25 พ.ค. 2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "หลังหัก?" โดยกังวลว่า สถานการณ์การเมืองในประเทศ อาจทำให้หนทางข้างหน้าของประเทศมืดมนอนธกาล สิ่งที่ห่วงที่สุดคือ น้ำผึ้งหยดเดียวจะก่อสงครามกลางเมืองขึ้น และถูกต่างชาติเข้าแทรกแซงเกิดความขัดแย้งจนบานปลายยากยุติลงได้
นายจตุพร กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองว่า ขณะนี้อยู่ในห้วงเวลาหาผู้ปกครอง ที่เต็มไปด้วยกลเกมลับ ลวง พราง ปล่อยข่าวทำลายกัน อีกทั้งกรณีการถือครองหุ้นสื่อมวลชนของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังเพิ่มมากด้วยเอกสารผูกมัด ทั้งเอกสารการประชุมผู้ถือหุ้นแบบจัดฉากขึ้นแล้วมาตกถึงมือนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้อย่างไร ย่อมเป็นข้อสงสัยที่นายพิธาต้องไปค้นหาความจริง
"ถ้ายังไม่เข้าใจว่า ใครลงมือเดินเกมการเมืองแล้วจะทำงานการเมืองที่ผิดพลาดใหญ่โต ดังนั้น นายพิธา เห็นแล้วหรือยัง ขณะที่นายเรืองไกร ไปยื่นหลักฐานเพิ่มให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่ที่สุด กกต.จะรับรองให้เป็น ส.ส. แล้วจะตามมาด้วยการการยื่นศาล รธน. สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. แล้วสอยพ้นตำแหน่ง”
นายจตุพร กล่าวว่า ในคำร้องการถือหุ้นสื่อมวลชนของนายพิธานั้น อาจต้องเกี่ยวเนื่องกับสถานภาพ ส.ส.ของพรรคก้าวไกลด้วย เนื่องจากข้อบังคับพรรคกำหนดไว้แตกต่างจากกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถือหุ้นสื่อมวลชนด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในกรณีของนายพิธา จึงไม่รู้ว่าจะมีพลานุภาพเฉพาะนายพิธาหรือทั้งองคาพยพ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอุณหภูมิการเมืองให้ร้อนขึ้นมาอย่างมีนัยยะสำคัญ
ส่วนตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายจตุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยแสดงออกชัดเจนต้องการการครอบครองตำแหน่งที่สำคัญนี้ สำหรับนายปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ออกมาขวางและให้พรรคก้าวไกลยึดตำแหน่งประธานสภาฯ ไว้ให้มั่นคง อย่ายอมถอยให้พรรคเพื่อไทยอีก
"ตำแหน่งประธานสภาฯ มีความหมาย เพราะเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งนายกฯ เป็นคนกำหนดระเบียบวาระของกฎหมายในการประชุมสภา จึงเป็นตำแหน่งสำคัญในการคุมเกมในสภา โดยปกติแล้วพรรคที่ได้ลำดับที่หนึ่งจะได้ทั้งนายกฯ และประธานสภาฯ แต่ยังมีการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษในบางครั้ง"
นายจตุพร เห็นว่า หากพรรคก้าวไกลยกตำแหน่งประธานสภาฯ ให้พรรคเพื่อไทยแล้วย่อมไม่เหลือความสำคัญในการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเลย เท่ากับสิ้นสภาพต่อรองทางการเมือง แม้เป็นพรรคมีเสียงอันดับหนึ่ง แต่อาจตกเป็นเบี้ยล่างพรรคเพื่อไทยได้
อย่างไรก็ตาม หากพรรคก้าวไกลไม่ได้ครอบครองตำแหน่งประธานสภาฯ แล้วยังเกิดเหตุการณ์นายพิธา ถูกจัดการด้วยการถือหุ้นสื่อมวลชนมาซ้ำเติมอีก แม้ ส.ส.ยังอยู่ แต่โอกาสเดินหน้าตั้งรัฐบาลใหม่ก็ยากลำบาก และอาจเลยเถิดตกเป็นพรรคฝ่ายค้านโดยฉับพลันได้
นายจตุพร เสนอว่า ถ้าเสียง 313 เสียงจาก 8 พรรคเซ็นเอ็มโอยูไม่หักหลังกันแล้ว อีกฝ่ายเสียงข้างน้อย 187 เสียงก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ แม้นำเสียง ส.ว. 250 มาหนุนถึงจะครอบครองตำแหน่งนายกฯ ได้ แต่ผลเสียคือ การปบลุกเร้าให้แผ่นดินลุกเป็นไฟได้อย่างง่ายดาย จึงคาดว่า รัฐบาลเสียงข้างน้อยจึงไม่กล้าเสี่ยง
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญของการเมืองช่วงนี้ มีสถานการณ์จงใจปล่อยข่าวแทรกเข้ามาหยั่งเชิงกรณีข่าวลือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะวางมือการเมือง และยุบ พปชร. มารวมพรรคเพื่อไทยเพื่อชิงเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แม้ พล.อ.ประวิตร ออกมาปฏิเสธ แต่ปฏิบัติการข่าวปล่อยได้ทำงานจนสำเร็จแล้ว
“ในกระดานการเมืองช่วงนี้ พล.อ.ประวิตร จึงไม่ธรรมดา เห็นนิ่งเงียบ เดินช้าเนิบนาบ แต่มากความคิดกลเกม ประกอบกับวัยร่วงโรย จึงมีเวลาไม่มาก ดังนั้น การลงมือแต่ละเกมการเมืองจึงเน้นประสิทธิภาพ โดยดูจาก 187 เสียงสามารถปิดล้อมการขยับตัวตั้งรัฐบาลของ 313 เสียงได้อย่างสิ้นเชิง”
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี ส.ว. 250 เสียงคอยหนุน และยุทธศาสตร์ชาติคอยขวางกั้นการทำงานจากรัฐบาลต่างขั้วอีก ย่อมทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียตัวตนเพื่อแลกกับความศรัทธาทางการเมืองอีกมากมาย รวมความแล้วการเมืองช่วงนี้ เป็นเกมปิดล้อมแล้วรุมทำลายศรัทธาการเมืองของพรรคก้าวไกล
นายจตุพร กล่าวว่า ในอนาคตเสียงตั้งรัฐบาล 313 เสียงเต็มด้วยความขัดแย้งและมากด้วยปัญหากัน โดยเริ่มเห็นร่องรอยจากปัญหาเซ็นเอ็มโอยู และบีบขวางวาระการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง ซึ่งสะท้อนถึงพฤติการมุ่งทำลายศรัทธาพรรคก้าวไกลในประเด็นชูขึ้นหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้น จึงเป็นบทเรียนแรกของการผลัดหลงไปดงอำนาจและจะยิ่งเสียศรัทธาไปตามลำดับ
ส่วนกองเชียร์พรรคก้าวไกลหรือด้อมส้มนั้น นายจตุพร เตือนว่า ควรอยู่บนโลกความเป็นจริงให้ได้ การขัดแย้งระหว่างส้มกับแดงในโซเชียลมีเดียที่หนักหน่วงขึ้นนั้น หากมีเหตุลงดาบเชือดนายพิธา ในการถือหุ้นสื่อมวลชน และผสมผสานกับการชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ด้วยแล้ว พรรคก้าวไกลจะสูญสิ้นทุกอย่าง
"หัวหน้าพรรคเพื่อไทยน่าเห็นใจ เพราะที่สุดแล้วการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และคนมีหลักคิดอย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง เมื่อถึงเวลาก็ไม่ได้ชี้ขาด เนื่องจากการตัดสินใจทางการเมืองนั้นมีอำนาจกับผลประโยชน์เป็นตัวตั้ง อุดมการณ์และแนวทางเป็นเรื่องสุดท้าย แต่เมื่อหาเสียงอุดมการณ์จะเป็นสิ่งสูงสุดเสมอ" นายจตุพร ระบุ
นายจตุพร คาดว่า หาก 313 เสียงถูกปิดล้อมกันนาน แล้วผสมด้วยการเคลื่อนไหวของบางพรรคแอบไปเจรจากับอีกฝ่ายข้างน้อย พรรคก้าวไกลกับเพื่อไทยอาจสะบัดมือจากกันจะทำได้ง่ายที่สุด ซึ่งเอ็มโอยูไม่มีความหมายอะไรในวันนั้น
“ขณะที่ 313 เสียงที่ต้องหาเสียง ส.ว.มาเติมให้ถึง 376 เสียงยังยาก มีแต่คำปลอบขวัญให้ความหวังด้วยแนวโน้มที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การร่วมมือกันตั้งรัฐบาลยังเป็นศูนย์เปอร์เซ็นกันอยู่”
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร เสนอว่า ถ้า 313 เสียงไม่แตกกันแล้ว ประกอบกับฝ่าย 187 เสียงก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้อยู่แล้ว แต่แนวโน้มในขณะนี้ มีการเชื่อกันว่าอีกไม่นาน 313 เสียงจะแตกแยกกันเอง โดยประเมินจากอาการอันเริงร่า และสบายใจของฝ่ายที่เป็นเสียงข้างน้อย 187 เสียงที่เหมือนรอเป้าหมายอะไรบางอย่างอยู่แบบนิ่งเงียบ
"ผมเห็นความตั้งใจของนายพิธา ที่ยังควบคุมสถานการณ์ได้อยู่ แต่ความกดดันที่เต็มกันไปหมด โดยเฉพาะสถานการณ์ข้างหน้าพรรคฝ่ายประชาธิปไตยจะกระทืบกันเอง ยิ่งท่วงทำนองของนายศิธา ทิวารี จากพรรคไทยสร้างไทย กับนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีอาการต่อกัน และรวมถึงพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกลในการชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งจะทำให้มองหน้ากันไม่ติดอยู่แล้ว ความกดดันเช่นนี้อีกฝ่ายเฝ้ารอเวลาเข้าแทรกอยู่"
นายจตุพร ประเมินว่า เมื่อความแตกต่างในเอ็มโอยู ได้สะสมการถอยร่นของพรรคก้าวไกลจนถึงวันหนึ่งก็ไม่รู้จะถอยไปถึงไหนแล้ว และอาจมาขาดสะบั้นกับการชิงตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันได้ยากยิ่ง
ดังนั้น สถานการณ์หลังหักนั้น สิ่งที่ห่วงที่สุด ซึ่งไม่ต้องการให้เกิดขึ้นคือ สงครามกลางเมืองจากน้ำผึ้งหยดเดียว แล้วเลยเถิดถึงต่างชาติเข้าแทรกแซงทำให้บานปลายหนักขึ้น ย่อมจะเป็นความน่ากังวลอย่างยิ่งกับหนทางเดินที่มืดมนอนธการ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'จตุพร' ควงทนายนกเขาขึ้นโรงพัก รับทราบข้อหา 'วีระ' แจ้งความหมิ่นประมาท
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบ
สส.เพื่อไทย เย้ยฝ่ายค้าน ซักฟอกรัฐบาลอิ๊งค์ ต้องมีข้อมูลไม่ใช่แค่พิธีกรรมทำตามฤดูกาล
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีพรรคประชาชน (ปชน.) ขู่เตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วาง
'วัชระ' ยินดีล่วงหน้ากับพรรคภูมิใจไทย ที่ลูกพรรคคนสำคัญได้รับการพักโทษ
นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุก 3 อดีตสส.พรรคภูมิใจไทย คือ นางนาที รัชกิจประการ
‘หมอวรงค์‘ จี้พรรคส้มหยุดโหนเกาหลีใต้
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภีกดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า พรรคประชาชนหยุดโหนเกา
'จตุพร' ลั่นถ้ามั่นใจก็แบ่งประโยชน์ 50:50 เลย เชื่อ 'กิตติรัตน์' วืดเข้าครม. รัฐบาลลังเล
'จตุพร' ท้าอำนาจเอาแต่ได้ ลั่นถ้ามั่นใจก็แบ่งประโยชน์ 50:50 เลย เอาตามลูกพี่สบายใจ แล้วจะได้วัดกัน ส่วน 'กิตติรัตน์' วืดเข้าครม. เชื่อรัฐบาลลังเล หวั่นเป็นปัญหาหัวเชื้อคนค้านขย่ม แม้กฤษฎีการะบุคุณสมบัติไม่เข้าข่ายข้าราชการการเมือง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้อ้างในศาล รธน.จะชนะทุกกรณีไป
เตือน 'ยิ่งลักษณ์' เลือกกลับไทยแบบพี่ชาย ยิ่งทำให้อารมณ์คนไทยพลุกพล่านระอุขึ้น
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ได้รับพักโทษคดีจำนำข้าวนั้น กระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์