15 มิ.ย.2565 - รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยแพร่บทความเรื่อง "บำนาญประชาชน 3,000 บาท/เดือน : หนทางสู่หายนะทางการคลัง ลงในเฟซบุ๊ก Suvinai Pornavalai โดยมีรายละเอียดดังนี้
พรรคการเมืองหลายพรรคกำลังเสนอประเด็นนี้เพื่อหาเสียงเหมือนเช่นโครงการ “30 บาทรักษาทุกโรค”
หลักการและเหตุผลที่นำมาอ้างเท่าที่ตรวจสอบได้ก็คือ
(ก) เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนควรได้รับ และ
(ข) ผู้สูงอายุไทยส่วนใหญ่ไม่มีความมั่นคงทางการเงิน
หากจะให้พึ่งพาเบี้ยผู้สูงอายุก็อ้างว่าต่ำกว่าเส้นความยากจน ไม่พอเพียงในการดำรงชีพ (ตรรกะเหตุผลของคณะกรรมธิการการสวัสดิการสังคม สภาผู้แทนราษฎร ชุดปัจจุบัน)
ประเด็นสำคัญก็คือ บำนาญประชาชนเป็นเรื่องสวัสดิการที่รัฐต้องจัดให้หรือไม่ ?
เท่าที่ตรวจสอบในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าเป็นสิทธิของประชาชนหรือเป็นหน้าที่ของรัฐที่พึงจัดหาให้แต่อย่างใด
เพราะโดยหลักการแล้ว บำนาญเป็นเรื่องการออมส่วนบุคคล
ผู้ที่จะรับบำนาญต้องอดออมด้วย “เงินตนเอง” ส่วนจะมีใครช่วยสมทบเงินออมด้วย เช่น นายจ้างหรือรัฐบาล ก็อีกเรื่องหนึ่ง
บำนาญจึงไม่ใช่ “สวัสดิการสังคม” เหมือนอย่างโครงการประกันสุขภาพเช่น “30 บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งที่จริงก็ผิดฝาผิดตัวมาตั้งแต่หลักการเหมือนกัน
ผู้ที่ได้รับบำนาญในสังคมไทยปัจจุบันล้วนต้องออมก่อนเท่านั้น แม้แต่บำนาญของ สส.สว. ก็เช่นกัน ต้องออมส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายเมื่อยามเกษียณ
ส่วนข้าราชการนั้นแม้จะมิได้ส่งเงินออมอย่างเป็นรูปธรรมโดยชัดแจ้ง แต่ก็แฝงอยู่ในเงินเดือนที่รับต่ำกว่าภาคเอกชนมาโดยตลอด
เงินบำนาญและสวัสดิการรักษาพยาบาลจึงเป็นสิ่งที่เป็นเครื่องล่อใจให้คนเข้ารับราชการและเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขการจ้างงานตั้งแต่เข้าทำงาน
หากฝ่ายการเมืองนำประเด็นนี้มาหาเสียงว่าจะทำโดยเอาอำนาจจากหีบบัตรเลือกตั้งมาฝืนหลักการ
ประเด็นที่ไปต่อได้ลำบากก็คือ ระบบบำนาญที่ดีนั้น เงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งก็คือ แหล่งที่มาของเงินจะต้อง “พอเพียง” ที่จะทำให้ “ยั่งยืน” รองรับรายจ่ายบำนาญที่จะเกิดขึ้น
ประเทศไทยกำลังเป็น สังคมแก่ก่อนรวย ผิดกับญี่ปุ่นหรืออีกหลายประเทศที่ รวยก่อนแก่
คนแก่ที่ยากจนมันแย่กว่าคนจนที่ไม่แก่เพราะคนหนุ่มสาวยังไปหางานทำแก้จนได้ ประชากรคนแก่ที่เพิ่มสัดส่วนขึ้นเรื่อยๆเช่นไทยหากฝ่ายการเมืองอุตริทำอะไรอุบาทว์เช่นนี้ ภาระการเงินจะตกอยู่กับประชาชนโดยถ้วนหน้าอย่างแน่นอน
ในปีพ.ศ. 2563 มีคนแก่ประมาณ 12 ล้านคน ถ้าทุกคนได้เงินบำนาญ 3,000 บ/เดือน หรือ 36,000 บาท/ปี ฟรีโดยไม่ต้องส่งเงินสมทบ รัฐจะต้องจ่ายเงินกว่า 432,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 20 ของเงินภาษีที่เก็บได้ทั้งหมดหรือเท่าๆกับภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บได้ทั้งปี!
โดยที่งบรายจ่ายประจำส่วนนี้จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนคนแก่ที่เพิ่มขึ้น เช่นในอีก 10 ปีข้างหน้าจะต้องมีรายจ่ายประจำส่วนนี้ถึงกว่า 6 แสนล้านบาทต่อปี ทำให้เหลือเงินไปใช้อย่างอื่นน้อยลงไปเรื่อยๆ
อะไรคือทางออก ?
ถ้าคิดแบบที่นักการเมืองอุตริคิดโครงการนี้คือให้ฟรีแบบถ้วนหน้า มันไปไม่ไหวแน่นอน !
ทางแก้ถ้าประชาชนอยากจะมีบำนาญ ก็ต้องเริ่มที่ต้นตอ คือต้องออมสำหรับพวกที่ยังไม่เกษียณจะด้วยภาคบังคับ/สมัครใจก็ตามแต่การให้ฟรียิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำ
ส่วนพวกที่เกษียณแล้วอาจต้องออมหรือรับภาระโดยลูกหลานแทนเพราะกว่าลูกจะโตมาก็ต้องอาศัยพ่อแม่เลี้ยงดูจะมาผลักเป็นภาระรัฐทั้งหมดก็คงไม่ได้
ขนบที่เป็นสถาบันในเรื่อง “กตัญญ” จึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่แนวคิดอุบาทว์แบบว่า “พ่อแม่ทำให้กูเกิดมาดังนั้นพ่อแม่จึงต้องเลี้ยงดูพวกกู” อย่างนี้เวลาพ่อแม่แก่หรือตัวเองแก่แล้วใครจะเป็น safety netให้?
การใช้เส้นความยากจนมาเป็นบรรทัดฐานเรื่องความพอเพียงด้านสวัสดิการมันสะท้อนถึงพื้นฐานแนวคิดที่อ่อนด้อยด้านวิชาการของนักการเมืองและมุ่งจะเอาชนะทางการเมืองโดยไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศชาติ
อย่าลืมว่าความยากจนด้านอาหาร (food poverty line) นั้นรัฐดูแลอยู่แล้วอย่างน้อยที่สุดผ่านโครงการประกันสุขภาพและเบี้ยผู้สูงอายุ ทำให้กล่าวได้ว่าไม่มีการขาดสารอาหารจนดำรงชีพอยู่ไม่ได้
ส่วนที่ไม่ใช่ความยากจนด้านอาหารที่มักวัดเป็นตัวเงินนั้นมันเป็นความจนเชิงเปรียบเทียบ ดังนั้นจึงมิใช่ความยากจนที่แท้จริง จะให้รัฐแก้ไขส่วนนี้ไปได้อย่างไร เศรษฐีเงินล้านที่ยังคิดว่าตัวเองจนอยู่ก็มีจริง !
ดังนั้นการที่นักการเมืองและพรรคการเมืองจะเอาเงินของประเทศที่มาจากภาษีไปจ่ายเป็นบำนาญสำหรับคนแก่เพื่อเป็นบำนาญแบบถ้วนหน้า มันจะไม่เรียกว่า “หายนะทางการคลัง” ที่มองเห็นอยู่ตำตาได้อย่างไร?
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบำนาญประชาชน 3,000 บาท เป็นนโยบายหลักเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ของพรรคไทยสร้างไทย ที่มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นประธานยุทธสตร์พรรค
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พรรคการเมืองฟังไว้! กกต.เคลียร์แล้วรับบริจาคหวยได้
กกต.ตอบพรรคประชาชน รับบริจาคสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ และถ้าถูกรางวัล ต้องชี้แจงตามขั้นตอนถึงแหล่งที่มาตามระเบียบและกฎหมายพรรคการเมือง
ไปอีกพรรค! ราชกิจจาฯ ประกาศสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่อง พรรคเสมอภาคสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง
ดร.เสรี ถามพรรคการเมืองฝ่าย ‘อนุรักษ์นิยม’ จะรวมกันกี่โมง?
ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊กว่า ส้มเลือ
'ปิยบุตร' อัดเพื่อไทย! ทำเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจการเมือง ช้าออกไปอีก 10-20 ปี
นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กว่าแทนที่พรรคการเมืองจะรวมพลัง “ยึด” อำนาจการออกใบอนุญาตที่ 2 ของ
'นิพิฏฐ์' เตือนมหันตภัยการเมือง ประเทศถูกล็อกด้วยพรรคการเมือง 2 พรรค
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ โพสต์เฟซบุ๊กว่า การเมืองที่ถูกล็อคด้วยพรรคการเมือง 2 พรรค
'รวมแผ่นดิน' เปลี่ยนชื่อใหม่พรรคก้าวอิสระ 'มาดามหยก' นั่งหัวหน้า 'แว่น สิริรัตน์' โฆษก
นายมาโนช อุณหกาญจน์กิจ รองหัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน เป็นประธานจัดการประชุมใหญ่ สามัญประจำปี ครั้งที่ 2/2567 สืบเนื่องจาก นายมนตรี พรมวัน ลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อไปลงเลือกตั้งท้องถิ่น ทำให้ต้องมีการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรค