‘พิชัย’ ห่วงเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ หลังเงินเฟ้อติดลบ 5 เดือนซ้อนสวนทางโลก จี้ ธปท. หั่นดอกเบี้ยนโยบาย ลดช่วงห่างเงินกู้เงินฝาก ตามสภาพัฒน์แนะนำ
15 มี.ค. 2567 – นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์และการเมือง พรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์ยังคงติดลบที่ -0.77% เป็นการติดลบเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน สวนทางกับเงินเฟ้อในสหรัฐที่กลับเพิ่มขึ้นที่ 3.2% และ เงินเฟ้อในประเทศจีนก็กลับมาเป็นบวกแล้วที่ + 0.7% เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐอีกทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐที่ยังคงขยายตัวได้ดี จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐคงไม่ลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นตามที่คาดการณ์กัน แต่สถานการณ์เศรษฐกิจไทยกลับดูแย่ลง หลายสำนักเริ่มลดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้เหลือเพียง 2% กว่าเท่านั้น ซึ่งอาจจะแย่กว่านี้หากทุกหน่วยงานไม่เร่งร่วมมือช่วยกันแก้ไข
ในภาวะเศรษฐกิจที่ทำท่าจะแย่ลง และหนี้เสียมีแนวโน้มจะมากขึ้น จึงจำเป็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องเร่งลดดอกเบี้ยนโยบายลงและลดช่วงห่างดอกเบี้ยเงินกู้เงินฝากได้แล้ว เหมือนที่เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ฯ เสนอไว้ เพราะค่าเงินบาทยังแข็งค่าและเงินสำรองระหว่างประเทศของไทยก็ยังคงมีเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้การลดดอกเบี้ยนโยบายควรทำควบคู่ไปกับการลดช่วงห่างระหว่างเงินกู้เงินฝาก (NIM) ที่ประเทศไทยมีช่วงห่างสูงมากถึง 6% ในขณะที่ประเทศอื่นๆในอาเซียนอยู่ที่ 2-3% เท่านั้น ซึ่งจะช่วยลดภาระของประชาชนได้ และส่งสัญญาณให้เห็นว่า ธปท. กังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ
ทั้งนี้การลดดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งจะช่วยทำให้การส่งออกให้เพิ่มขึ้น อีกทั้งจะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งน่าจะตรงข้ามกับที่ ผู้ว่าการ ธปท. บอกว่าลดดอกเบี้ยจะไม่ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนมามากขึ้น และ ไม่ช่วยให้ส่งปิโตรเคมีไปจีนได้มากขึ้น ซึ่งไม่น่าจะจริง ไม่ทราบท่านผู้ว่าการ ธปท. ใช้หลักการอะไรพิจารณาถึงได้พูดแบบนั้น เพราะขนาดค่าเงินบาทไม่อ่อนเท่าไหร่นักท่องเที่ยวตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 10 มีนาคม ยังเข้ามาเที่ยวไทยมากถึง 7.4 ล้านคนแล้ว
นายพิชัย กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายก่อนจะทำให้ไทยมีค่าเงินอ่อนก่อนและได้เปรียบก่อน เพราะอย่างไรสหรัฐอเมริกาน่าจะลดดอกเบี้ยในกลางปีนี้ค่อนข้างแน่ ถ้าลดตามสหรัฐอาจจะไม่ได้เปรียบเพราะประเทศู่แข่งจะลดตามกันหมด อีกทั้งควรเร่งการลดช่วงห่างของดอกเบี้ยเงินกู้เงินฝากโดยการลดดอกเบี้ย MRR, MLR และ MOR ( ดอกเบี้ย MRR คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี, ดอกเบี้ย MLR คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทมีกำหนดระยะเวลา ที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี, ดอกเบี้ย MOR คือ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี) ซึ่งธนาคารพาณิชย์สามารถทำได้ทันทีและยังสามารถประเมินความเสี่ยงใหม่ในแต่ละธุรกิจได้ด้วย และ ธปท. ควรต้องออกมาตรการให้ธนาคารพาณิชย์เร่งดำเนินการในเรื่องนี้
“ในภาพรวมที่ท่านผู้ว่า ธปท. อ้างถึง ก็อยากให้เห็นภาพรวมที่เงินเฟ้อติดลบมา 5 เดือนซ้อน เศรษฐกิจไทยขาข้างหนึ่งอยู่ในภาวะถดถอยแล้ว จากจีดีพีไตรมาส 4 ปี 66 ที่ลดลงจากไตรมาส 3 ซึ่งต้องจับตาดูจีดีพีในไตรมาส 1 ปีนี้ โดยหวังว่าจะไม่ต่ำกว่าจีดีพีในไตรมาส 4 โดยรัฐบาลได้พยายามเต็มที่เพื่อไม่ให้ติดลบ ทั้ง ฃการส่งออกในเดือนมกราคมที่เพิ่มขึ้นถึง 10% และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเป็น 7.4 ล้านคนตามที่บอกไว้ ก็หวังว่าจะช่วยจีดีพีไตรมาส 1 ให้ไม่ติดลบ แม้การใช้งบประมาณยังใช้ไม่ได้เพราะยังไม่ผ่านสภา แต่ปัญหาหนี้ ทั้งหนี้ภาครัฐ และหนี้ภาคครัวเรือน และหนี้เสียยังคงเป็นปัญหาอย่างมาก การลดดอกเบี้ยจะช่วยได้มาก” นายพิชัย ระบุ
ในภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังคงไม่ดีนัก เศรษฐกิจสหรัฐแม้จะยังดี แต่มีแนวโน้มที่จะไม่ดีนัก เศรษฐกิจจีนยังไม่ฟื้นไข้ดีจากปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจยุโรปยังคงย่ำแย่ขนาดประเทศเยอรมันที่แข็งแกร่งยังเข้าสู่ภาวะถดถอยพร้อมกับประเทศอังกฤษ และ ประเทศญี่ปุ่นก็ยังเพิ่งหลุดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยออกมาได้ ซึ่งความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกประกอบกับปัญหาความขัดแย้งในหลายพื้นที่ทำให้ราคาบิตคอยน์และราคาทองคำเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยผมได้แนะนำผ่านสื่อให้ลงทุนในบิตคอยน์และทองคำในกลางเดือนมกราคม ขณะนั้นราคาบิตคอยน์อยู่ที่ 40,000 ดอลล่าร์ ปัจจุบันประมาณ 2 เดือนผ่านมา ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุ 70,000 ดอลลาร์ และ ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นทำลายสถิตินิวไฮแทบทุกวัน ทั้งนี้ในขณะที่ราคาพุ่งขึ้นสูงมากแล้ว ขอแนะนำว่าต้องใช้วิจารณญาณในการลงทุนและต้องติดตามข่าวสารตลอดเวลา โดยราคาทองคำน่าจะผันผวนน้อยกว่าราคาบิตคอยน์
ที่ปรึกษานายกฯ กล่าวว่า ในความผันผวนของโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จึงอยากเรียกร้องให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันสนับสนุนรัฐบาลให้สามารถแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจไทยให้กลับมาขยายตัวได้มากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนที่กำลังลำบากกันอย่างมาก และลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนลง อีกทั้งสนับสนุนโครงการใหญ่ๆ ของรัฐบาลให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพื่อเพิ่มโอกาสของประชาชน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ 'เวียดนาม' แล้ว 'ไทยจะทำอย่างไร'
นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า ทำไม Nvidia บริษัท AI ระดับโลก ไปลงทุนที่ "เวียดนาม" แล้ว "ไทยจะทำอย่างไร" เมื่อ "เวียดนาม" ขึ้นแท่น "ผู้นำเศรษฐกิจอาเซียน"
หอมกลิ่นความเจริญ! 'ทักษิณ' ประกาศปั้น GDP ประเทศไทยให้ถึง 4-5 %
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายพิเศษหัวข้อ อนาคตอีสาน โอกาสประเทศไทย ในงานสัมมนา ISAN NEXT : พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ร่วมกับเครือมติชน
'สุดารัตน์' ถามนายกฯ เตรียมรับมือเศรษฐกิจปีหน้าหรือยัง ชี้แจกเงินหมื่นไม่ตอบโจทย์
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงเศรษฐกิจประเทศไทยภายใต้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยมีปัญหาอยู่แล้ว คือหนี้ภาคครัวเรือนที่มีสูงถึง 92%