'ทนายเชาว์' ไล่ 'พิชิต' กลับไปอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ระบุชัด นำเงินใส่ถุงขนม 2 ล้านให้เจ้าหน้าที่ศาลทำสถาบันศาลเสื่อมเสีย ชี้คุณสมบัติสส. กับรัฐมตรี ใช้ต่างมาตรากัน เป็น สส. ได้ แต่เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ เหตุ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตาม รธน. 160 ไม่แปลกใจ อัยการไม่สั่งฟ้องแบบประหลาดยุค 'ชัยเกษม' เป็น อสส.
30 ส.ค.2566 - นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ Facebook Chao Meekhuad เรื่อง แนะนำนายพิชิต ทนายถุงขนม 2 ล้าน อ่านคำวินิจฉัยศาลฎีกาอีกครั้ง มีเนื้อหาดังนี้
หลังจากถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณสมบัติของนายพิชิต ชื่นบาน ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า เคยถูกศาลฎีกาลงโทษจำคุก 6 เดือน ข้อหาละเมิดอำนาจศาล ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายพิชิต ชื่นบาน ได้ชี้แจงยืนยันว่า ตนไม่เป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากฐานละเมิดอำนาจศาลไม่เป็นความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 แต่โทษจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นเพียงมาตรการทางแพ่ง เพื่อให้ศาลมีอำนาจและหน้าที่ควบคุม ดูแล ให้การดำเนินกระบวนการพิจารณาของศาลเป็นไปโดยเที่ยงธรรม รวดเร็ว และ รักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาลเท่านั้น และยืนยันว่าตนไม่เคยมีเรื่องสินบน ไม่มีเรื่องทุจริต” ตนไม่ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจาก เคยเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในปี 54-56 แถมในปี 62 ยังเป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ อีกด้วย ตนไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม ไม่เคยต้องคำพิพากษาในคดีความอาญา ในความผิดฐานให้สินบนเจ้าหน้าที่หรือศาล คดีที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในปี 2552 ว่า “ร่วมกันใช้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ” แต่พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 มีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาดไปแล้ว
ผมไม่เถียงนายพิชิตว่าความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลที่ศาลฎีกาลงโทษจำคุก 6 เดือนนั้นเป็นความผิดอาญา แต่ที่นายพิชิตบอกว่าตนไม่ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจาก เคยเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในปี 54-56 แถมในปี 62 ยังเป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติอีกด้วยนั้น อันนี้ไม่ถูกต้องเพราะการเป็น สส. กับการเป็นรัฐมตรี รัฐธรรมนูญได้วางคุณสมบัติไว้คนละมาตราต่างกัน นายพิชิต อาจจะเป็น สส. ได้ตามมาตรา 98 แต่เป็นรัฐมนตรีไม่ได้ตามมาตรา 160 (4),(5) ฉบับปัจจุบันที่ได้วางเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตและมาตราฐานทางจริยธรรมของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีไว้สูงกว่าครับ
ผมจึงแนะนำให้นายพิชัยไปอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4599/2551 ที่ตนเองเป็นผู้ถูกกล่าวหาโดยละเอียดอีกครั้ง ก็จะทราบข้อเท็จจริงกล่าวสรุปโดยย่อว่า 1 . “กรณีสืบเนื่องมาจากนายอนันต์ วงษ์ประภารัตน์ เลขานุการศาลฎีกา ได้ทำบันทึกลงวันที่ 10 มิถุยายน 2551 รายงานต่อนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกาว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 เวลาประมาณ 9.30 นาฬิกา พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร จะมารายงานตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายอนันต์ ไปตรวจดูความเรียบร้อยที่แผนกดังกล่าว เมื่อนายอนันต์ เข้าไปในห้องเจ้าหน้าที่ ได้มีเจ้าหน้าที่ถือถุงกระดาษ ซึ่งมีสกอตเทปปิดไว้มิดชิด มาถามว่า ทนายความของ พันตำรวจโททักษิณให้มา จะรับไว้ได้หรือไม่ นายอนันต์ จึงสั่งให้เปิดถุงกระดาษออกดูที่โต๊ะของนางพรทิพย์ ศรีนวล หัวหน้าแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา พบว่าเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 2 ตั้ง ดูคร่าวๆเห็นตั้งละ 10 มัด จำนวนเงินทั้งหมดน่าจะประมาณ 2,000,000 บาท นายอนันต์ จึงสั่งให้คืนแก่เจ้าของไป
จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า ก่อนที่ พันตำรวจโททักษิณ จะเดินทางมาถึงแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา มีคณะทนายความของพันตำรวจโททักษิณ มาเตรียมคดี และเสมียนทนายได้มาพบ หม่อมหลวงฐิติพงศ์ ชมพูนท เจ้าหน้าที่ในแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทงการเมืองในศาลฎีกา แจ้งว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายความต้องการพบ เมื่อ หม่อมหลวงฐิติพงษ์ ไปพบ ได้มีนายธนา ตันศิริ ซึ่งเป็นผู้ติดตามคณะทนายความ ส่งถุงกระดาษให้และพูดว่า เจ้าหน้าที่เหนื่อย จึงซื้อของมาฝากให้ไปแบ่งกัน” 2. ศาลฎีกาได้วินิจฉัยความผิดของนายพิชิต ว่า “ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามมีเจตนาที่จูงใจให้หม่อมหลวงธิติพงศ์ และเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลย ในคดีหมายเลขดำที อม. 1/2550 “….”ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายย่อมตระหนักดีว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรมและจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือและความศรัทธาในการปฎิบัติหน้าที่ของบุคลากรในอำนาจตุลาการจึงเห็นสมควรลงโทษในสถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไปให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน”
ในขณะที่รัฐธรรมนูญมาตรา 160 กำหนดว่ารัฐมนตรีต้อง (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ผมจึงขอตั้งคำถามว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ยกมานี้ ยังไม่ชัดในมโนสำนึกอีกหรือครับว่า พฤติกรรมที่นายพิชิตกับพวก นำเงินใส่ถุงขนมจำนวนมากถึง 2 ล้านบาทให้กับเจ้าหน้าที่ศาล โดยมีเจตนาที่จูงใจให้หม่อมหลวงธิติพงศ์ และเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ ทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันศาลยุติธรรมและจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือและความศรัทธาในการปฎิบัติหน้าที่ของบุคลากรในอำนาจตุลาการ ถูกศาลฎีกาลงโทษในสถานหนักจำคุก 6 เดือน เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง เป็นความประพฤติที่ไม่สุจริตและผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามข้อกำหนดในมาตรา 160 (4),(5) ของรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่นายพิชิตอ้างว่า คดีที่ตนถูกแจ้งข้อกล่าวหาในปี 2552 ว่า “ร่วมกันใช้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ” แต่พนักงานสอบสวน (ตำรวจ) สน.ชนะสงคราม มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 มีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาดไปแล้ว นั้น ผมทราบจากคำแถลงของนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ในขณะนั้น โดยสรุปที่สำคัญว่า 1. ข้อเท็จจริงคดีไม่พบว่าทนายความที่ถือถุงใส่เงินมาให้ มีวัตถุประสงค์จะให้เงิน 2 ล้านบาท แต่ได้ความเพียงว่ามีเจตนาจะให้ ขนม ไม่ใช่แสดงตัวมาแต่แรกว่าจะให้เงิน จึงขาดสาระสำคัญความเป็น “ผู้ใด” เป็นผู้ให้สินบน 2. เงินของกลาง 2 ล้านบาทเป็นเรื่องสำคัญ แต่กลับไม่มีเงินของกลางในสำนวน และยังไม่ได้ข้อเท็จจริงว่าจะให้เงิน 2 ล้านบาทไปเพื่ออะไร และเมื่อมีการคืนเงินของกลางไปทำให้คดีขาดหลักฐานสำคัญ จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ซึ่งฟังดูก็ตลกสิ้นดี แต่ผมไม่แปลกใจหรอกครับ เพราะคำสั่งประหลาดๆแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะช่่วงเวลานั้นอัยการสูงสุดคือนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีลำดับสามของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ยาว! ศาลรธน.นัดอีก 10 กรกฎา พิจารณาคดี 40 สว.ยื่นถอดเศรษฐา
ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการพิจารณาคำร้องกรณีสมาชิกวุฒนิสภา (สว.) 40 คน ในฐานะผู้ร้อง และนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 กรณีมีได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้
หนาวแน่! ‘เรืองไกร’ ร้องศาล รธน. สอบ ‘พิธา’ เข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลหรือไม่
ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรณีโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2567 และวันต่อมา ว่าเข้าข่ายฐานเป็นผู้ใดที่กระทำการฝ่าฝืนคำสั่งศาล
'เศรษฐา' เผยส่งพยานเพิ่ม 1 คน คดีตั้งพิชิตนั่งรมต. ลั่นไม่คิดลาออก-ยุบสภา
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการหารือกับทีมที่ปรึกษากฎหมาย เพื่อเตรียมข้อมูลเพิ่มเติมส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญในคดี 40 สว.ร้องให้ตรวจสอบอำนาจการแต่งตั้ง
รับปรึกษาวิษณุสู้คดี ‘เศรษฐา’แบะท่าไม่มีกั๊ก สหายอ้วนชูคนดีคนเก่ง!
นายกฯ รับปรึกษา “วิษณุ” ทำคำชี้แจงต่อศาล รธน.ปมตั้ง “พิชิต” เผยอยู่ระหว่างปรับแก้ แต่อุบรายละเอียด
'ดิเรกฤทธิ์' ฟันธงความผิด 'เศรษฐา' สำเร็จแล้ว ยอดนักกฎหมายก็ช่วยไม่ได้
นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ในฐานะหนึ่งใน กลุ่ม 40 สว. ยื่นรายชื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
'วัชระ' บี้ ป.ป.ช. เร่งไต่สวน 'เศรษฐา' ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง
นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ เดือนทางไปยืนหนังสือถึง นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.