
16 ก.ค.2566-นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า #นิติสงครามนิตินิยาย #กลยุทธด้อยค่าสว #ปิดล้อมบังคับทางโหวตพิธา ชัดเจนครับว่าพรรคก้าวไกลย่อมรู้ได้ว่า การจุดพลุปิดสวิสซ์สว.เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา272 ช่วงปลายสมัยวุฒิสภาและใกล้หมดอายุบทเฉพาะกาล ทำไม่ได้ ทำไม่ทัน แต่จะทำ
ถือเป็นการเดินยุทธศาสตร์ตอกย้ำด้อยค่าสว. ปิดล้อมบังคับทางให้สมาชิกวุฒิสภาโหวตเลือกพิธา ทั้ง’ปิดสวิตช์สว.’ และบังคับ’ขอเสียงสว.’ ในคราเดียวกัน? ทั้งๆที่สว มิใช่คู่กรณีทางการเมือง หากแต่พรรคการเมืองก้าวไกลและเพื่อไทย ต่างหาเหตุแยกทางโดยใช้สว. เป็นเหยื่อแพะรับบาปแทนเท่านั้น
หากพิจารณาให้ถ้วนถี่จะพบว่า การแก้รัฐธรรมนูญ272 ตามกระบวนการในมาตรา256 มีขั้นตอนต้องใช้เวลานานมากกว่าการโหวตเลือกนายกฯที่กำลังจะเสร็จสิ้นในเวลาอันใกล้นี้แล้ว เพราะขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา272นั้น 1)ต้องได้เสียงข้างมากของรัฐสภา มากกว่า 376 เสียง *อาจจะได้เสียงสนับสนุนจากสส.ไม่มากเพียงพอ เพราะการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามบทเฉพาะกาลนี้ สส.พรรคการเมืองอื่น ยังมีหวัง ที่จะได้เสียงสนับสนุนจากสว ช่วยโหวต ให้ความเห็นชอบในการเลือกพวกเขาอยู่ รวมถึงนายพิธาและพรรคก้าวไกล เองด้วย
2)ต้องได้รับความเห็นชอบจาก สว. 1 ใน 3 (สว.84คน) *มีความพยายามแก้ไขที่ไม่ผ่านมาแล้ว6ครั้ง คะแนนโหวตจากสวลดลงเรื่อยๆทุกครั้งจากที่สว เคยเห็นด้วย56 ลดลงเหลือแค่3คน การแก้ไขครั้งนี้ก็น่าจะไม่มีคะแนนเห็นชอบให้ผ่านเช่นกัน เหตุว่า หมดความจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา272 ตามบทเฉพาะกาลที่จะหมดเวลาไม่นานนี้ ขณะที่สส ชุดใหม่เพิ่งรับเลือกตั้งยังมีวาระ4ปี ดังนั้นถ้ากระบวนเลือกนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่แล้วเสร็จ ไม่มีเหตุให้สว มาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี อีก
3)ต้องอาศัยเสียงเห็นชอบวาระ3จาก ส.ส.ฝ่ายค้านอย่างน้อย ร้อยละ 20 *เวลานี้ยังไม่มี สส.ฝ่ายค้าน จึงเห็นชัดเจนว่าการแก้ไขเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญมาตรา272 ตามบทเฉพาะกาลนี้มาจากการออกเสียงประชามติในคำถามพ่วง 15.12ล้านเสียง การแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวทำได้ แต่อาจมีผู้เห็นต่างว่า ขัดแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เคยให้คำแนะนำในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในคดีที่เกิดขึ้นมาก่อนนี้ ว่า องค์อำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญคือประชาชนที่ลงประชามติ หากจะแก้ไข
จึงต้องถามประชามติจากประชาชนเสียก่อน นำไปสู่การยื่นตีความว่า การกระทำมิชอบ
การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา272 ของพรรคก้าวไกลครั้งนี้ จึงไม่ได้ประสงค์ผลสำเร็จการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่มีเป้าหมายลับลวงพราง แฝงเร้น เป้าหมายเพื่อปิดล้อมกดดัน สมาชิกวุฒิสภา บังคับทางเพื่อให้โหวตเสียงให้นายพิธา เป็นนายก
พร้อมด้อยค่าว่า สว เป็นปัญหาขัดขวางเท่านั้น
นอกจากนั้นการดำเนินการโหวตญัตติเสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกอีกครั้ง ในวันที่19กค ยังมีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่าขัดกฎหมาย เพราะถือเป็นญัตติซ้ำที่เคยพิจารณาตกไปแล้ว ตามข้อบังคับรัฐสภาข้อ41 *จึงไม่อาจเสนอญัตติดังกล่าวซ้ำได้อีกในสมัยประชุมนี้ ดังนั้นการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา272พร้อมประกาศส่งสารล่าสุด ไปทุกแพลตฟอร์มโซเชียลให้ มวลชน#ด้อมส้ม ร่วมกดดัน ส.ว. ในทุกวิถีทาง ทุกวิธีการ เพื่อให้ บีบ ส.ว. ชู “พิธา” เป็นนายกฯให้ได้ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ นับเป็นการรุกทางยุทธวิธีของก้าวไกล หวังผลทางยุทธศาสตร์ตอกย้ำด้อยค่า สว. หวังบังคับทางให้โหวตให้ตนพร้อมจะให้ ส.ว.ยกมือ
“ปิดสวิตช์ตัวเอง บังคับโหวต” ไปในคราเดียวกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ฮั้ว สว.' ไหนเลยจะสู้ 'ฮั้ว 2 สี' คดีฟอกเงินแค่ตัวประกันการเมือง
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ฮั้ว สว. หรือจะสู้ ฮั้ว 2 สี
กกต. ยกคำพิพากษา แจงปม 'โพยเลือก สว.' ยันชัดกฎหมายไม่ห้าม-ไม่ละเว้นหน้าที่
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารข่าวเผยแพร่เนื้อหาของคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำพิพากษา
ลุ้นมติรับ-ไม่รับ! 'บอร์ดดีเอสไอ' ชี้ชะตาฮั้วเลือก สว. กรรมการขาดประชุม 3 ราย
ลุ้นผล ! บอร์ดคดีพิเศษเริ่มประชุมคดีฮั้ว สว.67 หลังเลื่อนโหวตรับคดีพิเศษมา 1 สัปดาห์ คาดกรรมการถกเข้มกรณีฐานความผิดอาญา “อั้งยี่-ม.116-ฟอกเงิน-พ.ร.ป.สว.“ ลุ้นกรรมการบอร์ดรับเป็นคดีพิเศษด้วยมติเอกฉันท์ 19
บุกสภาบี้สอบจริยธรรมร้ายแรง 'สว.สีน้ำเงิน' เหตุขัดขวางดีเอสไอ
'สว.สำรอง' รวมพลบุกสภา ยื่นสอบจริยธรรม 'กลุ่มสีน้ำเงิน' ฉะยื่น ป.ป.ช. สอบดีเอสไอ ขัดขวางการทำงานเจ้าหน้าที่รัฐ ร้อนรนเหตุเข้ามาด้วยวิธีไม่ชอบ การันตี 1.2 พันชื่อเป็นจริงตามนั้น
6 มี.ค. จบแน่! รับ-ไม่รับ 'ฮั้ว สว.' คดีพิเศษ แจงโพยไม่ได้หลุดจากDSI
'ทวี' ลั่น 6 มี.ค. ถก กคพ. ต้องจบ รู้แน่รับ-ไม่รับ 'ฮั้วเลือก สว.' เป็นคดีพิเศษ แจงโพยไม่ได้หลุดจากดีเอสไอ พบชื่อตรงกัน 138 คน อยู่ในสภา
'เลขาฯกฤษฎีกา' ปัดตอบ กคพ. มีอำนาจรับคดีฮั้ว สว. ให้รอดู 6 มี.ค.
นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการอ้างว่า เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการะบุในที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)