นายกฯ จ้อเวที UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 ย้ำไทยพร้อมเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ ชูนโยบายการคลัง กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ต พร้อมโชว์ 8 วิสัยทัศน์ขับเคลื่อนไทย
29 พ.ค.2567 - เวลา 10.45 น. (เวลาท้องถิ่นฮ่องกง) ณ ห้อง Grand Ballroom โรงแรม Four Seasons เขตบริหารพิเศษฮ่องกง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน UBS Asian Investment Conference (AIC) 2024 งานรวมตัวของภาคธุรกิจ นักลงทุนจากสถาบันการเงินทั่วโลก และบุคคลที่มีชื่อเสียงในภาคธุรกิจ มากกว่า 2,000 ราย รวมทั้งบริษัทในเอเชียแปซิฟิก 300 แห่ง ซึ่งได้มาหารือกันถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และการค้า การลงทุน ในภาคต่าง ๆ
นายกฯ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “Wisdom: An eye on the past, a view to the future” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ที่นำภูมิปัญญา หรือ Wisdom จากประสบการณ์ในอดีต มาเป็นแนวทางในการรับมือกับความท้าทาย และกำหนดอนาคตของประเทศไทย โดยความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัวของไทยที่มีมาตั้งแต่อดีตนี้ ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ไทยผ่านพ้นสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ซับซ้อน และสามารถคว้าโอกาสที่ช่วยประเทศให้เติบโตทางเศรษฐกิจได้ โอกาสนี้ นายกฯ ได้นำเสนอนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมถึงวิสัยทัศน์ต่ออนาคตของประเทศไทย
นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนของการกำหนดนโยบาย เป้าหมายของรัฐบาล คือ การสร้างนโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตด้วยการส่งเสริมนวัตกรรม ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืน โดยมีแนวทางในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางการคลัง การปฏิรูปกฎระเบียบ และการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในสาขาที่สำคัญ อาทิ ไทยปรับปรุงมาตรการด้านภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุนมากขึ้น และปรับปรุงกระบวนการในการดำเนินธุรกิจ ขจัดอุปสรรคด้านขั้นตอนเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมด้านธุรกิจและการเติบโตของผู้ประกอบการ รวมทั้งลดความซับซ้อนในการออกใบอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานต่างชาติ พัฒนาระบบ Super License สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ลดข้อจำกัดการนำเข้าและส่งออก และการส่งเสริมพลังงานสะอาด โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายทางการเงินการคลังที่สำคัญ คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยในไตรมาสแรกของปี 2567 ประเทศไทยมีการเติบโตของ GDP อยู่ที่ 1.5% และคาดการณ์ทั้งปีจะอยู่ที่ 2-3% รัฐบาลจึงมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงการเติบโตเศรษฐกิจของไทยให้สูงขึ้นผ่านการแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท (275 ดอลลาร์สหรัฐ)ให้คนไทย 50 ล้านคน ซึ่งจะช่วยอัดฉีดเงินกว่า 5 แสนล้านบาทเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย และจะสามารถกระตุ้น GDP ได้ 1.2 - 1.8% และด้วยกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้เงินจะลงไปถึงชุมชนท้องถิ่น ธุรกิจเล็ก ๆ ทำให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยในระยะยาว นโยบายดังกล่าวจะวางรากฐานระบบการชำระเงินแบบบล็อกเชนทั่วประเทศ พร้อมด้วยการรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด และการลงทุนจากต่างประเทศที่มากขึ้น
นายเศรษฐา กล่าวว่า ด้านนโยบายการค้า รัฐบาลจะตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับ Supply Chain ทั่วโลก โดยดำเนินการลดข้อจำกัดการนำเข้า-ส่งออก เร่งการเจรจา FTA กับเขตเศรษฐกิจสำคัญ ๆ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ประกาศว่า การเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป ที่มีความคืบหน้าและคาดว่าจะลงนามความตกลงได้ภายในปี 2568 ด้านการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลกำลังสร้างกลไกในการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบใหม่ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ควบคู่กับการส่งเสริมธุรกิจที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งยังปรับปรุง ease of doing business กฎระเบียบและการแปลงบริการภาครัฐให้เป็นดิจิทัล และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบิน และโครงการ Landbridge
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ด้านการพัฒนามนุษย์ รัฐบาลพร้อมเสริมสร้างบุคลากรให้มีความพร้อมสำหรับอนาคต ด้วยการส่งเสริมการศึกษา ทักษะ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่งเสริมการศึกษาในวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM) ให้กับเยาวชนตั้งแต่ยังเด็ก รวมถึงมีหลักสูตรในการปรับทักษะทางวิชาชีพสำหรับแรงงานที่มีอยู่ด้วย นอกจากนี้ รัฐบาลมีแผนที่จะดึงดูดผู้มีความสามารถจากต่างชาติ ด้วยการปรับปรุงการออกใบอนุญาตทำงานและกระบวนการขอวีซ่า และเสนอสิทธิประโยชน์ เพื่อเติมเต็มช่องว่างด้านแรงงานที่มีทักษะ
นายเศรษฐา กล่าวว่า ด้านการส่งเสริมความยั่งยืน ไทยให้ความสำคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม ผ่านการปรับปรุงเศรษฐกิจสีเขียว และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานไปสู่พลังงานสะอาด ในขณะที่เพิ่มความพยายามเป็นสองเท่าในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และ net-zero ภายในปี 2065 ซึ่งในปี 2040 ไทยจะกลายเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดชั้นนำในภูมิภาค โดย 50% ของไฟฟ้าทั้งหมดในประเทศไทยมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาดมาร่วมลงทุนในไทยมากขึ้น ซึ่งในปีนี้รัฐบาลมีแนวทางที่จะใช้เงินทุนจำนวนเกือบ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (3 หมื่นล้านบาท) ในตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน และเน้นย้ำถึงความยั่งยืนทางการเงินและการคลัง ซึ่งไทยยังคงรักษาระดับหนี้สาธารณะและการขาดดุลทางการคลังอยู่ในขอบเขตที่จัดการได้ และด้วยทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอ ไทยจะยังคงรักษาการเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไว้ได้
โอกาสนี้ นายกฯ ยังกล่าวถึงวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ทั้ง 8 วิสัยทัศน์ ซึ่งจะขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางที่ครอบคลุมทั้งด้าน 1.การบิน ซึ่งไทยจะอัพเกรดสนามบินที่มีอยู่และสร้างสนามบินเพิ่มเติม เพื่อให้บริการมากขึ้นและเป็นทางเลือกของการคมนาคม 2. การท่องเที่ยว ซึ่งปีหน้าจะเป็นปีสำคัญของการท่องเที่ยวไทย รัฐบาลอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อจัดกิจกรรมระดับโลกจัดที่ประเทศไทย อาทิ Art Basel และ Formula 1 3.การรักษาพยาบาลและสุขภาพ 4.การเกษตรและอาหาร 5.การขนส่ง 6.การผลิตยานยนต์แห่งอนาคต 7.เศรษฐกิจดิจิทัล และ 8.ศูนย์กลางทางการเงิน โดยนายกรัฐมนตรีประกาศว่า ต้องการทําให้ประเทศไทยเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ เป็นสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคของบริษัททางการเงิน ซึ่งเป็นด้านที่ไทยมีศักยภาพ ด้วยการสนับสนุนการลงทุนของรัฐบาล ประกอบกับศักยภาพของประเทศไทย ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าวิสัยทัศน์นี้อยู่ใกล้แค่เอื้อม
นายกฯ ยังเชิญชวนทุกคนร่วมการเดินทางในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาล บวกกับศักยภาพของประเทศไทยที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อนวัตกรรมและการเติบโต เชื่อมั่นว่า จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถสร้างอนาคตที่เจริญรุ่งเรือง ยั่งยืน และครอบคลุมร่วม เพื่อประโยชน์ และความสำเร็จร่วมกัน
ในช่วงท้าย นายกฯ ยังประกาศถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกคน เพื่อมุ่งให้บรรลุความสำเร็จร่วมกัน และเน้นย้ำความพร้อมสู่การเปิดประตูต้อนรับการลงทุนในประเทศไทยจากต่างชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ สั่งเกาะติด 7จังหวัดภาคใต้ที่เจอฝนถล่มหนัก
นายกฯ กำชับทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์พื้นที่เสี่ยงจากฝนตกหนักในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้
นายกฯ อิ๊งค์ฝากติดตามแถลง 12 ธ.ค.ผลงานรัฐบาล 90 วัน
นายกฯอิ๊งค์ ลั่นรัฐบาล มุ่งสร้างโอกาสจับต้องได้ให้ประชาชน ปากท้องอิ่ม ดึงศักยภาพคนไทย ลั่นปรับสมดุลการค้าสหรัฐ-จีน ย้ำ รบ.อยู่ครบเทอม ฝากติดตามแถลงผลงานรัฐบาล 12 ธ.ค.นี้
เปิดโปรแกรมทัวร์ 'ครม.สัญจรอิ๊งค์' นัดแรกที่เมืองเหนือ
เปิดโปรแกรม 'ครม.สัญจรอิ๊งค์' นัดแรก จัดที่แม่ริม เชียงใหม่ 29 พ.ย. ก่อนถก 'คลังสัญจร' เชียงราย ฟื้นฟูพื้นที่เศรษฐกิจ พร้อมพบประชาชน
'เทพไท' วิเคราะห์ชัดๆ 'ทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์' ใครคือนายกฯตัวจริง
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช
'ธนกร' ชี้หลัง 22 พ.ย.ประเทศก็ยังเดินหน้าต่อ!
'ธนกร' มองทุกคดีศาล รธน.ยึดตามหลักกฎหมาย เชื่อการเมืองหลัง 22 พ.ย.นี้ประเทศต้องเดินหน้าต่อ ขอทุกฝ่ายอย่าคาดเดาจนอาจก้าวล่วงอำนาจ ฝากรัฐบาลเร่งทำผลงาน
‘อิ๊งค์’ตีปี๊บผลงาน100วัน
“นายกฯ อิ๊งค์” ต่อสายยินดี “ทรัมป์” พร้อมชวนมาเมืองไทย นายกฯ