'ธีระชัย'ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง'ประยุทธ์'เกี่ยวกับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกฯชี้ไม่ได้ลาออกจากหัวหน้าคสช. เสียก่อนจึงไม่ใช่ผู้ทรงสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง จึงไม่มีคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นนายกฯตามรธน. ต้องนับเวลาตามการดำรงตำแหน่งในความเป็นจริงก่อนรธน.ปี 60 คือ 24ส.ค.57
27ก.ค.2565-นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เผยแพร่ จดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีเนื้อหาดังนี้
จดหมายเปิดผนึกเกี่ยวกับระยะเวลาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ด่วนที่สุด
วันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เรื่อง ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการดำรงตำแหน่งเกิน ๘ ปี
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ตามที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ ซึ่งจะครบกำหนด ๘ ปีในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๕ และมีปัญหาว่ากรณีที่ท่านดำรงตำแหน่งภายหลังจากนั้น จะเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ หรือไม่ นั้น
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า การดำรงตำแหน่งภายหลังวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๕ จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมายโดยนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี บุคคลที่แต่งตั้งให้ทำหน้าที่ด้านการเมืองโดยคณะรัฐมนตรี และบุคคลอื่นที่คล้ายกัน จึงขอแจ้งความเห็นแก่ท่านเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่การบริหารราชการแผ่นดิน ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
ข้อ ๑. ไม่อาจนับระยะเวลาจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี ๒๕๖๒
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) ปฏิบัติฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๙๘ , มาตรา ๑๖๐ (๖) ในการเลือกตั้งปี ๒๕๖๒ ดังนี้
(๑) เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) ได้ทำหนังสือยินยอมให้พรรคพลังประชารัฐ เพื่อเป็นตัวแทนของพรรคเพียงรายชื่อเดียวในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๘๘ และ ๘๙
(๒) เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ พรรคพลังประชารัฐได้ยื่นรายชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อันเป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๘๘ และ ๘๙ ประกอบ พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๐ ประกอบมาตรา ๑๕ (๑๒) โดยพรรคพลังประชารัฐมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อดำเนินกิจการทางการเมืองตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(๓) เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ กกต. ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับการพิจารณาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นลำดับที่ ๓๐
(๔) เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ รัฐสภาโดย ส.ส.ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลและ ส.ว.เสียงข้างมากได้ลงมติให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕๙
(๕) การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ได้ลาออกจากหัวหน้า คสช. เสียก่อน จึงไม่ได้เป็นผู้ที่มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่จะเป็นผู้ทรงสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้ง และเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๙๘ , มาตรา ๑๖๐ (๖) รวมทั้งเป็นการฝ่าฝืนหลักนิติธรรมอันเป็นหลักพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ และฝ่าฝืนประเพณีการปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยฝ่าฝืนหลักนิติศาสตร์ที่ว่า “รัฐ (รวมถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) มิอาจเป็นได้ทั้งผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพและผู้ถูกผูกพันอยู่กับสิทธิเสรีภาพในเวลาเดียวกันหรือพร้อมกันได้” อันเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๓ วรรคสอง , มาตรา ๕ , ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ ๓๐ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อบทที่ ๒ , ข้อบทที่ ๕ และ ข้อบทที่ ๒๕
(๖) กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยเข้าเป็นภาคีเมื่อ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๙ และมีผลใช้บังคับเมื่อ ๓๐ มกราคม ๒๕๔๐ นั้น ข้อบทที่ ๒๕ กำหนดว่า “พลเมืองทุกคนย่อมมีสิทธิและโอกาสโดยปราศจากความแตกต่างดังกล่าวไว้ในข้อ ๒ และโดยปราศจากข้อจำกัดอันไม่สมควร .. (ข) ในการที่จะออกเสียงหรือได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งอันแท้จริงตามวาระซึ่งมีการออกเสียงโดยทั่วไปและเสมอภาคและโดยการลงคะแนนลับเพื่อประกันการแสดงเจตนาโดยเสรีของผู้เลือก”
ดังนั้น จึงเป็นข้อกำหนดในระดับสากลที่ชัดเจนว่า พลเมืองเท่านั้นที่เป็นผู้ที่มีสิทธิเสรีภาพ มิใช่รัฐเป็นผู้ที่มีสิทธิเสรีภาพ
(๗) เนื่องจากหลักการนิติศาสตร์ว่า “รัฐมิอาจเป็นได้ทั้งผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพและผู้ถูกผูกพันอยู่กับสิทธิเสรีภาพในเวลาเดียวกันหรือพร้อมกันได้” นั้น ย่อมได้รับความคุ้มครองและมีความผูกพันต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๓ วรรคสอง , มาตรา ๕ วรรคสอง , มาตรา ๒๕ , มาตรา ๕๑ , มาตรา ๕๓ ประกอบรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ มาตรา ๒๖ , มาตรา ๒๗ , และรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๒๖ , มาตรา ๒๗
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า ขั้นตอนการเลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีดังที่บรรยายข้างต้น อาจจะมิชอบ และอาจจะส่งผลให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่มีฐานะเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงบัดนี้
(๘) ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ลงชื่อโดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (ส.ส.๔/๓๑) นั้น เป็นผลมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๘๘ ซึ่งประกาศดังกล่าวต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๘๙ บัญญัติไว้ด้วย
แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศดังกล่าว โดยมีข้อความในหน้าที่ ๔ ว่า “๓๐. พรรคพลังประชารัฐ (๑) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” ทั้ง ๆ ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาไม่ใช่ผู้ทรงสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง จึงไม่มีคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๖๐ ซึ่งการออกประกาศดังกล่าวนั้น ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๘๙ วรรคสอง ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในประกาศดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งอาจจะส่งผลถึงสถานะของคณะรัฐมนตรีด้วย
ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ไม่มีฐานะตามกฎหมายด้วยเหตุผลเดียวกันข้างต้น และหลักการนิติศาสตร์ว่า “รัฐมิอาจเป็นได้ทั้งผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพและผู้ถูกผูกพันอยู่กับสิทธิเสรีภาพในเวลาเดียวกันหรือพร้อมกันได้” นั้น มีความผูกพันต่อ คณะรัฐมนตรี และต่อศาลทุกศาลด้วย
กรณีข้างต้น ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า การนับระยะเวลาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ นั้น ไม่อาจนับได้จากการเลือกตั้งทั่วไปในปี ๒๕๖๒
ข้อ ๒. ไม่อาจนับเวลาจากวันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ หน้าที่ ๑ ถึงหน้าที่ ๓ ปรากฏชัดแจ้งว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นผู้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีในการนำความกราบบังคมทูลเพื่อการตรารัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยปรากฏการอ้างถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในหน้าที่ ๑ ถึงหน้าที่ ๓ จำนวน ๓ ครั้ง และในหน้าสุดท้าย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในฐานะนายกรัฐมนตรีก็เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ อีกทั้งบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๗๙ วรรคสอง ก็ระบุว่า
“บรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ ว่าเป็นการชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งการกระทําที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ให้ถือว่าการนั้นและการกระทํานั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมาย”
ดังนั้น การนับเวลาดำรงตำแหน่งจึงต้องย้อนไปก่อนหน้ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มิใช่นับตั้งแต่วันบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ โดยจะต้องนับเวลาตามการดำรงตำแหน่งในความเป็นจริง ตั้งแต่วันที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอันเนื่องมาจากเป็นหัวหน้าคณะ คสช. หรืออย่างช้าที่สุด คือวันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี คือจะต้องนับตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๗ ถือเป็นการดำรงตำแหน่งต่อเนื่องกันจนถึงปัจจุบันนี้
ทั้งนี้ หากไม่มีการนับเวลาในการดำรงตำแหน่งตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ก็จะไม่มีหนทางใด วิธีการใด ที่จะนับเวลาเริ่มต้นในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้เลย และส่งผลให้โอกาสดำรงตำแหน่งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในฐานะนายกรัฐมนตรียังคงมีอยู่ตลอดไป ไม่มีระยะเวลาในการสิ้นสุดลงแต่อย่างใด ซึ่งขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ และเป็นการส่งเสริม สนับสนุน ยินยอม ให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร และเป็นการไม่รับใช้ประชาชนอีกด้วยเพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๓ และขัดต่อหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่า “บุคคลใดจะได้รับประโยชน์จากการฉ้อฉล หรือความผิดของตนเอง หาได้ไม่”
ข้อ ๓. อาจเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๑๗๑ บัญญัติไว้ว่า
“เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสําหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
จึงมีความเสี่ยงที่บุคคลที่เกี่ยวข้องอาจจะมีความผิดในการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายภายหลังวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๕ ในรูปของเงินเดือน ค่าตอบแทน ค่าใช้จ่ายต่างๆ การใช้ยานพาหนะในตำแหน่ง การใช้บ้านพักราชการ การใช้สิทธิในการเดินทาง โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องอาจรวมไปถึง นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล บุคคลที่แต่งตั้งให้ทำหน้าที่ด้านการเมืองโดยคณะรัฐมนตรี และบุคคลอื่นที่คล้ายกัน ซึ่งจะก่อความเสี่ยงทั้งต่อบุคคล และต่อฐานะเศรษฐกิจของประเทศ
ข้าพเจ้าจึงขอปฏิบัติหน้าที่ของปวงชนชาวไทยตามมาตรา ๕๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ แจ้งข้อมูลนี้เพื่อประโยชน์แก่ท่าน
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
(นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล)
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ลุงป้อม' เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ รับอวยพรปีใหม่
'ลุงป้อม' สดใส เปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯ รับอวยพรปีใหม่ ย้ำพระราชเสาวนีย์พระพันปีหลวง ปกป้องป่าให้ลูกหลาน ด้าน ผบ.เหล่าทัพ ทยอยอวยพร 3 ป. วานนี้
'ธีระชัย' สับมาตรการแก้หนี้ 'คุณสู้ เราช่วย' หากลูกหนี้ผิดเงื่อนไข เท่ากับเอาภาษีไปหนุนสถาบันการเงิน
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง และประธานร่วมศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคลังประชารัฐ แถลงว่า มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐบาลในโครงการ "คุณสู้-เราช่วย" มีข้อบกพร่องสำคัญ
'ธีระชัย' ฟันเปรี้ยง! ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส เหตุ กัมพูชา รุกล้ำทะเลอาณาเขตของไทย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส
ข้อความจาก 'อดีตรมว.คลัง' ถึงพรรคร่วมรัฐบาล 'MOU44 เป็นการละเมิดพระราชอำนาจ'
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังปร
'ธีระชัย-หม่อมกร' ตอกย้ำ MOU 44 โมฆะ ทำผิดขั้นตอน เสียเหลี่ยมกัมพูชา เสี่ยงเสียดินแดน
'ธีระชัย-หม่อมกร' ตอกย้ำ MOU 44 โมฆะตั้งแต่ต้น ชี้เขตพัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา ทำผิดขั้นตอน ต่างจากทุกกรณี เกิด MOU ขึ้นก่อนแล้วอ้างว่า MOU เป็นกรอบเจรจา เสียเหลี่ยม ตกหลุมพราง กัมพูชา เสี่ยงเสียดินแดน
'อดีตรมว.คลัง' ขุดหลักฐาน 'สุรเกียรติ์' ก่อข้อสงสัย ไทยตีความฝ่ายเดียว 'เกาะกูด' เป็นของไทย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประ