09 พ.ค.2567 – นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราชโพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “รัฐบาล : ฮั้วอำนาจ สัมปทานกระทรวง” ระบุว่า ผลของการปรับ ครม.มีแรงกระเพื่อม คลื่นใต้น้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นอาฟเตอร์ช็อกหลังจากการปรับ ครม.อย่างเห็นได้ชัดแล้ว 2 กรณี คือ
1.การลดตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ของนายปานปรีย์ มหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้เหลือเพียงตำแหน่งเดียว จนเกิดความไม่พอใจ จึงยื่นใบลาออกทันที หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ได้ไม่ถึง 2 ชั่วโมง ยังไม่ทันได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณด้วยซ้ำไป นับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสการเมืองไทยที่รัฐมนตรีลาออกเร็วที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นความไม่พอใจอย่างรุนแรง และเป็นการหักหน้านายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน
2.การยื่นใบลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ หลังจากการถวายสัตย์ปฏิญาณ และแบ่งงานในกระทรวงการคลังแล้ว ซึ่งเห็นว่ายังรักษามารยาทและรักษาหน้านายกรัฐมนตรีระดับหนึ่ง ไม่ว่ากระแสข่าวสาเหตุของการลาออก เกิดจากการแบ่งงานในกระทรวงการคลัง แบบไม่ให้เกียรติกัน สุ่มหัวกันแบ่งงานกรมหลักๆให้แก่รัฐมนตรีพรรคเดียวกัน ทำเหมือนนายกฤษฎา เป็นรัฐมนตรีข้าวนอกนา ให้มีการดูแลสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เทียเท่ากรมหลักเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้น
ถ้าหากพิจารณาการปรับ ครม.ในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามีความพยายามที่จะสัมปทานกระทรวงให้กับพรรคการเมืองอย่างเห็นได้ชัด เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งเป็นกระทรวงใหญ่มีกรมมากมาย ที่ผ่านมาเคยมีรัฐมนตรีมากถึง 4-5 คนด้วยซ้ำไป แต่ครั้งนี้กลับมีรัฐมนตรีเพียง 2 คน และอยู่ในสังกัดพรรคเดียวกัน สามารถแบ่งงานกันทำและบริหารงานกันอย่างสะดวกโยธินเช่นเดียวกันที่กระทรวงการคลัง มีความพยายามที่จะสัมปทานทั้งกระทรวงให้กับพรรคเพื่อไทย
แต่อาจจะเป็นเพราะกลุ่มทุนพลังงานของพรรครวมไทยสร้างชาติ มีคอนเน็คชั่นที่ดีกับผู้มีอำนาจของพรรคเพื่อไทย ได้เจรจาต่อรองให้นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ให้ยังคงอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังต่อไป จึงทำให้กระทรวงนี้มีรัฐมนตรีมากถึง 4 คน ทั้งที่ผ่านมามีรัฐมนตรีเพียง 2-3 คนเท่านั้น จึงใช้วิธีการแบ่งงานให้กรมหลักอยู่ในรัฐมนตรีสังกัดพรรคเพื่อไทยทั้งหมด และให้นายกฤษฎา ดูแลสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเท่านั้น
การแบ่งงานในลักษณะเช่นนี้ เหมือนเป็นการบีบทางอ้อม ไม่ให้เกียรติกัน จนนายกฤษฎา ต้องยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง แม้ว่านายเศรษฐาจะยับยั้งไม่ให้ลาออกก็ตาม แต่ทางการเมืองการแสดงเจตจำนงว่า ขอลาออกจากตำแหน่งแล้ว ย่อมมีผลในทันที ถ้าหากนายกฤษฎาเปลี่ยนใจไม่ลาออก ก็จะเสียหายทางการเมือง อาจจะถูกสังคมมีข้อครหาได้ว่า การยื่นใบลาออกเพื่อต่อรองทางการเมืองเท่านั้น
ต้องยอมรับความจริงว่าการเมืองยุคนี้ เป็นการเมืองที่ได้มาด้วยการซื้อเสียง เกือบทุกพรรคใช้เงินจำนวนมหาศาล ทำให้พรรคการเมืองทุกพรรคดิ้นรนเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อหวังถอนทุนคืนและเตรียมสะสมทุนเพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้ากันทั้งนั้น จึงเห็นปรากฏการณ์ฮั้วอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ตั้งแต่เริ่มจัดตั้งรัฐบาลระหว่างระบอบทักษิณกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม และจนที่สุดมีการสัมปทานกระทรวงให้พรรคการเมืองดูแลยกกระทรวงกันไป เมื่อผลประโยชน์ลงตัว การเมืองก็จะเดินไปราบรื่น หวังที่จะอยู่ครบเทอมกันทุกพรรค
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิด 5 ปัจจัย ทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ 5 ปัจจัย ทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ครบเทอม มีเนื้อหาดังนี้
'เทพไท' วิเคราะห์ชัดๆ 'ทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์' ใครคือนายกฯตัวจริง
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช
เทพไทชวนจับตา 'นักโทษนางฟ้า' เดินตามรอย 'นักโทษเทวดา'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช
'เทพไท' ชี้ 'ทักษิณ' ปราศรัยอุดรธานีแค่ใช้เวทีแก้ตัวและโปรโมตลูกสาว!
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช
'เทพไท' หนุน 'โรม' นำพ่อนายกฯ ขึ้นเขียง!
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหา
‘เทพไท’ ตอกหน้าลิ่วล้อทักษิณ เมื่อทำเลวเหมือนเดิม ไม่แปลกคนค้านเป็นพวกเดิม
เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ จำเป็นอยู่ดี คนที่ออกมาคัดค้านจะเป็นคนหน้าเดิมเป็นส่วนใหญ่ เมื่อคนพวกเดิมในระบอบทักษิณเข้ามาบริหารประเทศ