'จุรินทร์' ชำแหละยิบ 'งบ 68' นักกู้ผ้าขาวม้า ซุกซ่อน 5 ประเด็นที่สุดของความขี้เหร่

“จุรินทร์” ทุบงบ 68 ทั้งขี้ฮก ขี้เหร่ โวตอนงบ 67จะทำคนไทยรวย 3 เท่าใน 4 ปี แต่ผ่านมา 7 เดือนรายได้ต่ำกว่าเป้า 3.9 แสนล้าน ขาดดุลมากสุดในประวัติศาสตร์ เปลี่ยนฉายา “นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ” พาครม.เหตุแค่ 2 ปี ซัดนายกฯตัวดีทำหุ้นดิ่ง จวกงบนิรโทษกรรมสารตั้งต้นพาประเทศแตกแยก บี้ตอบรวบ 3 คดีหลักรวมล้างผิดหรือไม่

19 มิ.ย.2567 - เวลา 11.35 น. นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตนเป็นห่วงต่อสภาพการเมือง เศรษฐกิจ ทั้งระดับมหภาคและภาคประชาชน และการไม่รักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐบาล ในปีงบประมาณ67 ตนเคยตั้งให้เป็น “งบเป็ดง่อย” เพราะรัฐบาลใช้เวลารื้องบของรัฐบาลชุดที่แล้วได้ทำไว้ทำให้ล่าช้าไป7 เดือนบวกกับประสิทธิภาพการใช้งบทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบ เฉพาะงบลงทุน8 เดือนแค่ 51 เปอร์เซนต์ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในปี67 โตต่ำกว่าเป้าที่กำหนดไว้ในพรบ. และเอกสารงบประมาณที่ว่าจะทำให้โต 5.4 เปอร์เซนต์ รวมเงินเฟ้อ 4 เปอร์เซนต์กว่า แต่ก็ยังไม่ถึงที่กำหนด ทุกสำนักประเมินตรงกันว่าอย่างดีได้แค่ 2.5 เปอร์เซนต์ แม้แต่รัฐมนตรีคลังก็ยังยอมรับว่าปีนี้โอกาสเศรษฐกิจจะโตแค่ 2.5 เปอร์เซนต์ แต่จะพยายามทำให้ได้ 3 เปอร์เซนต์ และ 2.5 เปอร์เซนต์ที่ว่าแม้จะรวมดิจิทัล วอลเลต เข้าไปจะทำให้โตแค่ 0.25 เปอร์เซนต์ โดยการประเมินจากสภาพัฒน์ ซึ่งหากทำจริงจะโตเต็มที่ แค่2.75 เปอร์เซนต์

นายจุรินทร์กล่าวว่า มาถึงงบปี 68 ถือเป็นฉบับที่สองของรัฐบาลชุดนี้ที่ทำเอง 100 เปอร์เซนต์ โดยไม่มีฐานรากมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่มีข้อน่าสังเกตคือใส่งบดิจิทัลวอลเลตในงบกลาง 1.5 แสนล้านบาท โดยงบ68 ตั้งเงินรวมไว้ 3.7 5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 7.8 เปอร์เซนต์ จากที่ตนดูภาพรวมทั้งขี้งฮก ขี้เหร่ เพราะนายกฯเคยให้สัญญากลางสภาตอนพิจารณางบ ปี 67 วาระ หนึ่งว่าต่อไปจะทำ4 เพิ่ม1 ลด คือเพิ่มรายได้ให้ประเทศ และจะลดการขาดดุลงบประมาณลงมา แต่เมื่อดูลึกลงไปในรายละเอียดงบ ปี 68 กลายเป็นละครคนละซีรี่ย์ เหมือนเห็นสภาเป็นศาลาโกหก

นายจุรินทร์กล่าวอีกว่าหากดูลึกลงไปยิ่งพบว่าอีกรายละเอียดไม่ได้งดงามอย่างที่นายกฯอภิปรายต่อสภา พบความขี้เหร่ซุกซ่อนอยู่มากมาก ยกตัวอย่าง5 ประเด็น คือ 1. รายได้สุทธิปีที่แล้วคิดเป็น 80.1 เปอร์เซ็นต์ ของงบประมาณทั้งหมด แต่ปีนี้เหลือแค่ 76.9 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวฟ้องว่าไม่ตรงกับที่นายกฯสัญญากับสภาไว้ โดยเฉพาะประสิทธิภาพการเก็บรายได้ของปีนี้ 7เดือนยังเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้า 3.9 แสนล้านบาท 2.การขาดดุลงบประมาณ นายกฯสัญญาจะลดการขาดดุลงบประมาณลงมาในปี68 แต่ปรากฏว่านอกจากไม่เท่าเดิมแล้วยังเพิ่มการขาดดุลมหาศาล เพราะงบ ปี 68 ขาดดุลมากกว่างงบปี 67ถึง 8.6 แสน ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.เปอร์เซนต์ คือ1ใน4 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด นายกฯอาจจะอ้างว่าต้องเอาไปทำดิจทัล วอลเลต แต่ใส่มาแค่ 1.5ล้านล้านบาท แต่นี่ขาดดุล 1.7ล้านล้านบาท ดังนั้นเอาไปลดก็ยังขาดดุลเพิ่มกว่าปีที่แล้วถึง 20,000 ล้านบาท

“ที่ขี้เหร่ที่สุดคือ ปรากฏว่างบปีนี้ขาดดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 4.42เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพีประเทศเกือบชนเพดานวินัยการเงินการคลังเหลืออีกแค่ 40 ล้านบาทเท่านั้นชนเพดานหัวแบะ แต่ที่ขี้”เหร่ของความขี้เหร่”คือภายใต้รัฐบาลนี้ถ้าอยู่ครบวาระ4ปี ยังจะคิดจัดงบประมาณขาดดุลต่อไปอีกตลอดอายุรัฐบาลนี้ส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นตลอด4ปี และจะเพิ่มขึ้นทุกปีโดยดูได้จากแผนการคลังระยะปานกลางปีงบ68ถึงปี 71 ฉบับทบทวนที่ ครม.เพิ่งมีมติอนุมัติไป2 เมษายน ตัวเลขชัดเจนคือ ปี 67 กำหนดหนี้สาธารณะจะเป็น 65.06 เปอร์เซ็นต์ ต่อจีดีพี ปี 68 เป็น 66.9เปอร์เซ็นต์ ปี 69 เป็น 67.53เปอร์เซ็นต์ ปี 70 เป็น 67.57 เปอร์เซ็นต์ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นภาระที่จะเกิดกับประเทศ”

นายจุรินทร์กล่าวว่า 3.เงินกู้2ปี โดยงบปี67-68 รัฐบาลต้องกู้มาชดเชยขาดดุลรวม 1.5 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมกู้มาแจกหรือดิจิทัลวอลเลต ใส่ลงไปในงบ 68 จำนวน1.5 แสนล้าน ดังนั้นยังต้องเหลือเงินไปกู้มาแจกเพิ่ม3.4แสนล้านบาท รวมแค่สองปีของรัฐบาลชุดนี้จะกู้เงิน 1.9ล้านล้านบาท หรือตัวเลขกลมๆ เกือบ2 ล้านล้านบาท

“ปีที่แล้วผมตั้งฉายานายกฯเป็น “นักกู้ถุงเท้าสีชมพู” ปีนี้เห็นทีจะต้องให้เป็น “นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ” คือยังกู้หนักเหมือนเดิมและกู้หนักกว่าเดิม แต่เวลาใช้หนี้จะเห็นว่า ปี 68 ก่อหนี้ 2ล้านล้านบาทแต่ตั้งงบใช้หนี้เงินต้นไว้แค่ 1.5 แสนล้านไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ของหนี้ที่ก่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงว่าจะพอกพูนเป็นภาระของประเทศในอนาคตตอนพ้นรัฐบาลนี้แล้ว “

4.การตั้งตัวเลขจีดีพีสูงเกินจริงเพราะงบ ปี 67 ตั้งจีดีพีไว้ 5.4เปอร์เซนต์ ตอนนี้สารภาพบาปแล้วจากเอกสารงบ ปี 68 ลดเหลือ 4.1เปอร์เซ็นต์ มีการเอาฐานที่สูงกว่าความจริงมาประเมิน ดังนั้นจีดีพี ปี 68 ที่บอกว่าจะได้ 4.9เปอร์เซ็นต์ มันก็เป็น “จีดีพีฟองสบู่ “ซึ่งตนเข้าใจว่าต้องการให้เจือสมกับสิ่งที่นายกฯพูดว่าจะทำจีดีพีโตปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ เลยใส่ไปแบบนี้ แต่ทุกสำนักเขาประเมินเหมือนกันว่าจะโตได้แค่ 3 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่สภาพัฒน์ฯซึ่งเป็นหน่วยงานทางการของรัฐบาลเองก็ตาม

5. เรื่องดิจิทัลวอลเลตจากรัฐบาล”เรือธง”วันนี้ กลายเป็นรัฐบาล “เรือเกลือ”ไปแล้ว ที่สัญญาว่าจะทำทันทีเวลาล่วงเลยมาเท่าไหร่ เมื่อพรรคการเมืองไปสัญญากับประชาชนไว้แล้วต้องมีความรับผิดชอบ ล่าสุดรัฐบาลแถลงเรื่องดิจิทัลวอลเลต3.ข้อ คือ 1.จะแจกแน่ในไตรมาส4 ปีนี้1 ต.ค. 67 เป็นต้นไป 2.เวลาแจกจะไม่แบ่งก้อน แต่จะแจกรวดเดียว 5 แสนล้านบาทแปลว่าถ้าไม่ได้เงิน 5 แสนล้านบาท ก็จะไม่แจกใช่หรือไม่

และ3.เงินที่จะเอามาจากงบปี 68จำนวน 1.5 แสนล้านบาท งบปี 67 ที่สภาอนุมัติไปแล้ว 1.7 แสนล้านบาท และจะไปเอาจากธกส.อีก 1.7 แสนล้านบาท รวม 3 ก้อน 5 แสนล้านบาท คำถามคือแปลว่าจนวันนี้รัฐบาลยังไม่มีเงินซักบาทเดียวถูกต้องหรือไม่? เพราะงบปี 68 ยังต้องรอผ่านสภางบปี 67 ยังไม่ได้ขอมาเลย เพราะต้องออกพ.ร.บ.รายจ่ายเพิ่มเติม ส่วนธกส.ก็ยังไม่ได้ยืมสักบาท และที่บอกว่าจะเอาจากงบปี 67 จำนวน 1.7 แสนล้านบาท เห็นว่าพ.ร.บของบปี 67 เพิ่มเติมที่จะเข้าสภาเดือนหน้าขอมาแค่ 1.2 แสนล้านบาท แปลว่ายังขาดอีก 5.3 หมื่นล้านบาทไปเอามาจากไหน มีคนนินทาว่าสุดท้ายคงไปเอามาจากงบฉุกเฉิน ปี 67 ที่ตั้งไว้ 9.9 หมื่นล้านบาท

“ที่พบพิรุธคือเบิกจ่ายงบฉุกเฉินปีนี้ต่ำมาก มีคนบอกว่าเบิกจริงแค่หลักพันล้าน แสดงว่าเป็นความตั้งใจยอมให้ใช้งบให้เหลือเงินฉุกเฉินเยอะๆ เพื่อเอาไปแปลงเป็นเงินดิจิตอลวอลเลต กู้มาแจกให้บรรลุวัตถุประสงค์ของพรรคการเมือง ถ้าทำแบบนี้จริงรัฐบาลนี้ใจดำมาก เพราะพยายามไม่ใช้เงินปี 67 ส่งผลให้จีดีพีในปี 67 ต่ำเตี้ยหนักเข้าไปอีก เพียงเพื่อให้เหลือเงินไปสนองพรรคการเมือง รัฐบาลต้องตระหนัก และหากทำจริง สิ่งที่ผมพูดไว้ก็ไม่ผิดเกินไป และถ้าเอามาได้จริงจะต้องออกกฎหมายอีกฉบับเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากงบปี 67 มาใช้เพื่อกู้มาแจก สุดท้ายต้องออกกฎหมายถึง 4 ฉบับ ไม่รวมงบจากธกส. แล้วมันจะไม่กลายเป็น”เรือเกลือ”ได้อย่างไร”

ส่วนเงินธกส.ที่จะเอามา 1.7 แสนล้านบาท นักเศรษฐศาสตร์ และ นักกฎหมายพากันยืนยันว่าเอามาแจกไม่ได้ เพราะมันหมิ่นเหม่ผิดกฎหมายเขามีไว้ดูแลเกษตรกรเท่านั้น จะเอาไปให้รัฐบาลกู้เวียงแหแบบ”เฮลิคอปเตอร์มันนี่”มันทำไม่ได้ ซึ่งวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้พิสูจน์ความจริงข้อนี้ว่า สุดท้ายทำได้หรือไม่ เพราะจนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ถามไปยังกฤษฎีกาว่าเงินที่จะไปเอาจากธกส.มานั้นใช้ได้หรือไม่

รัฐบาลมีเวลาไม่รู้กี่เดือนแล้วแต่ไม่ถามกลับเอางบปี 68 มาขอก่อน เหมือนเอาหน้ามาทำหลัง เอาหลังไปทำหน้าตั้งใจที่จะมาลักไก่กับสภาต่อหน้าประชาชน และถ้าสภาอนุมัติไปวันนี้ วันหลังไปถามกฤษฎีกาแล้วเขาบอกว่าใช้ไม่ได้จะทำอย่างไร ที่สภาอนุมัติก็เป็นหมันสุดท้ายกู้มาแจกไม่ได้ ตนจึงขอตำหนิรัฐบาลและบอกมาตลอดว่า สุดท้ายดิจิตอลวอลเลตอนาคตยังเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย

“สิ่งที่ที่ผมพูดมาทั้งหมดเพื่อแสดงให้เห็นว่างบปี 68 เป็นเหมือนงบเป็ดขี้เหร่ เพราะทั้งหลอกสภา ทำสัดส่วนรายได้สุทธิน้อยกว่าเดิม ทำงบขาดดุลมากสุดในประวัติศาสตร์ จะกู้มากขึ้นตลอดอายุรัฐบาล วาดฝันจีดีพีฟองสบู่ ลักไก่งบกู้เพื่อมาแจก”

นายจุรินทร์กล่าวว่า ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ รัฐบาล 2 ปีจะใช้งบประมาณ 6.738 ล้านล้านบาท แต่ผลงานไม่ประทับใจจอร์จเลย ผลสัมฤทธิ์ที่ปรากฏออกมาสวนทางกับตัวเลขที่ขอไป จากผลสำรวจโพลต่างๆเช่นนิด้าโพลที่สะท้อนความรู้สึกของประชาชนจากหลายเดือนที่ใช้เงินมหาศาล มีคนพอใจแค่ 32 เปอร์เซ็นต์ ไม่พอใจถึง 66 เปอร์เซ็นต์ ต่างกันเท่าตัว

รัฐบาลอ้างโพลสำนักงานสถิติแห่งชาติ แต่ตนอยากให้ดูคำถามสิ่งที่ประชาชนต้องการให้เร่งแก้ไขใน 3 ลำดับแรก สูงสุดคือปัญหาเรื่องค่าของชีพ ค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันตามลำดับ นายกฯเคยพูดในสภาตอนพิจารณางบปี 67 ว่าจะทำให้คนไทยรวยขึ้นสามเท่าใน 4 ปี ซึ่งจะทำได้หรือไม่อยู่ที่ 3 ปัจจัยหลักคือ รายได้ รายจ่าย และภาระหนี้สินของประชาชน

แต่เมื่อดูวาระแห่งชาติของรัฐบาลที่กำหนดไว้ตีปี๊บใหญ่โตเอาเข้าจริงมันไม่สัมฤทธิ์ผล หลายอย่างห่างเป้ามากเช่นหนี้นอกระบบ ที่นายกฯบอกว่ามี 5หมื่นล้านบาท จนถึงวันที่ 20 ก.พ. 67 ปิดรับลงทะเบียน สามารถลดหนี้ได้ 1.3 พันล้าบาท แค่ 2.4% ของมูลหนี้ทั้งหมด แล้วจะทำให้คนไทยรวยขึ้นได้อย่างไร แต่ตนขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ให้ทำต่อไปเพราะที่ผ่านมายังเหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตนอยู่

นายจุรินทร์ยังกล่าวว่ารัฐบาลชุดนี้ยังซ้ำเติมประชาชนในสิ่งที่เป็นนโยบายบาป ทั้งหวย 3 ตัว บ่อนบนดิน หรือคาสิโน หนักขึ้นไปอีกวันนี้มีทั้งหวยลอตเตอรี่ หวยเกษียณ เพิ่มมาอีกคือ หวยสามตัวหรือ หวยเอ็นสาม ประชาชนฝากมาบอกว่าจะตั้งฉายาเป็น “รัฐบาลสามหวย”แล้ว แต่ตนสนับสนุนหวยเกษียณเพราะเป็นการเพิ่มการออมของประชาชนและต่อยอดกองทุนการออมแห่งชาติ แต่หวยสามตัวหรือหวยบนดินตัวใหม่น่าเป็นห่วงว่าจะซ้ำเติมประชาชน เพราะมีรวยขึ้นไม่กี่คนที่เหลือจนลงหมดแล้วจะรวยขึ้น3เท่าใน4ปีได้อย่างไรขอให้ทบทวนด้วยหาทางเพิ่มรายได้ลดรายจ่ายประชาชนด้านอื่น

นายจุรินทร์ยังกล่าวถึงการเมืองว่าก่อนหน้านี้มีคนถามเรื่องหุ้นตก ตลาดหลักทรัพย์ดิ่งเหว นายกฯบอกเป็นภาคการเมืองในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ขอถามว่าแล้วใครเป็นคนทำให้การเมืองเกิดปัญหาคือ 1.การปรับครม. ใครเป็นคนปรับถ้าไม่ใช่นายกฯ มีการเปลี่ยนคนใช้งบประมาณปี 67 และงบปี 68 แค่ปรับแบบต่างตอบแทนหนึ่งมาเป็นต่างตอบแทนสองเท่านั้น สุดท้ายจึงติดลบมากกว่าติดบวก ปรับครม.ทันทีมีรัฐมนตรีลาออกถึง 3 คน จนนำไปสู่การส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งจะโทษ 40 ส.ว. ไม่ได้เพราะเขาทำหน้าที่ แต่เขาทำไม่ได้ถ้านายกฯไม่ปรับครม.แบบนี้ ทำให้เสถียรภาพของครม.ชุดนี้รัฐมนตรี 30 กว่าคนถูกเอาผ้าขาวม้าแขวนคอห้อยแต่งอยู่บนเพดานไม่รู้ว่าสุดท้ายจะรอดหรือจะร่วง จึงเป็นการเมืองที่เกิดจากรัฐบาลแล้วไปกระทบเศรษฐกิจและอื่นๆ

2.เรื่องนายกฯสองคนยังมีคุกคามตามหลอนด้อยค่านายกฯอยู่จนถึงวันนี้ และลามไปถึงการเมืองระหว่างประเทศที่กระทบมหาศาลกับไทย นายกฯเองก็ไม่กล้าทำอะไร ดังนั้นเรื่องนี้รัฐบาลต้องตระหนัก รัฐนาวาไทยวันนี้ถ้าเป็นรถยนต์ก็เหมือนกับรถที่มีหนึ่งพวงมาลัยสองคนขับ ที่หน้าหวาดเสียวที่สุดคือแม้จะนั่งเก้าอี้คนละตัว แต่ปรากฏว่าจับพวงมาลัยอันเดียวพร้อมกันสองคน น่าหวาดเสียวสำหรับคนไทยและประเทศไทยหรือไม่

นายจุรินทร์ยังกล่าวถึงเรื่องพ.ร.บ.นิรโทษกรรมว่าเป็นเรื่องปัจจุบันและกำลังจะเป็นอนาคต เพราะต้องใช้งบประมาณแผ่นดินถึงจะทำได้ ทั้งงบสภาและงบรัฐบาล ที่สำคัญจะมีผลกระทบมากต่อการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไทยในอนาคต เพราะพ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นสารตั้งต้นสำคัญตัวหนึ่งที่จะพาประเทศไปสู่ความปรองดอง หรือนำพาประเทศไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

ตนขอถามนายกฯหรือใครจะช่วยตอบก็ได้ในฐานะที่รัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภา คือ 1.รัฐบาลมีนโยบายจะเสนอหรือสนับสนุนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ 2.จะสนับสนุนการนิรโทษกรรมที่รวมคดีทุจริต คดีความผิดตามมาตรา 157และ คดีมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ เพราะมาถึงวันนี้บางคนในรัฐบาลเสียงเริ่มแตก ตนเป็นห่วงว่าหากมีพ.ร.บ.นี้จะเปลี่ยนจากนิรโทษกรรมเพื่อความปรองดอง ถูกเปลี่ยนพันธุกรรมไปเป็นนิรโทษกรรมอำพรางหรือไม่ เพราะอดีตเคยสอนมาแล้วจากนิรโทษกรรม”ครึ่งเข่ง”กลายเป็นนิรโทษกรรม “ยกเข่ง” และสุดท้ายบ้านเมืองเสียหายยับเยิน อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าตอนลงมติงบประมาณวาระหนึ่งคงผ่านสภาแน่นอน เพียงแต่วาระสามอาจต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘อภิสิทธิ์’ ปัดข่าวลือซุ่มตั้งพรรคใหม่ ย้ำหาก ‘ปชป.’ ยังเป็นแบบนี้ ไม่มีทางคัมแบ็ก

ขณะนี้ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด  ที่ก็ไม่แปลกเพราะขณะนี้หาพรรคการเมืองที่เราคิดว่าเราสนิทใจในการที่จะเป็นสมาชิกพรรคไม่ได้อยู่แล้ว

'อดีตแม่ยกปชป.' ฟันธงเลือกตั้งนายกอบจ.นครฯแค่เริ่มต้น เลือกตั้งใหญ่จะบาดเจ็บสาหัสกว่านี้

นางกาญจนี วัลยะเสวี หรือ ติ๊งต่าง เจ้าของฉายาไฮโซสปอร์ตคลับและแกนนำกลุ่ม ชาวไทยหัวใจรักสงบ อดีตแม่ยกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า

เด็ก ปชป.ซัดขาประจำวิจารณ์พรรคหัดคิดบวกอย่าทำตัวเป็นมลพิษไปวันๆ

'ศักดิ์สิทธิ์' เตือนขาประจำวิจารณ์ ปชป. เปิดใจ คิดบวกมองเรื่องสร้างสรรค์ อย่าเป็นตัวมลพิษทำลายสุขภาวะบ้านเมือง