9 พ.ค.2566- เมื่อช่วงค่ำ วันที่ 8 พฤษภาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายเศรษฐี ทวีสิน สองแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมกันให้สัมภาษณ์ออกรายการผ่านทาง TikTok และ Instagram Live หัวข้อ “หมดเปลือกเพื่อไทย” โดยมีนายคชาภา ตันเจริญ หรือ “มดดำ” เป็นผู้ดำเนินรายการ และถามคำถามแทนประชาชนที่ส่งมาตามช่องทางต่างๆ
นายคชาภา ถามถึงปรากฎการณ์คนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเกิน 90% ทำให้นายเศรษฐา กล่าวว่า ถือเป็นปรากฎการณ์ที่ดี สะท้อนว่าการเมือง 8 ปีที่ผ่านมาแย่มากๆ จนคนออกมาใช้สิทธิถล่มทลาย
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เซอร์ไพรซ์กับจำนวนผู้มาใช้สิทธิ และเห็นใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งล่วงหน้า แต่ต้องขอบคุณประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ และขอบคุณประชาชนที่เลือกพรรคเพื่อไทย
เมื่อถามว่า เมื่อวานนี้ กกต.ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ เพราะคนไม่มั่นใจในการทำหน้าที่
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า บางคนชนะการเลือกตั้งมาหลักร้อย ดังนั้น ทุกคะแนนเสียงจึงมีค่ามาก นี่คือความจำเป็นว่าทำไมต้องออกไปใช้สิทธิมากๆ
นายเศรษฐา กล่าวว่า สิทธินี้เป็นสิทธิที่มีค่ามากๆของคนไทยทุกคน ทั้งนี้ ทุกคนมีความเป็นห่วง กกต.ต้องเข้มงวด และดูแลให้มีการเลือกตั้งอย่างเป็นธรรมที่สุด
เมื่อถามว่า อีก 6 วัน ถึงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศจะตัดสินใจเลือก วันนี้ยังมีคนถามเรื่องการจับมือกับ 3 ป. จึงอยากขอถามถึงความชัดเจนอีกครั้ง เพราะมีการผลิตวาทกรรมปั่นกระแสในโซเชียลจำนวนมาก
นายเศรษฐา กล่าวว่า เราบอกไปแล้วว่า เรายึดโยงกับประชาชน ไม่เอารัฐประหาร ทั้งนี้ เข้าใจว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการแข่งขัน แต่พรรคเพื่อไทยไม่ต้องการอยู่ในวงจรวาทกรรมเหล่านี้ เรามีนโยบายที่ดีหลายๆนโยบาย ทั้งนโยบายด้านเศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ และเราพิสูจน์มาตลอดว่าเราทำเป็น เราจึงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอนโยบายของเราอย่างเต็มที่
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เราไม่จับมือกับฝ่ายเผด็จการแน่ แต่การจะจับมือกับพรรคใดนั้นเป็นเรื่องในอนาคตหลังการเลือกตั้ง เราต้องดูก่อนว่า ผลออกมาอย่างไร แต่เรามีเกณฑ์ของเรา ว่าต้องเห็นด้วยกับนโยบายของเรา และนายกฯต้องมาจากพรรคเพื่อไทยเท่านั้น คนที่จะมาจับมือกับเราจะรับได้หรือไม่ สำหรับเรื่องการผลิตวาทกรรม คิดว่า ไม่ว่าเราจะตอบชัดแค่ไหน แต่คนก็ยังพูดเรื่องเดิมอยู่ ก็แปลว่า สิ่งที่เราพูดไปไม่ใช่คำตอบที่เขามุ่งหวังแล้ว แต่อาจจะเป็นปฏิกริยาอื่นๆที่เขามองหา อย่างที่นางแบกพูดว่าเราควรจะเลิกตอบคำถามนี้แล้ว ตนเห็นด้วย ช่วงแรกที่ไม่ตอบเพราะเห็นว่าไม่ได้เป็นกระแสมาก แต่เมื่อเป็นแบบนี้เราเลยชัดเจนว่าไม่จับ และมีเกณฑ์ของเราขึ้นมาว่า ถ้าจะร่วม เราจะร่วมกับใคร ตอนนี้เรารอผลการเลือกตั้งอย่างเดียวแล้ว และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป ไม่ว่าจะมีข่าวลืออะไร เราก็จะยืนยันคำตอบนี้
เมื่อถามว่า สมการ เพื่อไทย-ก้าวไกล เป็นไปได้หรือไม่
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว เราไม่เคยรังเกียจฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน และกับพรรคก้าวไกลเราก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร เราเป็นพรรคฝ่ายค้านมาด้วยกัน ทำงานมาด้วยกัน แต่หลังการเลือกตั้งต้องรอดูเสียงของประชาชน เราต้องมาดูกันอีกครั้ง
นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนโยบายเราก็ต้องมาถกกันด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนด้วย
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบาย 10,000 บาท ใส่กระเป๋าดิจิทัล แต่มีคนบอกว่าเกิดขึ้นไม่ได้จริง นายเศรษฐา กล่าวว่า ช่วง 8 ปีที่ผ่านมาเราอยู่ในหลุมดำของความยากจน ซ้ำโดนเรื่องโควิดอีก ทำให้เรายิ่งจมลึก ที่ผ่านมา รัฐบาลมีการพยายามช่วยด้วยการให้เงินทีละ 500-700 บาท ซึ่งเรามองว่า แบบนี้ไม่พอ เราจึงคิดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมา เราปรึกษาทั้งฝ่ายกฎหมาย และธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ว่านี่ไม่ใช่สกุลเงินใหม่ สิ่งที่เราดำเนินการอยู่นี้ จะช่วย ธุรกิจขนาดเล็ก ช่วยเหลือประชาชนอย่างทั่วถึง เรามั่นใจเรื่องงบประมาณ ว่าเราจะมีงบประมาณมาใช้ในส่วนนี้แน่ๆจากการบริหารงบประมาณ ย้ำว่า เราไม่ต้องกู้เพิ่ม นอกจากนี้ เราไม่ได้เอาเงินใส่กระเป๋าอย่างเดียว แต่เรามีนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ นโยบายรายได้ครอบครัวละ 2 หมื่นบาท ฯลฯ
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า อันดับแรกเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะลดค่าใช้จ่ายให้คนก่อนทันที ลดค่าน้ำ-ค่าไฟ ทันที และจะกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ นโยบายของเราต้องเป็นนโยบายที่กินได้
เมื่อถามว่า มีคนบอกว่า พรรคเพื่อไทยโบราณ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เราปรับกันมาเยอะมาก คนที่พูดว่าเราโบราณได้ติดตามเราจริงหรือไม่ เรามีโหวตเตอร์วัยรุ่น และนโยบายของเราไม่มีคำว่าโบราณเลย
ถามว่า เขาบอกพรรคเพื่อไทย ขายความกลัวนายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องความไม่แน่นอนไม่ชัดเจน ตนชัดเจนที่สุดแล้ว คนที่รู้จักผมจะรู้ดี ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ได้ขายความกลัว แต่กำลังฉายความหวังให้คนไทยทุกคน ว่าเลือกเพื่อไทยจะได้ความหวังและโอกาส ไม่ได้ขายความกลัวแต่ขายความชัวร์ 8 ปีที่ผ่านมา มันเจ๊งขนาดนี้และมีความเสี่ยงอยู่ไหม ต้องบอกว่ามี เพราะมีรัฐธรรมนูญเขียนโดยคณะรัฐประหาร ทำให้มี ส.ว.250 ดังนั้น ต้องเลือกให้ชัวร์ กาพรรคเพื่อไทยทั้ง 2 ใบทั้งคนทั้งพรรคไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในหลุมดำ
ถามถึงกรณีที่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยแซะกันเอง สาดโคลนกันเอง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า นี่คือช่องทางประชาธิปไตยที่ทุกคนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น ว่าตนเองเชียร์ใคร แต่ก็คิดว่าไม่ควรมาทะเลาะกันเอง ปัญหาของประเทศที่รออยู่มันใหญ่มาก ใหญ่กว่าที่เราจะมานั่งทะเลาะกันเอง
ด้านนายเศรษฐา กล่าวว่า พยายามไม่ตอบโต้ พยายามพูดแต่นโยบายของเราเอง พยายามบอกให้เลือกให้ชัวร์ แล้วนายกฯจะมาจากพรรคเพื่อไทยแน่นอน
เมื่อถามว่า แคนดิเดตเพื่อไทยอาศัยนามสกุลมาเป็นนายกฯ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีวันนี้ไม่ได้เลย ถ้าประชาชนไม่สนับสนุน เป็นชินวัตร เพราะประชาชนเลือกมา ชินวัตรไม่ได้ซื้อมา พรรคเราโดนยุบมา 2 รอบ แต่เรากลับมาได้เพราะประชาชนเลือกเรามา ชินวัตรหรือไม่ ถ้าประชาชนไม่เลือกก็ไม่มีสิทธิ์
ถามว่า สรุปใครจะเป็นนายกฯ นายเศรษฐา หรือ น.ส.แพทองธาร ทำให้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า พวกเราทั้ง 3 คนพร้อมเป็น เราโดนยุบมาหลายรอบ เราโดนรัฐประหาร เรามีบทเรียน ดังนั้น เราจะเสนอแคนดิเดตนายกฯคนเดียวไม่ได้ ใครเป็นต้องช่วยกัน ถ้าคนใดคนหนึ่งเป็นอีกคนไม่ก็ไม่หายไป เพราะประเทศมีแผลที่ต้องซ่อมใหญ่มาก เราให้เกียรติกัน และไม่มาแย่งตำแหน่งกัน
ขณะที่นายเศรษฐา ระบุว่า เราเป็นเป้ามาตลอด เพื่อความสบายใจของพี่น้องประชาชน ว่าเรามีแคนดิเดต 3 คน ถ้าใครโดนอุบัติเหตุทางการเมือง เราก็ยังเหลืออีก 2 คน ถ้าคณะกรรมการเคาะออกมาว่าแคนดิเดตเป็นชื่อตน ก็เชื่อว่าน.ส.แพทองธารก็ยังสนับสนุน
เมื่อถามว่า กลัวอุบัติเหตุทางการเมืองหรือไม่ น.ส.แพทองธาร ตอบว่า ถ้ากลัวก็ไม่เข้ามาการเมืองแต่แรก นาทีนี้แล้ว
เมื่อถามว่า มีคนถามว่า ทำไมแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทยไม่กล้าไปดีเบต
นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องของความกล้า หรือไม่กล้า แต่เราในฐานะมีวิธีการนำเสนอนโยบาย เพราะนโยบายมีความสลับซับซ้อน ในฐานะที่เป็นนักการเมืองหน้าใหม่ การออกไปพบปะพี่น้องประชาชนมีความสำคัญที่สุด นอกจากปราศรัยให้พี่น้องหลายหมื่นคนฟังแล้ว ยังได้ไปพบกับผู้นำความคิด ภาคธุรกิจ และภาคสังคมต่างๆเพื่อรับฟังปัญหามาจัดทำเป็นนโยบาย ถ้าให้ตนไปถกเถียงกับแคนดิเดตนายกฯอีกพรรคบนเวที เขาไม่ได้เป็นศัตรูกับผม และอธิบายไป เขาก็ไม่ได้รับความรู้ หรือเปลี่ยนใจมาเลือกตน ดังนั้น ก็มุ่งนำเสนอนโยบายไป วันนี้มีปัญหาที่ต้องการทำความเข้าใจอีกหลายเรื่อง ไปถกกันบนเวทีดีเบตไม่ได้ช่วยตรงนี้หรือเปล่า ก็ไม่ มีความพยายาม มีความอยากรู้อยากเห็น อยากแก้ปัญหา เราอยากเป็นรัฐบาลของคนไทยทั้งชาติ สิ่งเหล่านี้คือเรื่องสำคัญ
เมื่อถามว่า ทำไมต้องเลือกพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา กล่าวว่า เพราะพรรคเพื่อไทยมีอดีตมากมาย เราพิสูจน์ผลงานและทำได้จริง ผลงานใหม่ของเราอย่างเงินดิจิทัลลหมื่นบาท เติมเงิน 2 หมื่นบาท และเรามีนโยบายที่เทคแคร์เรื่องปากท้อง และสิทธิเสรีภาพในเพศสภาพ การเป็นทหาร เราสามารถทำให้ดีขึ้นได้
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “เลือกพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องรอลุ้นค่ะ เลือกเพื่อเปลี่ยนทันที เลือกคนที่ทำงานเป็น ทำมาแล้วในอดีตเคยแก้ปัญหาให้ประเทศมาแล้ว นโยบายเราเป็นนโยบายที่กินได้ เราสนับสนุนทั้งเรื่องสตาร์ทอัพเรื่องซอฟท์เพาเวอร์ต่างๆเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับประชาชนทั้งประเทศ เรื่องยาเสพติดภายในหกเดือนจะหายไปกว่าครึ่งหนึ่งแน่นอน พรรคเพื่อไทยรู้และทำเป็น Best Choice ของประเทศไทยตอนนี้คือพรรคเพื่อไทย”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เพื่อไทย' ไม่ฟังเสียงต้าน! ดันทุรังเข็น 'กิตติรัตน์' นั่งปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ
รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า รัฐบาลที่มาจากพรรคเพื่อไทยตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
เปิดคำวินิจฉัยส่วนตน ประธานศาลรธน. 1 ใน 4 ตุลาการ : ความเป็นรมต.ของ 'เศรษฐา' ไม่สิ้นสุดลง
สืบเนื่องจาก ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพา
ยี้ปชป.ผสมพันธุ์พท. เสื้อแดง-ชวนซัดทรยศปชช./เด็กป้อมจองเวรอิ๊งค์
"เพื่อไทย" ส่งเทียบเชิญ "ประชาธิปัตย์" ร่วมรัฐบาล อ้างผลประโยชน์ชาติ
โถ! อ้าง 'ชัยเกษม' วืดนายกฯ ชี้ชัด 'นายใหญ่' ไม่ได้ครอบงำเพื่อไทย
'วิสุทธิ์' ไม่กังวลปมร้องยุบเพื่อไทย กรณี 'ทักษิณ' ครอบงำพรรค ชี้หากสั่งได้จริง 'ชัยเกษม' นั่งนายกฯ ไปแล้ว อ้างแนะนำได้ ขึ้นอยู่ พท. จะทำตามหรือไม่
ชัยชนะยกแรก“ทักษิณ” บ้านป่าฯแตก-ผู้เฒ่ากระอัก
พลิกสถานการณ์กลับมาชนะสำหรับ “นายใหญ่เพื่อไทย”-ทักษิณ ชินวัตร หลังจาก “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกฯ ถูกสอยปมตกเก้าอี้ จากการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ในเรื่องความซื่อสัตย์และจริยธรรม
'อนาคตไกล' เตือนนายกฯอิ๊งค์ ระวังซ้ำรอย 'เศรษฐา' แนะต้องรอบคอบแต่งตั้งรมต.
นายภูษิต มิ่งขวัญ รักษาการเลขาธิการพรรคอนาคตไกล หยิบยกคดีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยเมื่อวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา ในสาระสำคัญเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต