นักกฎหมาย ฟันธง 'พิธา' ถือหุ้นสื่อ ขาดคุณสมบัติสมัคร ส.ส.

11 พ.ค.2566 - ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฎฐ์” นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงกรณี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ให้ตรวจสอบ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน)จำนวน 42,000 หุ้น ว่า ปัญหานี้ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย โดยเฉพาะเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้สมัคร ส.ส.ถือครองหุ้น โดยห้ามเฉพาะหุ้นสื่อ

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่าประเด็นหุ้นสื่อของนายพิธา ประเด็นชี้ขาด ไม่ได้อยู่ที่ว่าการถือครองหุ้นของนายพิธา ในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะผู้จัดการมรดกฯ เพราะผู้ตาย เจ้ามรดกผู้วายชนม์ ซึ่งเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายพิธา ไม่ได้ทำพินัยกรรมยกหุ้นดังกล่าวให้แก่บุคคลใด ดังนั้นทรัพย์สินทุกชนิด ที่มีอยู่ก่อนตายทั้งหมด ตกแก่กองมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 มาตรา 1600 ทายาทโดยธรรม รวมถึงนายพิธา มีส่วนได้เสียต่อกองมรดกมีสิทธิรับมรดกตามสัดส่วนเท่ากัน เว้นแต่นายพิธา จะสละมรดกเป็นหนังสือต่อเจ้าพนักงาน

"แต่ปรากฎว่า 17 ปีที่ผ่านมานับแต่บิดาถึงแก่ความตาย นายพิธาไม่มีการสละมรดกต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นที่ยุติ หุ้นตามใบหุ้นเลขที่ 0680180285422 ลำดับที่ 7138 ตาม แบบเอกสาร บมจ.006 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นผู้ถือครองหุ้น จะยกขึ้นเป็นข้อแก้ตัวอ้างว่า หุ้นไม่ใช่ของตนเอง แต่ระบุชื่อในฐานะผู้จัดการมรดก เป็นการคว้างงูไม่พ้นคอ ให้ประชาชนจับไต๋และข้อพิรุธได้ทัน หากทำในฐานะผู้จัดการมรดก โดยจะต้องระบุข้อความในเอกสาร ข้อความต่อท้ายว่า “ในฐานะผู้จัดการมรดก” ทั้งข้ออ้างที่ว่า ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินการถือครองหุ้นให้แก่ ปปช.แล้ว คนละประเด็นกัน เพราะการตรวจสอบคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 เป็นหน้าที่ของ กกต.โดยตรง ไม่ใช่หน้าที่ ปปช."

นักกฎหมายมหาชน ผู้นี้ระบุว่าล่าสุด การตรวจสอบสถานะบริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) ยังประกอบกิจการอยู่ ประเด็นที่ชี้ขาด คือ บริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) ยื่นการเสียภาษีล่าสุด ระบุกิจการเผยแพร่ภาพยนตร์วีดีทัศน์และรายการโทรทัศน์ วัตถุประสงค์หลัก “สื่อโทรทัศน์” ปรากฏตามเอกสารข้อมูลล่าสุด หากฟังได้ตามนั้น ต้องถือว่า บริษัทไอทีวี จำกัด(มหาชน) ยังประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์อยู่ เป็นวัตถุประสงค์หลัก

ส่วนจะยกขึ้นต่อสู้ว่า ปิดกิจการแล้ว ข้อเท็จจริงย้อนแย้งกันเพราะบริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) ระบุในผลตรวจสอบล่าสุด พบว่า สถานะยังดำเนินกิจการอยู่ ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่า ยังไม่เลิกกิจการ ดังนั้นจะต้องไปพิจารณาถึงใบอนุญาตของบริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) ที่ขออนุญาตต่อโทรคมนาคมหรือ กสทช. บริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน)ได้แจ้งยกเลิกใบอนุญาตต่อ กสทช.หรือเจ้าพนักงานการพิมพ์ หรือไม่ อย่างไร หากยังไม่แจ้งยกเลิก ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่าบริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) ยังประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์อยู่

ทั้งนี้การถือครองหุ้นคดีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เลิกกิจการชั่วคราว แต่ยังไม่แจ้งเลิกใบอนุญาตจดแจ้งการพิมพ์ จึงขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) นั้น ข้อเท็จจริงแตกต่างกันกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เพราะการถือครองหุ้น บจม.ไอทีวี เป็นการซื้อขายหุ้น หวังผลเก็งกำไร

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่าขอยกข้อเทียบเคียงกันคดีของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ปชป.เขต 2 นครนายก ศาลเพิ่งตัดสินสดๆร้อนๆ เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา ในคดีของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ในคดีหมายเลขแดงที่ ลต.สสข.24/2566 ระหว่างนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้ร้อง กับผู้อำนวยการเลือกตั้ง เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดนครนายก ผู้คัดค้าน โดยศาลฎีกาได้วินิจฉัยในสาระสำคัญว่า "การที่ผู้ร้องถือหุ้นของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) จำนวน 200 หุ้น ถือเป็นสัดส่วนน้อย ผู้ร้องย่อมไม่มีอำนาจสั่งการให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) ดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ร้องและพรรคการเมืองของผู้ร้องหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองอื่น เพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งของผู้ร้องหรือพรรคการเมืองของผู้ร้องได้ เนื่องจากผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของหรือมีจำนวนหุ้นในจำนวนมากพอที่จะสามารถกระทำเช่นนั้นได้ การตีความบทบัญญัติของกฎหมายลายลักษณ์อักษรให้ผู้ร้องมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเพราะเหตุเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) เพียง 200 หุ้น ย่อมไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ..”

ด้วยความเคารพคำสั่งของศาลฎีกา ตนไม่อาจเห็นพ้องด้วย เพราะแนวคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้งในคดีเลือกตั้งท้องถิ่น ในข้อเท็จจริงเดียวกัน ผู้ร้องถือหุ้น อสมท.และมีจำนวนน้อยเช่นกัน แต่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้ง กลับวินิจฉัยว่า ผู้สมัครรายดังกล่าว ขาดคุณสมบัติเพราะการถือครองหุ้น อสมท.คุณสมบัติต้องห้ามใช้สิทธิสมัคร ตามมาตรา 98(3) พี่น้องประชาชนจะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า คดีเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคุณสมบัติ เป็นอำนาจศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้ง ไม่ใช่ศาลฎีกา และเป็นการวินิจฉัยคดีศาลเดียว คดีถึงที่สุด ไม่มีการฎีกา

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าว่า การร้องให้ตรวจสอบของคุณสมบัติของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แม้นายเรืองไกร จะร้องขอให้ตรวจก่อนเลือกตั้ง แต่กระบวนการตรวจสอบจะต้องใช้ระยะเวลา หาก กกต.ยังไม่ได้ชี้ขาด แต่ไปชี้ขาดหลังเลือกตั้ง โดยนายพิธา ได้รับเลือก เป็น ส.ส. อำนาจวิวินิจฉัยตรวจสอบ เป็นของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่อำนาจศาลฎีกา โดย กกต.จะต้องใช้ช่องมาตรา 82 วรรคท้ายของรัฐธรรมนูญ โดยหลักการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ใน พรป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ไม่มีบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญให้จำต้อง ถือข้อเท็จจริงตามคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกา แตกต่างจาก ป.วิอาญา มาตรา 46 ในการพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เป็นคนละเรื่องกัน

ที่ผ่านมาการเลือกตั้งปี 2562 โดยมี ส.ส.ถูกร้องว่าขาดคุณสมบัติเพราะการถือครองหุ้นสื่อ ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัย ให้ถือหลักวัตถุประสงค์ของบริษัท ให้ถือตามวัตถุประสงค์ประกอบกิจการแท้จริง มาตรา 211 วรรคท้าย คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพัน รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐ

"ส่วนการถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา ของบริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) เห็นได้ชัดว่า วัตถุประสงค์หลักประกอบกิจการโทรทัศน์ ย่อมขาดคุณสมบัติการสมัคร ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) ส่วนจำนวนหุ้นสัดส่วนมากน้อยเพียงใด หากเทียบเคียงคดีของนายชาญชัย กับการถือครองหุ้นนายพิธา ระหว่าง 200 หุ้น กับ 42,000 หุ้น โดยเปรียบเทียบราคาหุ้นของนายชาญชัยเพียง 38,000 บาท ส่วนของนายพิธา ราคา 210,000 บาท มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน รัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) เจตนารมณ์ห้าม ผู้สมัคร ส.ส. ถือครองหุ้นสื่อ ไม่ว่าจะถือครองหุ้นสื่อมากหรือน้อยเพียงใด แม้เพียงหุ้นเดียว ย่อมขาดคุณสมบัติในการสมัคร ส.ส. เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) เป็นบทบังคับห้ามเด็ดขาด หากเอกสารหุ้นถือครองหุ้น ที่นายเรืองไกร คัดถ่ายมาจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นเอกสารราชการที่แท้จริง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ย่อมขาดคุณสมบัติในการสมัคร ส.ส." ดร.ณัฐวุฒิ ระบุ

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เอ็ดดี้ อัษฎางค์' มีคำตอบให้! 'พิธา' ไม่เข้าใจทำไมกลายเป็นศัตรูเพื่อไทย

เอ็ดดี้-อัษฎางค์ ยมนาค อินฟลูเอ็นเซอร์การเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ไม่เข้าใจทำไมกลายเป็นศัตรูกับเพื่อไทย อัษฎางค์ ยมนาค มีคำตอบให้

ก้าวไกลแพ้! ศาลยกฟ้อง 'ณฐพร โตประยูร' แจ้งเท็จ-หมิ่น ล้มล้างการปกครอง

ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.308/2564 ที่พรรคก้าวไกล เป็นโจทก์ฟ้องนายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นจำเลยในความผิดฐานแจ้งความเท็จ,หมิ่นประมาทฯพร้อมเรียกค่าเสียหาย 20,062,475บาท   

มองต่างมุม 'ดร.ณัฏฐ์' เชื่อศาลรธน.ตีตกคำร้อง 'ทักษิณ-เพื่อไทย' ล้มล้างฯ

สืบเนื่องจากกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร  ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็น เพื่อวินิจฉัยสั่งการให้ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย เลิกการก

รู้ไว้ซะ 'ปิยบุตร' เผย 'ทักษิณ' ได้กลับบ้าน เพราะก้าวไกลชนะเลือกตั้ง!

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องหนึ่งที่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันอีกครั้ง

'พิธา' คุยพรรคประชาชนแข่งเลือกตั้งมีแต่ชนะกับพัฒนา ไม่มีคำว่าแพ้

ที่จ.อุดรธานี แกนนำ สส. และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายก องค์การ​บริหาร​ส่วน​จังหวัด​ (อบจ.)​ อุดรธานี ที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 พ.ย. 2567 ซึ่งพรรคประชาชนได้ส่ง คณิศร ขุริรัง เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก