ก้าวไกลข้องใจมาตรการอุ้มอสังหาฯ เพื่อคนไทยมีบ้านหรือช่วยพ่อค้าโล๊ะสต๊อก

'วรภพ' ตั้งคำถามมติ ครม. ลดค่าจดทะเบียนจำนองเหลือ 0.01% ขยายให้รวมถึงบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้าน เป็นมาตรการเพื่อคนไทยมีบ้าน หรือเพื่อช่วยบริษัทอสังหาโล๊ะสต็อกบ้านกันแน่

10 เม.ย. 2567 - นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ 5 ข้อ ว่า มี 2 ประเด็นใหญ่ ที่สะท้อนแนวนโยบายที่น่ากังวลไปจนถึงเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนของรัฐบาลเศรษฐา โดยข้อที่เห็นด้วยว่า เป็นประโยชน์และส่งเสริมให้คนไทยมีบ้านคือ โครงการสินเชื่อบ้าน ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อราย, โครงการบ้าน BOI ไม่เกิน 1.5 ล้านบาทต่อหลัง แต่มาตรการที่น่ากังวล คือการลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหาฯ จาก 2% เป็น 0.01% และค่าจดทะเบียนจำนอง จาก 1% เป็น 0.01% จากมาตรการเดิม ที่กำหนดให้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ปรับเป็นรวมไปถึงบ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท

นายวรภพกล่าวต่อว่า ประเด็นแรกคือ ที่มาของการทบทวนมาตรการลดค่าธรรมเนียมรอบนี้ รัฐบาลอ้างว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา และ ข้อมูลจากภาคอสังหาพบว่า บ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่เหลือขายมีจำนวนไม่มาก แต่บ้านราคา 3-7 ล้านบาท ที่ยังเหลือขาย มีจำนวนสูงถึง 46% หรืออีกในความหมายหนึ่ง บ้านค้างสต็อกของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ อยู่ที่ราคา 3-7 ล้านบาทต่อหลัง ไม่ใช่ที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อหลัง ซึ่งข้อมูลนี้มาจากการแถลงข่าวของรัฐบาลเอง

ตามมาตรการเดิม ที่กำหนดให้เฉพาะบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ยังพอเข้าใจได้ว่า วัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นนโยบายที่เอื้อให้ผู้ที่มีรายได้น้อย สามารถมีบ้านเป็นของตัวเองได้ง่ายขึ้น กลับกลายเป็นว่าในครั้งนี้วัตถุประสงค์หลักของการเปลี่ยนเงื่อนไข เอาผู้มีรายได้น้อยมาบังหน้า แต่เนื้อแท้กลับเอื้อให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีสต็อกบ้านเหลือ ขายไม่ออก สามารถเร่งขายบ้านออกได้ง่ายขึ้น!

ประเด็นที่สองคือ การลดค่าธรรมเนียมโอนอสังหากระทบงานบริการสาธารณะของท้องถิ่นโดยตรง เพราะค่าธรรมเนียมโอนเป็นแหล่งรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาล, อบต. และ กทม. ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้รายได้ท้องถิ่นลดลงไปถึง 23,822 ล้านบาท/ปี จากเดิมที่รายได้ท้องถิ่นมีน้อยนิดอยู่แล้ว รัฐบาลออกมาตรการนี้มาเป็นการซ้ำเติมเพราะกระทบรายได้ของท้องถิ่นโดยตรง แต่กลับไม่มาพร้อมกับการชดเชยรายได้ให้ท้องถิ่น สะท้อนแนวนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ที่ไม่ให้ความสำคัญกับท้องถิ่น ถ้าจะให้พูดตรงๆ วิธีคิดคล้ายกับรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างกับลอกมาใช้

นายวรภพ กล่าวอีกว่า แทนที่ท้องถิ่น จะมีรายได้มาพัฒนาสิ่งที่เป็นบริการอยู่ใกล้ตัวประชาชนมากที่สุด กลับถูกเอาไปให้รัฐบาลใช้เป็นเครื่องมือ เอาทรัพยากรที่รีดมาจากรายได้ของท้องถิ่นให้กลายไปเป็นรายได้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เอาเงินที่จะใช้เพื่อทำบริการสาธารณะไปช่วยโละสต็อกบ้านนายทุนอสังหาเสียอย่างนั้น สุดท้าย จะมีอะไรเหมาะเจาะไปกว่านี้ เพราะช่างเป็นเหตุบังเอิญที่ว่า นายกฯ ก็ดันเคยเป็นอดีตผู้บริหารและเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศไทย และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ก็จะกลายเป็นผู้ได้ประโยชน์จากมาตรการเช่นนี้ จึงขอตั้งคำถามตัวโตๆ กับมาตรการของรัฐบาลนี้ว่า เป็นมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ช่วยให้คนรายได้น้อยมีบ้าน หรือเพื่อกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ให้โละบ้านค้างสต็อกให้หมด

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่นทันที! นายกฯมาเอง ลงพื้นที่ห้วยขวาง สั่งสอบป้ายโฆษณาขายพาสปอร์ต

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่สน.ห้วยขวาง ติดตามสอบถามข้องเท็จถึงกรณีที่พบมีการติดแผ่นป้ายโฆษณาซื้อขายหนังสือเดินทางและพาสปอร์ตที่แยกห้วยขวาง พบว่ามีการขึ้นป้ายดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2567 เนื้อหาเป็นข้อความเกี่ยวกับการรับจ้างทำหนังสือเดินทาง

'เศรษฐา' อย่าสับสน! โพลวัดผลงาน ไม่ใช่เรตติ้งนายกฯ

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อย่าสับสน !!! ระหว่างผลงาน กับการเลือกนายกฯ คนต่อไป

'อนาคตไกล' รับซื้อ 'ปลาหมอคางดำ' 20 ตันเพื่อกำจัด อัด 'พิธา' ตรรกะวิบัติอ้างคนจะเพาะเลี้ยงมากขึ้น

“พรรคอนาคตไกล” บรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและชาวประมง รับซื้อปลาหมอคางดำ 20 ตันเพื่อกำจัด อัด "พิธา-ก้าวไกล ตรรกะวิบัติ" อ้างคนจะเพาะเลี้ยงมากขึ้น

โปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชฯ แก่ 'เศรษฐา ทวีสิน'

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประกาศราชกิจจานุเบกษา วันที่ 20 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยา