'เศรษฐา' จ้อนักลงทุนสหรัฐ ลั่นไทยพร้อมเปิดรับการลงทุน

นายกฯ จ้อนักลงทุนสหรัฐ ลั่นไทยพร้อมเปิดรับการลงทุน ไม่มีเวลาไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว พร้อมโชว์วิสัยทัศน์ Ignite Thailand เชื่อมโยงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจสองประเทศไปอีกระดับ

31 พ.ค. 2567 – เมื่อเวลา 09.10 น. ที่ Mövenpick BDMS Wellness Resort กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม Thailand-U.S. Trade and Investment Conference 2024: “Building on a Longstanding Partnership” ซึ่งจัดโดยหอการค้าไทย หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (The American Chamber of Commerce – AMCHAM) และหอการค้าสหรัฐอเมริกา (the U.S. Chamber of Commerce – USCC) ณ กรุงวอชิงตัน

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณความเป็นหุ้นส่วนที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างกัน พร้อมขอบคุณคำแนะนำเชิงนโยบาย ที่ได้นำแนวคิด “Five to Thrive” ซึ่ง AMCHAM แนะนำมาพิจารณา และมีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาล

นายกฯ กล่าวว่า ข้อความที่ตั้งใจบอกไปยังนานาประเทศตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง ประเทศไทยเปิดพร้อมรับการลงทุน และไม่มีเวลาไหนดีไปกว่านี้ที่จะลงทุนในไทย “Thailand is open for business, and there is no better time to invest in Thailand” ความร่วมมือกับผู้ประกอบการทั่วโลกทำให้รัฐบาลมีความก้าวหน้าในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมถึงการสนับสนุนการทำธุรกิจ (ease-of-doing-business) ผ่านการทบทวนกฎหมาย เปลี่ยนสู่รัฐบาลดิจิทัล และกระบวนการที่ไร้รอยต่อ (streamlined processes) เช่น BOI ขยายเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (corporate income tax : CIT) ออกไปอีก 3- 5 ปี สำหรับ 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ได้แก่ อุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาค ในปี 2566 BOI ได้รับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่า 12.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อนถึง 47%

นายเศรษฐา กล่าวว่า แม้ว่าตัวเลขจะเป็นบวก แต่รัฐบาลยังต้องดำเนินการต่อเนื่องเพื่ออนาคตประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ Ignite Thailand วางแผนงานประเทศในการเป็นศูนย์กลางใน 8 ภาคส่วนหลัก การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ เกษตรกรรมและอาหาร การบิน โลจิสติกส์ ยานยนต์แห่งอนาคต เศรษฐกิจดิจิทัล และการเงิน

“ได้เคยกล่าวถึงวลี “Trade flies the flag” กับนักธุรกิจสหรัฐ ที่นิวยอร์ก สะท้อนความร่วมมือตั้งแต่วันแรกของสองประเทศได้เป็นอย่างดี ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีสนธิสัญญา the Treaty of Amity and Commerce กับสหรัฐฯ เมื่อปี 1833 และตลอด 2 ศตวรรษที่ผ่านมาการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกันแข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่องในทุกมิติของความร่วมมือทวิภาคีแทบไม่มีมิติไหนที่ไทยไม่ร่วมมือกับสหรัฐฯ และยังคงมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมกับสหรัฐฯ ทั้งระดับทวิภาคีและผ่าน IPEF เพื่อขยายความร่วมมือและการลงทุน และเพื่อจัดการกับความท้าทายสมัยใหม่เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน” นายกฯ ระบุ

ส่วนคำถามสำคัญคือบทต่อไปของความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐ จะเป็นอย่างไร ตนเห็นภาพความเชื่อมโยงกันมากขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มองไปสู่อนาคต สำหรับวิสัยทัศน์ Ignite Thailand เพื่อเชื่อมโยงกับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐ

1.โลจิสติกส์ ด้วยที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ของไทย รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางความเชื่อมโยงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไกลออกไป รัฐบาลกำลังดำเนินโครงการแลนด์บริดจ์และเมื่อรวมกับระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ใหม่ จะมีส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าและโลจิสติกส์จากมหาสมุทรแปซิฟิกไปยังมหาสมุทรอินเดีย และช่วยยกระดับการเชื่อมโยงการขนส่งทางบก และทางทะเล และเสนอโอกาสภายใต้ภูมิทัศน์ทางภูมิศาสตร์การเมืองใหม่

2.การบิน ไทยมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการบินทั้งผู้โดยสารและสินค้า รัฐบาลกำลังเร่งสร้างสนามบินใหม่ และพัฒนาสนามบินที่มีอยู่ทั่วประเทศ สนามบินในกรุงเทพมีการเพิ่มประสิทธิภาพครั้งใหญ่ สร้างอาคารผู้โดยสารฝั่งใต้แห่งใหม่ การขนส่งแบบ cold chain และการขนถ่ายสินค้าใหม่ และรันเวย์เพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความจุผู้โดยสารทั้งหมดจาก 60 ล้านคนเป็น 150 ล้านคน และมีแผนสร้างสนามบินนานาชาติล้านนา ในภาคเหนือ และสนามบินนานาชาติอันดามัน ภาคใต้ รวมถึงเพิ่มอาคารผู้โดยสารสำหรับอากาศยานทางทะเล (Sea Plane) เพื่อทางเลือกในการคมนาคม และในส่วนของการเปลี่ยนแปลงสีเขียว ไทยกำลังพัฒนาเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuels : SAF) โดยใช้วัตถุดิบที่มีผสมผสานกับองค์ความรู้ของสหรัฐจึงเสนอเชิญชวนนักธุรกิจสหรัฐ ให้ใช้ประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้

3.ดิจิทัล ด้วยอินเทอร์เน็ต 5G ที่ครอบคลุม โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง และประชากรที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค จึงขอเชิญสหรัฐฯ เข้ามาร่วมสนับสนุนในด้านต่างๆ อาทิ AI, Data Center ระบบนิเวศดิจิทัลอัจฉริยะ และโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจน พัฒนาทักษะแรงงานรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง

4.ยานยนต์แห่งอนาคต ความยั่งยืนยังคงเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล การเปลี่ยนผ่านสีเขียวเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ท้าทายที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รัฐบาลได้วางแผนงานที่ครอบคลุมเพื่อให้สามารถผลิตพลังงานหมุนเวียน 50% ภายในปี 2583 ไทยมุ่งหวังที่จะเป็นศูนย์กลางยานยนต์แห่งอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งระบบห่วงโซ่ของอุตสาหกรรม EV จึงขอเชิญชวนสหรัฐ ให้เข้ามาลงทุน และสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศ EV ที่ครอบคลุมและเทคโนโลยีการขับเคลื่อนแห่งอนาคต ประเทศไทยกำลังทำการสำรวจไฮโดรเจนสีเขียว ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี (battery storage solutions) เทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (carbon capture, utilization & storage: CCUS) และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูล (Small Modular Reactor : SMR) เพื่อช่วยให้การผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

5.การท่องเที่ยว การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนเป็นการลงทุนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ในอนาคตให้แข็งแกร่ง วิสัยทัศน์ Ignite Tourism Thailand 2025 จะยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก โดยรัฐบาลกำลังปรับปรุงระบบการขอวีซ่า เพื่อให้การเดินทางเข้าประเทศง่ายขึ้น เพิ่มความคล่องตัวให้กับทั้งนักท่องเที่ยว และนักเดินทางเพื่อธุรกิจ

นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยเปิดและพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เชื่อถือได้ของสหรัฐ บทใหม่ของความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐ ที่เชื่อมโยงถึงกัน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มองไปสู่อนาคต เป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าตื่นเต้น แต่ประเทศไทยพร้อม

ทั้งนี้วิสัยทัศน์สำหรับอนาคตประเทศของไทย สอดคล้องกับข้อแนะนำ “Five to Thrive” ตอนนี้ขอให้มาร่วมเปลี่ยนวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันนี้ไปสู่การปฏิบัติ ตนเชื่อในการสนับสนุนของทุกคนว่าจะช่วยยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-สหรัฐไปอีกระดับ รัฐบาลพร้อมรับฟังและทำงานร่วมกัน เช่นที่ตนเคยพูดเสมอว่าสิ่งใดควรทำ จะต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' อย่าสับสน! โพลวัดผลงาน ไม่ใช่เรตติ้งนายกฯ

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อย่าสับสน !!! ระหว่างผลงาน กับการเลือกนายกฯ คนต่อไป

โปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชฯ แก่ 'เศรษฐา ทวีสิน'

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประกาศราชกิจจานุเบกษา วันที่ 20 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยา