“ไม่หันหลังกลับ100%” จตุพร ยันแตกหักจาก “ทักษิณ-เพื่อไทย” สุดทนกล้ำกลืนมานาน ไม่มีหันหลังคืนกลับแน่ ชี้เกมการเมืองทุกอย่างคือการแสดง ทักษิณ คนรับปากส่งเดช จนหลังพิงฝาหาทางลงยาก ชู ส.สุรเกียรติ์ ยกข่มประวิตร แผนกลับบ้านป่วน ย้ำเพื่อไทยจับมือ พปชร.หรือไม่ คำถามง่ายๆ แต่ไม่ตอบ คาดไทยส่อเค้าเกิดวิปโยคครั้งใหญ่
8 ก.พ. 2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "วิปโยค" เมื่อ 7 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศขณะนี้ จะใหญ่กว่าความวิปโยคทางการเมืองที่ผ่านมาอย่างมากมาย กรณีเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 มาจากชนวนจอมพลถนอม กิตติขจร บวชเณรห่มผ้าเหลืองกลับบ้าน แม้ขณะนั้นยังไม่ต้องคดีอาญา เพียงถูกถูกคำสั่งยึดทรัพย์งจากรัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ ดังนั้น การกลับไทยของจอมพลถนอมจึงถูกใช้เป็นชนวนล้อมปราบนักศึกษาที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ขณะที่การกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งแตกต่างจากจอมพลถนอม กลับไทย เพราะทักษิณมีคดีอาญาและโทษติดคุก 12 ปี จากคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ติดตัวอยู่ด้วย แม้เรื่องราวและช่วงเวลาของทั้งสองคนนี้อาจแตกต่างกัน แต่เดินตามรอยทางเดียวกัน และปลายทางของประวัติศาสตร์การกลับบ้านกำลังจะเหมือนกัน
"ครั้งนี้ทักษิณพูดถึงการกลับบ้านแล้วคนเชื่อ พร้อมประเมินว่า สอง-สามวันก่อนการเลือกตั้งจะกลับมาเพื่อให้มีผลต่อคะแนนเสียงแลนด์สไลด์ ซึ่งเป็นการตลาดการเมืองคุ้มค่า แต่ผลลัพธ์อาจเป็นคนละเรื่องกัน"
นายจตุพร ย้องถึงผลลัพธ์ทางการเมืองของทักษิณ ว่า ในครั้งเลือกตั้งทั่วไปปี 2548 ทักษิณและไทยรักไทยได้ ส.ส. 377 เสียงสามารถตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว ตนยังกระเซ้าว่า รัฐบาลพรรคเดียว (พ้องเสียงกับพักเดียว) แปลว่า อยู่ไม่นาน อีกอย่างใน รธน. 2540 แม้มีฝ่ายค้าน แต่ไม่สามารถอภิปรายนายกฯ ได้ เพราะต้องใช้เสียงรับรองญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ถึง 200 เสียง แต่ฝ่ายค้านร่วมช่วงนั้นเมีเพียง 123 เสียงเท่านั้น นอกจากนี้ ยังไม่สามารถอภิปรายการทุจริตของรัฐมนตรีได้ เพราะต้องใช้เสียงถึง 125 เสียง ซึ่งฝ่ายค้านทำได้เพียงอภิปรายความล้มเหลวจากการบริหารงานเท่านั้นที่ใช้เสียง 100 เสียง
อีกทั้ง การคิดการใหญ่พรรคไทยรักไทย ถึงกับประกาศการเลือกตั้งครั้งหน้า (ถัดจากปี 2548) ให้ได้ 401 แสดงว่าการตรวจสอบจากฝ่ายค้านในสภาจะไม่เกิดขึ้นเลย ดังนั้น ฝ่ายค้านต่อสู้ในสภาไม่ได้เท่ากับบีบประชาชนลงถนน
ในช่วงทักษิณ เป็นรัฐบาลครั้งแรกในปี 2544 ไทยรักไทยได้ ส.ส. 248 เสียงจาก 500 เสียง จึงทำให้ดูดพรรคเสรีธรรม ความหวังใหม่ แล้วชาติพัฒนา มาควบรวมในไทยรักไทย เพื่อเพิ่มเสียงรับประกันความมั่นคงให้รัฐบาล ดังนั้น ผลการบริหารจัดการควบรวมพรรคเบ็ดเสร็จ จึงส่งผลให้การเลือกตั้งปี 2548 ได้เสียงแลนด์สไลด์ถล่มทลายถึง 377 เสียง
"อย่างที่บอกในทางการเมืองไม่มีใครได้อะไรทั้งหมด เมื่อได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง แน่นอนคนเราเมื่อใช้อำนาจมากมาตั้งแต่ปี 2544 แล้วทำตัวยิ่งใหญ่เพิ่มมากขึ้นในปี 2548 หูจึงเริ่มไม่ทำงาน และปากจะทำงานแทน"
พร้อมกล่าวว่า จากนั้นสถานการณ์ลุกลาม และถูกยึดอำนาจอย่างง่ายดาย การได้มา 19 ล้านเสียงเลือกตั้งและ 377 ส.ส. แต่ถูกยึดอำนาจใน ก.ย. ปี 2549 ขณะที่มีคนออกมาต่อต้านไม่ถึง 19 คน อีกทั้งบรรดารัฐมนตรีที่ถูกเรียกท่านทั้งหลายหายหัวหมด คงมีแต่พวกมีสรรพนาม “มัน” ทั้งหลายที่ออกไปต่อต้านการยึดอำนาจ จนลุกลามเป็นการต่อสู้ทางการเมือง ตนเล่าเรื่องนี้เพื่อต้องการเตือนสติว่า อะไรที่ต้องการเอารัดเอาเปรียบ เอาแต่ชนะกินรวบเกินพรรคอื่น จะไม่มีความไม่ยั่งยืน
"สิ่งที่เห็นอย่างหนึ่งที่พลัดหลงไปในดงละครการเมืองนั้น เมื่อเราสู้จริง ตายจริง เจ็บจริง แล้วมีความสูญเสียยากคณานับจริง แต่ทันที่การเลือกตั้งได้อำนาจมา สิ่งที่เราอยากเห็นคือประชาชนเป็นใหญ่ เมื่อผมไปเจอทักษิณที่ต่างประเทศ ซึ่งแวดล้อมไปด้วยกลุ่มทุนที่คนเสื้อแดงขับไล่ในประเทศไทยที่เรียกว่าทุนอำมาตย์ และกลุ่มทุนสารพัดก็แวดล้อมทักษิณ บรรดานักการเมืองที่เราวิวาทะวิวาทในไทยก็ไปเจออยู่กับทักษิณ บรรดานักเคลื่อนไหว นักวิชาการที่เราฟาดฟันอยู่ในไทยอย่างแรงก็ไปเจออยู่กับทักษิณ”
นายจตุพร ย้อนเล่าว่า ส่วนในประเทศไทยคนที่ใกล้ชิดนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ซึ่งมีส่วนสำคัญในการปราบปรามคนเสื้อแดงปี 2553 แล้วเราอยู่ไปอยู่มาจากคนในก็กลายเป็นคนนอก ต้องกล้ำกลืน ฝืนทนกับสภาพเมื่อประชาชนได้ชัยชนะ แต่กลับไม่ได้เอาคืนให้ประชาชน แต่นำไปให้คนที่ปราบประชาชนมาค้ำบัลลังก์ตัวเอง แล้วก็เปลี่ยน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จากรมว.กลาโหม จึงเข้าทางของ พล.อ.ประยุทธ์
รวมทั้ง กล่าวว่า เราเห็นว่าการเลือกตั้งปี 2554 ชนะมาด้วยคนเสื้อแดงที่ตายจำนวนมาก พยายามเตือนสติว่าจะมีการรัฐประหารก็ไม่มีใครเชื่อ แต่กลับมีการพาคนเสื้อแดงไปพบทักษิณ ที่ต่างประเทศเพื่อแยกออกจากแกนนำ นปช. และจัดความสัมพันธ์ตรงได้เสร็จสิ้น ดังนั้น คนต่อสู้จึงไม่ได้ร่วมสู้ เอาแต่ส่งข่าวผ่านไลน์ให้ทักษิณโดยตรงเพื่อรับความดีความชอบส่วนตัว
"ผมเคยตั้งคำถามว่า ตอนสุดซอย (กฎหมายนิรโทษกรรมคลุมถึงคดีทุจริต) ใครไปอยู่กับทักษิณ ตอนยึดอำนาจปี 2557 ใครไปอยู่กับทักษิณ ช่วยอธิบายมาหน่อย โกหกก็ได้ จึงทำให้เราแพ้ราบคาบทั้งที่ไม่ควรแพ้ ผมไม่สนใจว่าใครจะรักจะชัง เรามีชีวิตเท่ากับในการต่อสู้ และถวายให้กับการต่อสู้ เพียงสังคมไม่ได้รับรู้อย่างที่เราเห็นว่า ทุกอย่างคือการแสดง ส่วนการต่อสู้ของเราตายจริง เจ็บจริง และเป็นเรื่องจริง"
ส่วนในสถานการณ์ ปี 2562 ที่หลอกล่อแยกแกนนำ นปช. นั้นนายจตุพร กล่าวว่า ให้ตนมาช่วยพรรคเพื่อชาติ แต่ให้อีกซีกไปไทยรักษาชาติ แล้วหลอกคนเพื่อไทยหนึ่งคนให้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ไทยรักษาชาติ แล้วยังหลอกแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยด้วย เพราะเมื่อเปิดหน้าแคนดิเดตนายกฯ ตัวจริงของไทยรักษาชาติมา ซึ่งหวังจะกินทั้งกระดานการเมือง ถ้าสถาบันไม่ลงมาจัดการแล้ว คงไม่มีใครรู้ได้ว่า จะเกิดผลร้ายเหลือคณานับขึ้นเพียงใด
นอกจากนี้ กล่าวว่า ขณะนี้ที่ตนวิเคราะห์ ไม่ใช่ว่าไม่มีมูลความจริง แต่คำถามที่ตั้งให้ตอบนั้น คนมีอำนาจจริงกลับไม่ออกมาตอบ คนตอบกลับเป็นไม่มีหน้าที่ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค เพราะตามกฎหมายเป็นสมาชิกไม่ได้เหมือนกับตน
“สิ่งที่ผมถามว่า จะร่วมกับพลังประชารัฐหรือไม่ เพราะอธิบายตั้งแต่การแต่งตั้ง ผบ.ทบ. ได้อธิบายความสัมพันธ์ก่อนและหลังการยึดอำนาจ กระดานการเมืองแบบนี้คนนอกจะมองไม่เห็น แต่เราเห็นถึงการจัดความสัมพันธ์เกื้อหนุนกันอย่างไร มีระบบอุปถัมภ์กันอย่างไรเห็นกันอย่างชัดเจน คนทั่วไปจะไม่เชื่อว่า คณะ 3 ป.ก็มีการอุปถัมภ์กันไปมากับเครือข่ายของทักษิณ แต่ผมเห็นหมด ขณะนี้รอเพียงให้ปฎิเสธมา ผมจะได้อธิบายแต่ละเรื่องราว”
พร้อมย้ำว่า บางเรื่องเป็นคดีดังที่กระทบกระเทือนความรู้สึกของกระบวนการยุติธรรม ก็เข้าไปเกี่ยวข้อง รู้แม้กระทั่งว่าโทรไปขอกับใคร และมีการทำให้ แล้วคนทำให้ต้องเดือดร้อนอย่างไร เราอยู่ในสภาพกินน้ำเห็นปลิงมานาน จนเกิดเหตุการณ์โชคชะตาขึ้นใหม่ให้แยกกันเด็ดขาด
ดังนั้นกระดานการเมืองปี 2562 จะหลอกรอบวงที่เป็นลูกน้องทั้งหมด คนที่รับสภาพได้ก็กลับไปอยู่อีก ส่วนคนที่รับไม่ได้ก็ต้องออกไป แต่ความรักที่เคยให้ เราจึงต้องกล้ำกลืนหันหลังกลับ แต่วันนี้ตนจะไม่หันหลังกลับแล้ว 100%
นายจตุพร กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นปรากฎการณ์เรื่องพลังประชารัฐ จะมีปัญหาในอนาคต เพราะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นผู้มากบารมีในองค์กรอิสระ และถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไปไม่ได้ ส.ว.จะไปไหน และสายสัมพันธ์เครือข่ายระหว่างทักษิณกับ พล.อ.ประวิตร ที่ผ่านการพิสูจน์กรณียิ่งลักษณ์ สามารถออกนอกประเทศได้ ดังนั้น ทำไมถึงไม่ตอบอย่างเด็ดขาด เพราะคนที่ตอบแล้วมีผลผูกพันคือหัวหน้าพรรคที่แถลงว่าจะไม่ร่วมกับพลังประชารัฐ แต่ไม่ตอบ เพราะต้องการเปิดประตูให้ความจำเป็น ถามว่าพล.อ.ประวิตร ได้อะไร ก็นายกฯ ไง
อย่างไรก็ตาม นายจตุพร กล่าวว่า การรับปากส่งเดชทางการเมือง เมื่อมิงผ่านกรณีนายสุชาติ ตันเจริญ จะให้เป็นประธานรัฐสภา แต่ ปชป.งัดเอานายชวน หลีกภัยมา มาข่ม นายสุชาติ จึงยอมถอย แล้วเลือกตั้งปี 2566 สุชาติ ย้ายไปเพื่อไทย ซึ่งคาดจะได้เสียงเป็นอันดับหนึ่ง จึงมีโอกาสเป็นประธานสภา ถ้าถามว่าทำไมแกนนำบางคนของพลังประรัฐย้ายมาเพื่อไทย ตอบว่า เพราะโควตารัฐมนตรีจะมีมากกว่าพลังประชารัฐ โอกาสได้เป็นรัฐมนตรีจึงเปิดกว้างได้มากกว่า
“ถามว่าทำไมจึงมีชื่อสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ซึ่งสายสัมพันธ์ญาติภรรยาจะถูกนำมาใช้คล้ายๆกับแคนดิเดตนายกฯ ไทยรักษาชาติ เมื่อรับปากส่งเดชกับประวิตร ไว้จึงเปลี่ยนยาก ถ้าจะหักประวิตร ผมเชื่อว่ายาก และเดิมพันของประวิตร ไม่ใช่รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เพราะเป็นมาเบื่อแล้ว ใจบันดาลแรงตำแหน่งเดียวคือ นายกฯ ดังนั้น จึงกลายเป็นเงื่อนไขการรับปากส่งเดช แต่ประวิตรจะเป็นนายกฯ ได้ก็ด้วยการโหวตจากเพื่อไทย”
นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าถาม พล.อ.ประวิตรว่า ถ้าเพื่อไทยชวนมาร่วมรัฐบาล ให้อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ แต่ประวิตรเป็นรองนายกฯ จะเอาหรือไม่ เมื่อตัวละครทางการเมืองเดินมาถึงจุดว่า ถ้าจะหักประวิตร ก็หักได้อย่างเดียวในกรณีสุรเกียรติ์ มา แล้วเป็นงานต้มรอบวงอีกเหมือนเดิม แต่ประวิตรไม่ได้หมู และเป็นปัญหาที่คนรับปากส่งเดช
“สุรเกียรติ์ ทำงานรับใช้ใครอยู่ เวลาอย่างนี้จะตัดสินใจอย่างไร ไม่คิดไม่ได้ จึงไม่ง่าย และสุรเกียรติ์ ได้ยินที่ผมพูดก็ต้องรู้ว่า ผมหมายถึงอะไร เพราะปรากฎการณ์ของสรเกียรติ์ เข้ามาก็เพื่อทาบและข่มประวิตร ที่ถูกรับปากไว้ โดยอ้างถึงความจำเป็นและอยู่ในสถานกาณ์พิเศษ ซึ่งไม่มีอะไรสลับซับซ้อนในทางการเมือง”
อีกทั้ง กล่าวว่า เวลานี้คนในเพื่อไทยคงคิดว่า ถ้านายสุรเกียรติ์ ไม่มา แล้วจะทำอะไรกับการรับปากประวิตรให้เป็นนายกฯ ไว้ จึงต้องระวังถึงบารมีในองค์กรอิสระที่จะออกฤทธิ์เดชอีก ประวิตรไม่มีเดิมพันอื่นมีเพียงนายกฯ เท่านั้น
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ คิดเพียงได้เสียง 25 คนก็ได้เป็นนายกฯ แต่ปรากฎการณ์ของพลังประชารัฐกับเพื่อไทย ที่ไม่มีการปฏิเสธให้ชัดในการจับมือกัน ทั้งที่เป็นคำถามตอบง่ายที่สุด ว่าจะร่วมกับประวิตรหรือไม่ กลับตอบอย่างขึงขังว่าจะเอา 3 ป.ออกไป อย่างไรก็ตาม ถ้าร่วมต้องประกาศเลยว่า ให้ประชาชนมาไล่เลย
นายจตุพร กล่าวว่า เราจึงบอกว่า การเมืองกระดานนี้ต้มมาตั้งแต่ปี 2562 ต้มกันจนฉิบหาย แต่คำถามเดียวง่ายๆ คือ ร่วมกับพลังประชารัฐหรือไม่ ก็ไม่มีใครกล้าตอบ ทั้งที่ตอบไม่ยาก แต่ยังไม่กล้าตอบ เอาแต่หลบหลีกไปมาในเรื่องอื่นๆ จนทุกวันนี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กมธ.คุ้มครองผู้บริโภครับลูกเร่งผลักดัน 3 กม.ของภาคประชาชน
'กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค' รับหนังสือแก้ไขกฎหมาย 3 ฉบับ เร่งสภาผลักดัน แก้ปัญหาสินค้าไม่ตรงปก - ติดฉลาก -ให้ข้อมูลโภชนาการไม่สมบูรณ์
แฉอีโม่ง วิ่งเต้นล้มปมชั้น 14 เตือนหยุดทำเถอะ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ให้จับตาดูวันที่ 15 ม.ค.ที่แพทยสภาขีดเส้นตายให้แพทย์รักษาทักษิณ ชินวัตร ชั้น 14 ส่งรายงานการรักษามาตรวจสอบการเอื้อหนีติดคุก แล้วยังต้องติดตามผลตรวจสอบของ ป.ป.ช.กรณีชั้น
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ดร.เสรี ฟาดพรรคขี้โม้-พรรควาทกรรม
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า “พรรคหนึ่งมีแต่วาทกรรม ไม่เคยทำงาน
'อิ๊งค์' เปิดตัว 9 ผู้สมัครนายก อบจ. ดีเอ็นเอเพื่อไทยชัด นามสกุลเดียวกับ สส.เพียบ
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรค และ สส.สระแก้ว , นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
พ่อนายกฯ ลั่นพรรคร่วมรัฐบาลต้องอยู่ด้วยกันจนครบเทอม
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประเมินสถานการณ์การเมืองในปี 2568 ว่า การเมืองคงไม่มีอะไร ยังเหมือนเดิม พรรคร่วมรัฐบาลก็เหมือนเดิม การที่ไม่เห็นด้วยกับอะไรกันบ้าง ก็เป็น