ทีมเศรษฐกิจพปชร. ตั้งข้อสังเกตการอนุญาตผลิตไฟฟ้าในสมัย'ลุงตู่' ใจอยู่ที่นายทุน โฆษณาว่าไม่มีค่า'ความพร้อมจ่าย'เป็นการพูดเอาความดีใส่ตัว อนุญาตให้บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ประมูลทำโซล่าร์ฟาร์ม ไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนมีรายได้จากโซล่าเซลล์รูฟท็อป
26เม.ย.2566 - นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เรื่อง ใจลุงตู่อยู่ที่นายทุน? มีเนื้อหาดังนี้
รูป 1 ข่าวระบุว่า "ฟันธง! หุ้นโรงไฟฟ้าผ่านจุดต่ำสุดแล้ว
ลุ้นกำไรปี 66 แตะ 5.3 หมื่นล้านบาท ระยะยาวมี Upside จากการเปิดประมูลพลังงานหมุนเวียนกว่า 8,000 เมกะวัตต์"
รูป 2 ปรากฏผลการประมูลบางส่วน
บริษัทที่ได้อันดับหนึ่ง ได้ไป 2,500 เมกะวัตต์
อันดับสองถึงห้า ได้ไปเพียง 832, 339, 170 และ 80 ตามลำดับ
ผมตั้งข้อสังเกต 2 เรื่อง
เรื่องที่หนึ่ง ค่า "ความพร้อมจ่าย"
มีทีมลุงตู่มาโฆษณาว่า การอนุญาตผลิตไฟฟ้าในสมัยลุงตู่ไม่มีค่า "ความพร้อมจ่าย" ไม่เหมือนสมัยยิ่งลักษณ์
ค่า "ความพร้อมจ่าย" นี้ รัฐบาลเริ่มต้นใช้หลักการนี้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เพราะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ประชาชนเป็นเจ้าของ 100%
ค่า "ความพร้อมจ่าย" คือให้หลักประกันแก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตในการกู้เงินมาเพื่อลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า
เมื่อลงทุนไปแล้ว ถ้าหากสถานการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าเกิดลดลง ถึงแม้รัฐไม่สามารถซื้อไฟฟ้าได้ รัฐก็จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้แก่โรงไฟฟ้าทุกเดือน
ค่า "ความพร้อมจ่าย" จึงเป็นหลักการที่ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตสามารถกู้เงินเพื่อลงทุนโรงไฟฟ้าได้สะดวก
และเป็นเรื่องที่เหมาะสมใช้แก่รัฐวิสาหกิจที่ประชาชนเป็นเจ้าของ 100%
แต่ในการเปิดให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้าขายให้แก่รัฐนั้น อันที่จริง ไม่ควรจะใช้หลักการค่า "ความพร้อมจ่าย" ให้แก่บริษัทเอกชน
การใช้หลักการค่า "ความพร้อมจ่าย" ให้แก่บริษัทเอกชนซึ่งดำเนินการตั้งแต่สมัยยิ่งลักษณ์ จึงเป็นการให้หลักประกันรายได้แก่โรงไฟฟ้าเอกชนโดยไม่จำเป็น
เมื่อรัฐบาลให้หลักประกันลดความเสี่ยงแก่เอกชนด้วยค่า "ความพร้อมจ่าย" เอกชนจึงพยายามแข่งขันกันเพื่อให้ชนะประมูล
จนมีข่าวว่าจ่ายใต้โต๊ะกันมหาศาล จริงหรือไม่?
เพราะเมื่อชนะประมูลด้วยมีค่า "ความพร้อมจ่าย" ก็จะสามารถเร่งสร้างโรงไฟฟ้า และเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์
ได้กำไรสองต่อ!!!
ในด้านการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เมื่อเอกชนสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จ ถ้ารัฐไม่ซื้อก็จะต้องจ่ายค่า "ความพร้อมจ่าย" ดังนั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจึงต้องซื้อไฟฟ้าจากเอกชนก่อน
เมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตซื้อไฟฟ้าจากเอกชนก่อน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตก็ต้องลดปริมาณการผลิตของตนเองลง
นี่เอง ที่ทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของรัฐวิสาหกิจที่ประชาชนเป็นเจ้าของ 100% มีแต่ลดลงๆ ทุกวัน
ส่วนการที่ทีมลุงตู่โฆษณาว่า การอนุญาตผลิตไฟฟ้าในสมัยลุงตู่ไม่มีค่า "ความพร้อมจ่าย" ไม่เหมือนสมัยยิ่งลักษณ์นั้น ก็เป็นการพูดเอาความดีใส่ตัว
เพราะในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนนั้น การไฟฟ้าฝ่ายจำเป็นต้องรับซื้อทันทีที่ยังมีแสงแดดและพลังลม
จึงไม่มีหลักการค่า "ความพร้อมจ่าย" ไม่เหมือนโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง
สรุปแล้ว คำโฆษณาว่า การอนุญาตผลิตไฟฟ้าในสมัยลุงตู่ไม่มีค่า "ความพร้อมจ่าย" ไม่เหมือนสมัยยิ่งลักษณ์นั้น เป็นการทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้
เรื่องที่สอง ใจลุงตู่ไม่ได้อยู่กับประชาชน?
การที่ประชาชนติดตั้งโซล่าเซลล์รูฟท็อปนั้น ประชาชนจะสามารถผลิตไฟฟ้าแข่งขันกับโรงไฟฟ้าขนาดยักษ์ได้เป็นครั้งแรก
ประชาชนติดตั้งโซล่าเซลล์รูฟท็อป ลงทุนไม่กี่แสนบาท ก็สามารถแข่งขันกับโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงที่ลงทุนหลายพันล้านบาท
จึงเป็นครั้งแรก ที่ประชาชนมีอำนาจที่จะสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง ผลิตไฟฟ้าแข่งขันกับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่
แต่ลุงตู่ไม่ได้อ้าแขนรับให้ประชาชนมีรายได้ตรงนี้
การติดตั้งจะต้องยื่นขออนุญาตยุ่งยากจาก 3 หน่วยงาน
ประชาชนผลิตไฟฟ้าใช้เองได้ก็จริง แต่ในทางปฏิบัติ ในเวลากลางวันที่โซล่าเซลล์ทำงานนั้น ครัวเรือนส่วนใหญ่ไปทำงานนอกบ้าน
ปริมาณไฟฟ้าที่ประชาชนผลิตในช่วงเวลากลางวัน จึงเกินกว่าที่ประชาชนจะใช้ในช่วงเวลากลางวัน
อันที่จริง ถ้าหากประชาชนจะเก็บไฟฟ้าที่ผลิตเกินกว่าการใช้ในช่วงเวลากลางวัน เพื่อเอาไว้ใช้ในช่วงเวลากลางคืนนั้น ก็ทำได้
แต่จะต้องลงทุนแบตเตอรี่เก็บไฟซึ่งมีต้นทุนสูงมาก
ดังนั้น ถ้ารัฐจะส่งเสริมการติดตั้งโซล่าเซลล์รูฟท็อปอย่างจริงจัง รัฐก็จะต้องรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตเกินในช่วงเวลากลางวัน
ตรงนี้เอง ลุงตู่กำหนดปริมาณวงเงินที่จะรับซื้อไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์รูฟท็อป เอาไว้ต่ำมาก
และรับซื้อในราคาที่ต่ำเพียงประมาณหน่วยละ 2.20 บาท ทั้งที่ประชาชนต้องซื้อไฟฟ้จากรัฐในราคาหน่วยละ 4.70 บาท
นโยบายลุงตู่ จึงไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนมีรายได้จากโซล่าเซลล์รูฟท็อปอย่างแท้จริง
แต่ปรากฏว่า ใจลุงตู่ น่าจะไปอยู่ที่นายทุน?
เพราะมีการอนุญาตให้บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่เข้ามาประมูลทำโซล่าร์ฟาร์ม เพื่อขายไฟให้แก่รัฐอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ทั้งหมดนี้ ลุงตู่และลุงสุพัฒน์พงษ์มีหน้าที่จะต้องอธิบายให้ประชาชนว่า
ทำไมจึงเน้นให้ประโยชน์แก่นายทุนยักษ์ใหญ่?
ทำไมไม่ให้ประโยชน์แก่ประชาชนรายย่อยแทน?
แนวคิดของทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐนั้นแตกต่างครับ
เราต้องการให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโซล่าเซลล์รูฟท็อป และโครงการ หนึ่ง อบต/เทศบาล หนึ่งโซลาร์ฟาร์ม
โดยจะใช้หลักการหักกลบลบหน่วย net metering
ซึ่งหมายความว่า ประชาชนจะขายไฟฟ้าให้แก่รัฐ ได้ในราคาเท่ากับที่ซื้อไฟฟ้าจากรัฐ
ถ้าซื้อไฟฟ้าจากรัฐหน่วยละ 4.70 บาท ก็จะขายไฟฟ้าให้รัฐได้หน่วยละ 4.70 บาทเท่ากัน
ด้วยวิธีนี้ สำหรับบ้านที่ใช้ไฟกลางคืนไม่มากนัก ค่าไฟในบางวันอาจจะลดลงเหลือเพียง 0 บาท
นี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญ
ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ เอาประชาชนเป็นศูนย์กลางครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อดีตรมว.คลัง งัด พรบ.ธ.ก.ส. ฟันเปรี้ยง! ดิจิทัลวอลเล็ต ไปตกม้าตายที่ ธ.ก.ส. ชัดเจน
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า
ค่าไฟค้างเติ่ง! บิ๊กตู่เผยที่ประชุม กพช.ขอฟังความคิดเห็นรอบด้านก่อน
นายกฯ เผย ที่ประชุม กพช.ยังไม่เคาะปมค่าไฟ ขอฟังความคิดเห็นให้รอบคอบก่อน ยันจะไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนและสร้างภาระให้รัฐบาลใหม่ ปัดเทงบทิ้งทวน ชี้ค่าป่วยการ อสม.พรรคร่วมเป็นคนเสนอ
นายกฯส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนเพื่อสิ่งแวดล้อม ยินดีโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนผาจุก เปิดใช้งาน
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อสิ่งแวดล้อม ยินดีโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนผาจุก จ.อุตรดิตถ์ เปิดใช้งาน สนับสนุนโรงไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ ควบคู่การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด