โดดเดี่ยวก้าวไกล 'เพื่อไทย'​ ไม่มีนโยบายแก้ 112 'ณัฐวุฒิ'​ แจงกลัวทำไม่สำเร็จแล้วเกิดความขัดแย้ง

19 พ.ย.2565 - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กโดยมีรายละเอียดดังนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : ตอบคำถามเรื่องมาตรา 112 [ส่วนหนึ่งจากงานเสวนา “ประเทศไทย ยังไงต่อ?” ที่ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต]

ส่วนเรื่องคำถามที่น้องถามตรงมา ผมเรียนอย่างนี้ว่าผมจะตอบจากทัศนะส่วนบุคคลของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และจะตอบจากจุดยืนหรือมุมมองของพรรคเพื่อไทยไปในคราวเดียวกัน

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นกฎหมายเพื่อคุ้มครองประมุขแห่งรัฐ ซึ่งผมเห็นว่ามีได้ เพราะหลาย ๆ ประเทศเขาก็มี แต่ถ้ามี มันมีเรื่องที่จะต้องพูดกันด้วยเหตุด้วยผล 2 อย่าง คือ 1) เนื้อหา และ 2) การบังคับใช้
ผมเห็นว่าปัจจุบันนี้ที่ประเด็นมาตรา 112 เป็นประเด็นใหญ่ในกลุ่มผู้คนจำนวนกว้างขึ้นทุกทีในสังคม มันมาจากทั้งเนื้อหาและการบังคับใช้นี่แหละครับ

การกำหนดอัตราโทษขั้นต่ำ ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรที่จะได้รับการทบทวน

การบังคับใช้โดยให้ใครที่ไหนก็ตามสามารถที่จะแจ้งความดำเนินคดีกันในมาตรานี้ได้ ไปแจ้งจังหวัดไหนกันก็ได้ แจ้งกันแบบไหนกันก็ได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วงใยกังวล

ประการต่อมาก็คือว่าเมื่อกระบวนการพิจารณาคดีนี้เข้าสู่ระบบยุติธรรมก็พบว่าไปมีปัญหาเพิ่มในบางประการ เช่น การใช้ดุลยพินิจในการให้ประกันตัวผู้ถูกกล่าวหาระหว่างพิจารณาคดี หรือ กระบวนการพิจารณาซึ่งในบางคดีปรากฎข้อเท็จจริงว่ามันไม่ได้ทำกันโดยเปิดเผย หรือ มีเรื่องที่ถูกตั้งคำถามเรื่องหลักนิติธรรม รวมความก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้หากยังคงเดินหน้าไปแบบเดิม ผมเห็นว่าไม่เป็นผลดีกับใครฝ่ายใดเลย กระทั่งสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม

ดังนั้นในทัศนะผม เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนและเปราะบางมากแล้ว ทั้งที่ควรจะพูดคุยกันได้ในที่ปลอดภัยด้วยข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลและความเป็นไปของยุคสมัย ผมเห็นว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ควรจะต้องมีการพิจารณาเรื่องการบังคับใช้เป็นประเด็นแรกเสียก่อน เพราะขณะนี้กฎหมายมาตรานี้หาได้หมายเพียงกฎหมายคุ้มครององค์ประมุขของรัฐเท่านั้นไม่ แต่กฎหมายนี้ได้ถูกขยายผล กลายเป็นพื้นที่ขัดแย้งสูงสุดในสังคมไทย ฝ่ายที่บอกว่าควรแก้ก็กล่าวเหตุผลว่าเพราะอำนาจรัฐใช้กฎหมายมาตรานี้ขัดกับหลักนิติธรรม ฝ่ายที่บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ก็กล่าวหาฝ่ายที่จะแก้ว่ามีความมุ่งหมายโค่นล้มสถาบัน แล้วความเห็นของสองฝ่ายนี้ ขณะนี้ไม่มีตรงกลางที่จะนั่งคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยความปรารถนาดีต่อกันได้เลย

ดังนั้น เมื่อสังคมมันยังเป็นอย่างนี้ ผมเห็นว่าหากประกาศเป็นนโยบายของพรรคการเมือง กลับไปที่ประเด็นซึ่งผมได้พูดก่อนหน้านี้นะครับ จุดยืนและเครื่องหมายสำคัญทางการค้าของพรรคเพื่อไทยคือ เราจะประกาศนโยบายที่มั่นใจว่าทำสำเร็จได้จริง ประเด็นคือเรื่องนี้ภายใต้บริบทของสังคมไทยปัจจุบันเกรงว่าจะทำไม่สำเร็จได้จริง แล้วนอกจากจะทำไม่สำเร็จได้จริงแล้ว สถานการณ์อาจจะเดินไปถึงขั้นพาลจะไม่ได้ทำเรื่องอื่นเอา หมายความว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หมายความว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องรายได้ เรื่องหนี้ หรือเรื่องอื่น ๆ ซึ่งเราก็เห็นว่าสำคัญต่อชีวิตประชาชนไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ดังนั้น ผมเห็นว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เรื่องที่จะต้องทำสำหรับประเด็นนี้ก็คือ

1) ต้องดูแลการบังคับใช้ อย่าให้มีปัญหา หรืออย่าให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตามทางการเมือง

2) กระบวนการใช้ดุลยพินิจในการให้หรือไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องขัง เรื่องนี้รัฐบาลสามารถแสดงบทบาทหรือท่าทีได้ ผมไม่ได้บอกว่ารัฐบาลควรไปแทรกแซงกลไกศาลนะครับ แต่ประสบการณ์ผม ผมถูกจำคุก 8-9 เดือน เมื่อปี 2553 ผมประกัน 20-30 ครั้ง ไม่ได้รับการอนุญาต วันหนึ่งพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเวลานั้น ยอมขึ้นศาลเป็นพยานไต่สวนคำร้องขอประกันพวกผม 9 คน ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธานคอป., พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ในฐานะนายตำรวจที่ได้รับมอบหมายให้ประสานงานกับผู้ชุมนุมเมื่อปี 2553 ขึ้นเป็นพยาน หลังจากการไต่สวนครั้งนั้นพวกผม 9 คน ได้รับการประกันตัว ดังนั้นผมคิดว่ารัฐก็ควรจะมีท่วงทำนองท่าทีในการหารือเพื่อไม่ให้เรื่องนี้กลายเป็นบาดแผลลุกลามในสังคม แล้วอย่างที่ผมเรียนนะครับ จะไม่เป็นผลดีกับใครฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสถาบันใดเลยเท่าที่มันเป็นอยู่

ผมเป็นพ่อคนนะครับ ผมติดคุกมาแล้ว 3 รอบ แล้วเป็นไปได้ว่าผมอาจจะต้องติดคุกอีก เพราะคดีมันมีอยู่มาก ผมไม่มีเรื่องฉ้อเรื่องโกงนะครับ ผมมีคดีที่ผมสู้ตามสิ่งที่ผมเชื่อ ผมเสียใจและเจ็บปวดที่เห็นคนรุ่นลูกรุ่นหลานผมติดคุก ผมเจ็บปวดที่ทำไมอนาคตของชาติซึ่งควรอยู่ในห้องเรียนต้องไปอยู่ในห้องขัง ผมอยู่ในเรือนจำเมื่อปี 2563 ผมทั้งประหลาดและตกใจไปพร้อม ๆ กันว่าอยู่ ๆ มันเกิดปรากฏการณ์ขึ้นข้างนอกอย่างไม่มีใครคิดใครเชื่อว่ามันจะเป็นขึ้นมาได้ แล้วในท้ายที่สุดน้อง ๆ เหล่านั้นหลายคนถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ผมมีทั้งมุมที่เห็นด้วยและมุมที่ห่วงใยในการต่อสู้ของพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาถูกส่งเข้ามาในเรือนจำ บางคนน่ะเป็นลูกผมได้ ผมแบกข้าวแบกน้ำ ผมดูแลความปลอดภัย ผมทำหน้าที่เสมือนการ์ดของพวกเขาในเรือนจำด้วยลำพังตัวผมคนเดียวสุดกำลังที่ผมทำได้ เพราะผมเห็นว่าผมควรเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่ถูกขังเพราะความเชื่อหรือความคิดทางการเมือง

ดังนั้น เรื่องนี้สำหรับผมเป็นประเด็นที่จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลและค่อย ๆ คลี่คลาย อย่าให้เป็นเงื่อนไขทางการเมือง อย่าให้เป็นความขัดแย้งกันต่อไป ถ้าในระยะสั้นการประกาศแก้ไขเรื่องนี้ซึ่งหากมีการประกาศ ผมเคารพนะครับ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ แต่ผมเห็นว่ายากที่จะสำเร็จได้และอาจจะกลายเป็นเงื่อนไขในการที่จะเกิดความขัดแย้งใหญ่ และอย่างที่เรียนฮะ มันจะไม่ได้ทำอย่างอื่น

ดังนั้นจุดยืนผมเป็นแบบนี้ จุดยืนของพรรคเพื่อไทยก็ได้พูดไปแล้ว ผมคิดว่ามันมีความชัดเจนอยู่ในตัว ประการสำคัญก็คือผมยืนยันว่าความเชื่อของผมคือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ผมยืนยันว่าสังคมนี้คนคิดต่างกันอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องทำลายล้างกันให้สิ้นไปไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม และต่อให้ถึงที่สุดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะชนะเด็ดขาด ก็ไม่มีทางที่สังคมนี้จะเหลือความคิดแบบเดียว มันจะมีความคิดแตกต่างปะปนกันอยู่นั่นเอง

ถ้าหากวันนี้สิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงบรรดาผู้มีอำนาจอยู่ได้ และผมแสดงท่าทีผ่านพื้นที่ออนไลน์ของผมตลอด ก็คือปล่อยเด็กออกจากคุกเถอะครับ เอาลูกเอาหลานไปขัง ไปทุบ ไปตี มันไม่ใช่การแก้ปัญหา วันนี้สิ่งที่ลูก ๆ หลาน ๆ แสดงออกมา ลูก ๆ หลาน ๆ ไม่ใช่เหตุของปัญหา แต่เป็นผลของมัน เป็นผลของอะไร เป็นผลของการขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยมาสิบกว่าปี พวกคุณมีความชอบธรรมที่คุณจะลุกขึ้นทวงถามอนาคตของตัวเอง พวกคุณมีความชอบธรรมที่จะลุกขึ้นบอกว่าไอ้ที่ผ่านมาสิบกว่าปีผมไม่เอาแบบนี้ ผมต้องการสังคมอย่างที่ผมเชื่อ ผมต้องการอนาคตที่ผมไขว่คว้าจับต้องได้ พวกคุณมีความชอบธรรมที่จะทำสิ่งนั้น

แต่ขอให้คุณตระหนักถึงความจริงของสถานการณ์ ขอให้คุณตระหนักถึงความเป็นไปได้ในบริบทนั้น ๆ และขอให้คุณรู้ว่า แม้ว่าคนที่อาวุโสกว่าพวกคุณอาจจะไม่ได้ทำอะไรเหมือนที่คุณอยากเห็น อาจจะไม่ได้พูดอะไรเหมือนที่คุณอยากฟังมาก ๆ แต่หัวใจคนแบบผมไม่เคยอยู่ห่างพวกคุณนะ ผมออกมาจากคุกได้ไม่นาน พอผมแถลงว่ายืนเคียงข้างคนหนุ่มคนสาว “คดี” ผมก็มาเพิ่ม พรรคพวกที่เป็นนักการเมืองบอกว่ามึงไปยุ่งทำไม? เดี๋ยวมึงก็เข้าไปอีก แต่ถ้าผมจะต้องติดคุกอีกนะ ติดให้เสร็จในรุ่นผมดีกว่า อย่าให้ผมต้องขึ้นศาลไปวิ่งประกันลูกตัวเองเลย ผมคิดว่ามันปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ธรรมนัส' รูดซิปปาก! ไม่รู้ 'วัน อยู่บำรุง' ย้ายซบพลังประชารัฐ เรื่องของบิ๊กป้อม

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงกรณี นายวัน อยู่บำรุง อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย จะย้ายไปสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐในวันอังคารที่ 23 ก.ค.นี้โดยระบุสั้นๆว่า ตนไม่ทราบ

‘อยู่บำรุง’ อยู่บ้านป่า เลือกนายดูนํ้าใจ ‘เหลิม’ รอเพื่อไทยขับ ‘วัน’ เปิดตัว พปชร. 23 ก.ค.

"ทักษิณ" หอบหลานไปเลี้ยงที่เขาใหญ่ “อนุทิน” เปิดรีสอร์ตต้อนรับ ร่วมร้องเพลงสนุกสนาน "เหลิม-วัน" ซบพลังประชารัฐ ปิดดีล ของแท้ เปิดตัว 23 ก.ค. เผยสัมพันธ์

จับตาเปิดตัว 'วัน อยู่บำรุง' ซบพลังประชารัฐ 23 ก.ค.นี้ ยังมีไหลเข้าตามมาอีก

นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม โพสต์เฟสบุ๊คระบุถึงกรณีที่นายวัน อยู่บำรุง เตรียมย้ายไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ว่า ”ปิดดีล ของแท้....อังคารนี้ บ่ายสาม รอพี่หนุ่ม เปิดตัว... มีคนตามมาอีกเพียบ...งานนี้ของแท้..

เคลื่อนไหวทันควัน! 'กาโม่ อาชวิน' ทายาทอยู่บำรุง โพสต์ชี้แจงหลัง 'เฉลิม' จะพาเข้า พปชร.ด้วยกัน

นายอาชวิน อยู่บำรุง หรือ กาโม่ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม บุตรชายนายวัน อยู่บำรุง อดีต สส.กทม. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า จากที่มีการได้กล่าวถึงชื่อผม

'เฉลิม' ยืนยันหอบตระกูล 'อยู่บำรุง' ย้ายซบพลังประชารัฐ แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกระแสข่าวที่จะย้ายไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า เป็นเรื่องจริง 1 ล้านเปอร์เซ็นต์ โดยตนรู้จักกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. มานานกว่า 30 ปี หากพรรคพท.มีมติขับ

'อิ๊งค์-ทักษิณ' พาครอบครัวเที่ยวสุดสัปดาห์ที่เขาใหญ่ 'อนุทิน' เปิดรีสอร์ต ต้อนรับ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมกับครอบครัว ได้ใช้ช่วงสุด