นักวิชาการชม 'บิ๊กทิน' แก้กฎหมายป้องกันรัฐประหาร ชี้เป็นสารตั้งต้นปรับภาพลักษณ์กองทัพ

นักวิชาการ มอง ‘สุทิน’ เป็นหน้าเป็นตาให้รัฐบาล ถ้าจะปรับออกถือว่าคิดพลาด ชี้แก้กฎหมายป้องกัน รปห. เป็นสารตั้งต้นปรับภาพลักษณ์กองทัพ เพิ่มความสง่างาม ทำได้เพราะผู้นำเหล่าทัพมีหัวสมัยใหม่

21 เม.ย. 2567 – ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นต่อกรณีที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสนอให้สภากลาโหม รับทราบร่างแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม และร่าง พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร ซึ่งได้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี มีคำสั่งให้พักราชการทันที เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ข้าราชการทหารผู้ใด ที่ใช้กำลัง ทหาร เพื่อยึดหรือควบคุม อำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาล หรือเพื่อก่อการกบฏ ว่า ตามหลักกฎหมาย ก็ต้องทำให้ผู้นำเหล่าทัพในอนาคตเกิดสำนึก และการเรียนรู้ว่ากระแสธาร การทำการเมืองให้เกิดความเข้มแข็ง กองทัพต้องเป็นส่วนหนึ่งในการจรรโลง และสร้างประชาธิปไตย

ดังนั้น ต่อให้ทำกฎหมายให้ดีแทบตายเพื่อยับยั้งการรัฐประหาร ถ้าเขาจะทำ ก็ยับยั้งเขาไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ยึดอำนาจเสร็จ เขาก็จะประกาศกฎอัยการศึก และฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมทันที ในทางกฎหมายจึงทำไม่ได้ แต่ในทางสังคมที่ก้าวไปไกลเข้าสู่ภาวะพลเมืองตื่นรู้ ทำให้ผู้นำเหล่าทัพหรือคนที่มีความเชื่อว่าการจะทำให้บ้านเมืองสงบสุขในภาวะวิกฤตจะต้องเลือกใช้บริการอำนาจพิเศษ หรือรัฐประหารแบบเดิม จะถูกสังคมปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงในอนาคต

“ผู้นำเหล่าทัพเองในอนาคตก็จะเรียนรู้ความเป็นทหารอาชีพมากขึ้น และยอมรับในบทบาทที่ตัวเองจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประชาธิปไตย” ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าว

ผศ.ดร.วันวิชิต ยังมองว่า ที่นายสุทินทำได้ เพราะอยู่ในยุคที่ผู้นำเหล่าทัพต่างมีความคิดเป็นหัวสมัยใหม่ อย่าง พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) คนปัจจุบัน ก็เป็นนักเรียนนายร้อยที่จบการศึกษาจากต่างประเทศ Virginia Military Institute ได้ถูกบ่มเพาะความเป็นทหารประชาธิปไตยมาด้วย และการมาสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง ส่วนตัวก็มองว่าจะเป็นภาพที่สวยงาม

“ไม่มีโอกาสไหนอีกแล้วที่จะทำให้เกิด commitment หรือการยอมรับร่วมกัน อย่างน้อยเป็นสารตั้งต้น และอนาคตอาจจะออกแบบกติกา ให้ควบคุมภาพลักษณ์ทหารเป็นทหารอาชีพมากขึ้น และจะส่งเสริมให้คนที่มาเป็นผู้นำเหล่าทัพมีความสง่างามมากขึ้น” ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าว

ส่วนการแก้กฎหมายดังกล่าวอาจนำไปสู่การกลั่นแกล้งกันหรือไม่ ผศ.ดร.วันวิชิต ชี้ว่า ในระบบชั้นความลับทางทหาร มีการตรวจสอบหลายขั้น การจะใส่ร้ายกันทางการเมืองไม่ง่ายอยู่แล้ว อย่าไปหวาดกังวลจนเกินไป ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไปทำร้าย ให้ทหารกระทบขวัญกำลังใจ ถ้าทหารที่มีประวัติการทำงานที่สะอาดโปร่งใส และเป็นทหารอาชีพจริงๆ อย่างไรเสียก็ต้องได้รับการสนับสนุน และได้รับการตอบแทนสมฐานะรูป ที่ตัวเองทำงานมา รับใช้ชาติมา

สำหรับกรณีที่พรรคฝ่ายค้านมองว่าเป็นแก้ปัญหาแค่บางองค์ประกอบ แต่ยังไปไม่ถึงแก่น ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าวว่า จะพูดอะไรก็วิจารณ์ได้ แต่รู้หรือไม่ว่า การจะขอความร่วมมือหรือโน้มน้าวให้กองทัพทำตามได้ มันยากมาก จะไปทุบโต๊ะชี้อะไรต่างๆ ไม่ง่าย อย่างน้อยเป็นสารตั้งต้น ค่อยเป็นค่อยไป ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ฝ่ายค้านที่มีความคิด มองไปข้างหน้า มองเรื่องระบบโครงสร้างก็ดีแล้ว แต่ต้องยอมรับในแง่ความจริงด้วยว่า ทำได้หรือไม่ อย่างน้อยเริ่ม 1 หรือ 2 ก่อน ไม่ใช่ว่าเริ่มทำแล้วจะได้ 10 เลย

ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าวด้วยว่า การแก้กฎหมายครั้งนี้จะเป็นการนำร่อง และถ้าเขายอมรับเอาด้วยไม่ดีกว่าหรือ ดีกว่าเขาต่อต้าน ถ้าสมมุติคุณเสนอมา 10 โครงการแล้วเขาไม่เอาสักอย่าง เพราะทำไปแล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง หรือกระทบโครงสร้างผลประโยชน์และอำนาจที่เขาคุ้นชินมาก่อน ย่อมมีแรงเสียดทานต่อต้านสูงแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าค่อยๆปรับ แล้วชี้ให้เห็นว่าปรับไปแล้ว ภาพลักษณ์ของกองทัพจะไม่ใช่คู่ขัดแย้งหรือศัตรู ให้ใครดึงไปเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ขณะที่ความเห็นของฝ่ายค้านวิจารณ์ว่า นายสุทินเป็นเพียงตรายาง เพราะสภากลาโหมมีอำนาจเหนือกว่า ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าวว่า เขาอาจจะพูดได้เพราะสภากลาโหมมีเรื่องของ 7 เสือ สัดส่วนที่มาจากฝ่ายการเมืองมีแค่รัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยเท่านั้น นอกนั้นเป็นผู้นำเหล่าทัพโดยตำแหน่ง ดังนั้น เวลาลงมติก็จะเป็นไปตามมารยาท เพื่อป้องกันการล้วงลูก แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องไปแก้ที่กฎหมายเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายพลเรือน ขณะเดียวกันฝ่ายพลเรือนเองก็ต้องเข้าใจกิจการทหารพอสมควร

“ผมมองว่า คุณสุทินเป็นหน้าเป็นตาให้กับรัฐบาลคุณเศรษฐา 1 ด้วยซ้ำ น่าเสียดายถ้าจะปรับคุณสุทินออก โดยที่เขาไม่ได้มีความผิดอะไร ถ้าให้เขาทำงานให้ครบสัก 1 ปี ก็จะเห็นตัวชี้วัดผลงานออกมามากมาย อย่างน้อยก็จะเกิดการพัฒนาทางการเมืองมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาคนที่มาดูแลกระทรวงกลาโหม หากเป็นพลเรือน ก็จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรี หรือต้องเป็นอดีตผู้นำเหล่าทัพหรือนายพลที่มีตำแหน่งสูง ไม่เคยมีนักการเมืองที่ไม่มีตำแหน่งอื่นควบมานั่งเลย” ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าว

ดังนั้น ถ้าคุณสุทินสามารถเป็นรัฐมนตรีไปได้ 1 ปี หรือมีผลงาน ก็จะเป็นแรงบันดาลใจให้นักการเมืองในอนาคต ที่ต้องการมาคุมบังเหียนกระทรวงกลาโหม เกิดความมั่นใจว่ากองทัพยอมรับ แต่น่าเสียดายว่าการปรับนายสุทินออก จะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของรัฐบาล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'บิ๊กทิน' ชง ครม. แก้ไขสัญญาจัดหา 'เรือดำน้ำ' แล้ว

พลเรือเอกชลธิศ นาวานุเคราะห์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดหาเรือดำน้ำ เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำจีนของกองทัพเรือ

'สุทิน' เผยทูตสหรัฐ เสนอขายเครื่องบินรบ เอฟ-16 พร้อมปล่อยกู้ ถ่ายทอดเทคโนโลยี

นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังทูตสหรัฐฯ เข้าพบ เพื่อสนับสนุนเครื่องบินเอฟ 16 พร้อมทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ว่า เขามาเสนอขายธรรมดา อยากให้เราช่วยพิจารณา

ไทม์ไลน์เคาะเครื่องบินรบ แง้มเส้นทางเรือดำน้ำเข้าครม.

เป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนที่กองทัพอากาศจะคัดเลือกแบบเครื่องบินรบฝูงใหม่ทดแทน เพื่อนำเข้าประจำการแทนเครื่องที่กำลังปลดประจำการ

‘บิ๊กทิน’ ยันการข่าวไม่ล้มเหลว แม้บึ้มไล่หลัง ‘ผบ.ทบ.’ สั่งคุมเข้มไฟใต้

โฆษกรมว.กลาโหม เผย บิ๊กทิน สั่งติดตามไฟใต้ใกล้ชิด เชื่อการข่าวไม่ล้มเหลว แม้บึ้มไล่หลัง ผบ.ทบ. สั่งดูแลผู้บาดเต็มที่ ย้ำหน่วยงานความมั่นคง เสริมจุดบอด

'เรือดำน้ำ' ส่อแววจบไม่ทันยุค 'บิ๊กดุง' หลังหลายฝ่ายกังวลข้อกฎหมาย

นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเรือดำน้ำ ที่ยังอยู่ระหว่างการดูข้อกฎหมายของนายกรัฐมนนตรี จะเสร็จทันนำเข้า ครม. ก่อนที่ ผบ.ทร. จะเกษียณฯ 30ก.ย.นี้ หรือไม่ ว่า พยายามจะทำให้เร็วที่สุด ไม่ได้กับยึดโยงกับเรื่องเกษียณฯ

'กลาโหม' เตรียมแก้กฎหมาย กำลังพลล้มละลาย ไม่ปลดออกจากราชการ

นายทิน คลังแสง รมว.กลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหมว่า ได้เน้นย้ำ หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและ ผบ.เหล่าทัพ เข้มงวดมาตรการการหักเงินเดือนพลทหารตามที่กำหนด พร้อมส่งจเรทหารลงพื้นที่หากพบว่าฝ่าฝืนจะมีการลงโทษโดยเด็ดขาด