลปกครอง โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 500,000 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วนั้น จึงเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 ประกอบมาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 4 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง สรุปว่า การกระทำของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญดังกล่าว จึงร้องได้ 2 ทาง คือ 1. ร้องผู้ตรวจการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (2) และ 2. ร้อง ป.ป.ช. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ซึ่งขณะนี้ควรร้องไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อส่งให้ศาลปกครองวินิจฉัยก่อน ส่วนการร้องไปที่ ป.ป.ช. นั้น ควรรอให้ สส. ร่วมกระทำการก่อน แล้วค่อยร้องตามหลังก็ยังไม่สาย

นายเรืองไกร กล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้จึงส่งหนังสือทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (อีเอ็มเอส) ถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองและให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้าว่า มติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยจำกัดกลุ่มเป้าหมายประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นผู้มีอายุเกิน 16 ปี ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน สัญชาติไทย มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ที่มีเป้าหมายประมาณ 50 ล้านคน โดยไม่ได้ให้สิทธิประชาชนทั่วไปอื่นอีกกว่า 10 ล้านคน นั้น เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ขัดต่อหลักนิติธรรม ขัดต่อหลักความเสมอภาค และมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 27 ประกอบมาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 4 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง หรือไม่

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' ฟันธง 6 ศพเวียดนามไม่เกี่ยวเรื่องความมั่นคง!

นายกฯ ยันเหตุเวียดนามตาย 6 ศพ ไม่เกี่ยวก่อการร้ายหรือหละหลวมความปลอดภัย บอกรอตำรวจแถลงชัดเจน ขออย่าจับจุกเล็กๆไปต่อกันเอง หวั่นทำให้สับสน

'เกณิกา' ตีปี๊บฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดคืนสังคมกว่า 5 หมื่นราย

'เกณิกา' เผยข้อมูลติดตามผู้ป่วยบำบัดยาเสพติด ไม่เสพซ้ำกว่า 5 หมื่นคน ตามนโยบายรัฐบาลเศรษฐา 'ปราบปราม รักษา ฟื้นฟู ดูแล' ให้โอกาสผู้เสพคืนสู่สังคมอย่างมีคุณภาพ