เพื่อไทยจวก ‘ประยุทธ์’ เปิดทางต่างชาติครอบครองที่ดิน จี้ล้มเลิก ห่วงชาติเสียแผ่นดิน หนุนข้อเสนอจัดสรรที่ดิน สร้างการหมุนเวียนเศรษฐกิจ
6 พ.ย.2565 – นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้แม้จะมีกระแสสังคมต้านทานถึงการออกกฎกระทรวงว่าด้วยการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ ที่มีมติการประชุม ครม.ออกมาเมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่พลเอกประยุทธ์ ไม่มีทีท่าว่าจะล้มเลิกความตั้งใจในการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ เวลานี้พลเอกประยุทธ์ต้องเลิกห่วงเสียหน้า หันมาห่วงเสียแผ่นดิน เพราะแนวคิดการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเอาที่ดินของชาติไปแลก ได้รับฉันทามติคัดค้านต่อต้านจากพี่น้องประชาชนคนไทยแล้ว แม้กระทั่งจากกลุ่มที่เคยเป็นผู้นิยมตัวพลเอกประยุทธ์เองก็ไม่เห็นด้วย
“การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ รัฐบาลที่นำโดยไทยรักไทย พลังประชาชนและเพื่อไทย มีแนวทางปฏิบัติหลากหลายรูปแบบ แต่ยังไม่เคยเห็นรัฐบาลใดสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องผ่อนปรนกฎหมายขายที่ดินกับต่างชาติ แลกกับการลงทุนในรูปแบบของการให้กู้เงินความเสี่ยงต่ำระยะสั้นแค่3ปี เปิดช่องให้ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาจับจองถือกรรมสิทธิ์ถาวรที่ดินในประเทศไทย ในระหว่างที่คนไทยในเมืองจำนวนมากเองยังถูกละเลยให้ไร้กรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ไม่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้ ส่วนประชาชนในต่างจังหวัดจำนวนมากก็ยังเข้าไม่ถึงสิทธิในที่ดินทำกิน” นายชนินทร์ กล่าว
นายชนินทร์ ระบุว่า จึงอยากเสนอว่าสิ่งที่รัฐบาลควรมุ่งทำมากกว่าในเวลานี้ คือ 1. จัดสรรที่ดินรกร้างว่างเปล่าของรัฐในเมือง เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาประหยัดเป็นสวัสดิการให้แก่ประชาชนที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเมือง 2. จัดสรรกรรมสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์บนที่ดินของรัฐ ให้แก่ประชาชนที่ยังเข้าไม่ถึงที่ดินทำกินได้เข้าไปประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ และสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
“รัฐบาลคงยังไม่เข้าใจว่า การดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติที่มั่นคงและส่งผลบวกระยะยาว ต้องแก้ปัญหาที่ข้อจำกัดของกฎหมายที่วุ่นวายยุ่งยาก และการขาดข้อตกลงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่จะช่วยขยายขนาดของตลาดผู้ซื้อจากการผลิตในประเทศไทย ให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการส่งออกของภูมิภาคที่แท้จริง แต่การกระตุ้นในแบบที่พลเอกประยุทธ์อยากทำ เป็นการเอาทรัพย์สินถาวรของชาติไปแลกเงินกู้เงินลงทุนระยะสั้น ไม่ก่อให้เกิดการสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงในระยะยาว” นายชนินทร์ ระบุ
นายชนินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ได้พิสูจน์แก่สายตาประชาชนแล้วว่าเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวในการสร้างเศรษฐกิจ เงินกู้ลงทุนที่กู้มามากเพียงใดก็จมหายไปกับนโยบายแจกเงินที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่ก่อให้เกิดการหมุนรอบซ้ำของเงินต่อด้วยตัวเอง เพราะขาดการสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ดี ให้คนอยากลงทุน อยากใช้จ่าย อยากประกอบธุรกิจต่อ แต่กลับกันพลเอกประยุทธ์มุ่งแต่ทำให้ประชาชนติดอยู่กับความกลัว ความไม่มีหวัง และไม่เห็นอนาคตที่ดีกว่าของตัวเอง
“พลเอกประยุทธ์ต้องเลิกบริหารเศรษฐกิจ ด้วยการเอาผลประโยชน์ประเทศมาแลกการลงทุนจากต่างชาติและทุนใหญ่ เพราะวิธีการนี้มีแต่จะขยายความเหลื่อมล้ำในประเทศ และผูกขาดการลงทุนไว้ที่คนกลุ่มน้อยในสังคม หากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเราจะมุ่งสร้างความพร้อมทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม ให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงโอกาสในการทำธุรกิจ เปิดประตูการแข่งขัน และปลุกความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆให้กับการลงทุนในประเทศ” นายชนินทร์ กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เฉลิมพระเกียรติ ‘ในหลวง‘ ทส.-มท. ลุยแหล่งน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ภัยแล้ง
‘เกณิกา’ เผย ‘ทส.-มท.’ จับมือเดินหน้าสานต่อ โครงการแหล่งน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ 72 แห่งเฉลิมพระเกียรติ ในหลวง ครบ 6 รอบ 72 พรรษา
รัฐบาลชวนปชช. จอง-แลกเหรียญเฉลิมพระเกียรติ 'ในหลวง' เริ่ม 24 ก.ค.
รัฐบาลเชิญชวนประชาชน จอง-แลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก เหรียญที่ระลึก และเหรียญเฉลิมพระเกียรติ 'ในหลวง' เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ตั้งแต่ 24 ก.ค.นี้
'เศรษฐา' อย่าสับสน! โพลวัดผลงาน ไม่ใช่เรตติ้งนายกฯ
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อย่าสับสน !!! ระหว่างผลงาน กับการเลือกนายกฯ คนต่อไป
เพื่อไทย แขวน 'เหลิม ไขก๊อก' โยนให้ผู้ใหญ่คุยกัน
“วิสุทธิ์” เผย 'คกก.จริยธรรมพรรค' ยังไม่เรียกถกปม ‘เฉลิม’ อยากไขก๊อกพ้น ‘เพื่อไทย’ ชี้ เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องคุยกัน
เทวฤทธิ์ -กลุ่มสว.พันธุ์ใหม่ เสรีนิยมก้าวหน้า ปฏิรูปสภาสูง
สมาชิกวุฒิสภา(สว.)ชุดปัจจุบัน 200 คน จะประชุมร่วมกันนัดแรกในวันอังคารนี้ 23 ก.ค. โดยมีระเบียบวาระสำคัญที่จะให้สว.ทั้งหมดร่วมกันประชุมลงมติ นั่นก็คือ
พรรคร่วมรัฐบาลขอเขย่า ไม่ตกเป็น'หมูในอวย'พท.
แม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาล นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ฯลฯ จะยอมผ่านเรือธงของพรรคเพื่อไทย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต แจกเงิน 1 หมื่นบาทให้แก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน