เสวนาโชว์นโยบายด้านสังคมผู้ว่าฯ กทม. 'สกลธี-อัศวิน' หวังกลับเข้าไปสานต่อผลงานเดิม 'วิโรจน์' ชูนโยบายคนเท่ากัน 'ดร.เอ้' โปรเมืองสวัสดิการ หวัง กทม.มีคุณภาพชีวิตเหมือนโตเกียว
06 เม.ย.2565 - ที่สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์ จัดเวทีสาธารณะ "เสนอไป เสนอมา...นโยบายสังคม ของผู้ว่าฯกทม. เสียงผู้หญิง 2.3 ล้าน ชี้ขาด... ใคร คือ ผู้ว่าฯกทม." โดยนายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หมายเลข 3 กล่าวว่า อุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหาสังคมของ กทม.คือการจัดสรรงบประมาณ ย้อนหลังกลับไปช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมาสำนักงานพัฒนาสังคมของ กทม.เป็นผู้ดูแลเรื่องสังคม ได้งบประมาณ 200 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ซึ่งไม่ถึงครึ่งเปอร์เซ็นต์จากงบประมาณทั้งหมดที่ กทม.ได้รับ ซึ่งการที่เราดูแลเรื่องสังคมอาจจะไม่ได้เห็นภาพเหมือนเราสร้างตึกสร้างถนน แต่มีผลที่สามารถแปลงเป็นมูลค่าเงินได้ ถ้าได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.งบประมาณส่วนนี้จะมีการปรับปรุง
นายสกลธี กล่าวว่า กิจกรรมบางอย่างของ กทม.บางอย่างเราสามารถให้ภาคเอกชนทำแทน กทม.ได้ เพียงแต่ว่าต้องไปปรับข้อกฎหมายในบางส่วนเพื่อให้สามารถจ้างงานนอกได้เพิ่ม เรียนว่างบประมาณ 8 หมื่นล้านบาทดูเยอะจริง แต่ว่าจำนวนเงิน 3 หมื่นล้านบาทเป็นการจ้างงาน และข้อบัญญัติของ กทม.กำหนดกรอบไว้ว่าเราคงไม่สามารถเพิ่มค่าจ้างเพิ่มได้ถือว่าเป็นอุปสรรค นอกจากนี้เรื่องของสตรีอยากเน้นเรื่องความปลอดภัยทั้งไฟฟ้าส่องสว่าง ช่วยหรือเอื้อผู้หญิงที่ทำงานกลับบ้านดึกให้ได้กลับบ้านได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งเราจะใช้หน่วยงานเทศกิจมาช่วยกันได้
นายสกลธี ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้เราอยู่ในสังคมผู้สูงอายุที่จะพบจำนวนมากขึ้นในทุกๆ ปี เพราะฉะนั้นหลายนโยบายของตนเองจะเอื้อไปทางผู้สูงอายุเป็นหลัก เช่น ศูนย์สาธารณสุขของ กทม. ควรจะปรับให้เป็นสมาร์ทคลินิก โดยใช้ระบบTelemedicine เพื่อทำให้การเดินทางของผู้สูงอายุสะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงระบบที่จะคอยดูแลผู้สูงอายุติดเตียงที่บ้าน เช่นนาฬิกาที่ติดกับผู้สูงอายุที่จะคอยแจ้งได้ว่าชีพจรปกติตก หรือมีอาการหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่ของกทม.จะสามารถเข้าหาได้เลย เป็นการช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ต้องมีคนมาคอยดูแลเสียเวลาทั้งวัน ส่วนการจ้างงานผู้สูงอายุ กทม.สามารถทำเป็นโครงการต่างๆเพื่อจะเอื้อผู้สูงอายุที่กำลัง สามารถที่จะทำกิจกรรมง่ายๆในชุมชน
นายสกลธี กล่าวอีกว่า ส่วนคนพิการได้ดำเนินการหลายอย่างเต็มที่ ตามพ.ร.บ.คุ้มครองคนพิการ หน่วยงานรัฐหรือเอกชน ถ้าไม่อยากส่งเงินเข้ากองทุนต้องจ้างงานคนพิการ 1% ที่ผ่านมาไม่มีหน่วยงานใดที่จ้างเงินถึง 1% สมัยเป็นรองผู้ว่าฯ พยายามผลักดันตรงนี้แล้วประสบความสำเร็จ โดยได้ของบจ้างงานคนพิการไปกว่า 300 ตำแหน่ง นอกจากนี้โรงเรียนฝึกอาชีพคนพิการซึ่งเราก็ทำสำเร็จก่อนที่จะลาออกเช่นกัน และสิ่งสำคัญคือเราได้ทำเว็บไซต์หางานให้คนพิการได้สำเร็จเพื่อให้บริษัทต่างๆรับไว้เข้าทำงาน ส่วนเรื่องเด็กเล็กนั้นกทม.ต้องปรับ เพราะพื้นที่ศูนย์เด็กเล็กส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของเอกชนเพราะฉะนั้นต้องทำลายในการใช้งบประมาณของกทม.ให้ได้ ซึ่งสามารถทำได้โดยการแก้ไขข้อบัญญัติ ถ้าทำได้ศูนย์เด็กเล็กที่เป็นพื้นที่เอกชนก็จะใช้ประโยชน์ในส่วนนั้นได้ ส่วนความรุนแรงทางเพศต้องมีการกวดขันในที่ทำงาน รวมถึงปลูกฝังในโรงเรียนกทม.ว่าให้เด็กๆเรียนรู้ ให้เกียรติกับต่างเพศมากขึ้น ซึ่งต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ
นายสกลธี กล่าวอีกว่าสำหรับเรื่องแรงงานต้องมีความสมดุลในการใช้พื้นที่สาธารณะมาใช้เป็นพื้นที่ค้าขาย กับคนที่ใช้ทางเท้า ซึ่งช่วงหลัง กทม.ได้เปิดโอกาสให้กับผู้ใช้แรงงานมาใช้พื้นที่ได้
ด้าน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 6 กล่าวว่า เรื่องผู้สูงอายุเราให้ความสำคัญ รถตู้รับผู้สูงอายุเราทำไปแล้ว 30 คัน อยู่ 3 จุด ที่รามคำแหง หนองแขม และพระราม 3 ซึ่งในอนาคตเราจะปรับเป็นรถพลังงานสะอาดส่วนสวัสดิการผู้สูงอายุ นอกจากนี้มีการส่งยาถึงบ้าน มีระบบพบแพทย์ภายใน 60 นาที ซึ่งทำระบบนี้มาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว นอกจากนี้เราเพิ่มสวัสดิการการซ่อมแซมบ้านให้กับผู้ที่ประสบภัยต่างๆ ในชุมชน เราเพิ่มให้เป็น 3 หมื่นบาท จาก2 หมื่นบาทต่อหลังคาเรือน
ส่วนเรื่องการศึกษาของเด็กที่ผ่านมา กทม.ได้รับเงินวันละ 20 บาทต่อหัว สำหรับค่าอาหารเด็กอนุบาลและเด็กประถม เมื่อตนได้เป็นผู้ว่าฯกทม.จึงได้เสนอต่อสภากทม.ขอเพิ่มเป็น 40 บาท ซึ่งจะเป็นแบบนี้ตลอดไป รวมถึงเพิ่มการเรียนหลักสูตร 2 ภาษาให้ทั้งอังกฤษ และจีน ทำไปแล้ว 155 แห่ง เพราะฉะนั้นไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทำให้กับเด็กๆหลายอย่าง ส่วนเรื่องความรุนแรงทางเพศโรงเรียนจะต้องให้ความรู้เรื่องการคุกคามทางเพศต่างๆ อีกทั้งต้องดูรากฐานของครอบครัวที่อาจไม่ให้ความสำคัญ ซึ่งต้องช่วยค่อยๆกันแก้ไข
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. หมายเลข 1 พรรคก้าวไกลกล่าวว่าปัญหาใหญ่ของ กทม.คือเราตกอยู่ภายใต้มายาคติบางอย่างที่ไม่เป็นธรรม เช่น ถ้าอยากรวยต้องขยัน แต่ข้อเท็จจริงคือเราเจอคนที่ขยันจนไม่มีเวลาพักผ่อน ขยันยังไงก็ยากจน คนสู้แล้วตายสู้แล้วจนมีเยอะแยะ การปล่อยให้คนจนเมืองต้องดิ้นรนอยู่ภาวะระบบนิเวศที่ไม่เป็นธรรม โอกาสจะงอกเงยมันยากมากๆ ดังนั้นทำไมนโยบายของเราที่คนเท่ากันจึงเป็นการเพิ่มสวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการผู้สูงอายุ เราจะเพิ่มจาก 600 เป็น 1,000 บาทหรือเด็กแรกเกิดถึง 6 ปีเราให้เพิ่มเติมจาก 600 เป็น 1,200 บาท
"ถ้าเมืองๆ นี้ดูแลพ่อแม่เราได้ดีกว่านี้ ผมสามารถวิ่งตามความฝันได้ ผมสามารถทำงานได้ พูดอยู่นั่น Up skill แต่ผมจะเอาอะไรไป Up skill ผมมีแต่คำพูดที่ว่ากูไม่ออกหรอก ออกแล้วกูจะเอาอะไรแดก ทำไมเมืองนอกเขา Up skill ได้ เพราะเขารู้สึกว่าเมืองๆ นี้ดูแลเราและพ่อแม่ดีกว่านี้ คนที่ทำงานสักวันก็ต้องแก่ ถ้าเรารู้ว่าเมืองๆ นี้จะดูแลเราในยามแก่ได้ดี ผมวิ่งตามความฝันได้เต็มที่ ซึ่งเป็นจุดเบื้องต้นที่สุดที่จะสร้างเมืองสวัสดิการ ไม่ใช่การสงเคราะห์ และถ้าเราทำได้ มันจะไม่มีผู้ว่าหน้าไหนไปลดสวัสดิการตรงนี้ได้อีก และกดดันให้รัฐบาลทำรัฐสวัสดิการ 3,000 บาทให้กับทุกคน ทุกจังหวัด ถ้าไม่เริ้มที่ กทม.มันไปต่อที่อื่นไม่ได้"นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า เมื่อคนมีสวัสดิการคนก็รู้สึกมั่นคง เราก็กล้าบริโภค เมืองที่มีกำลังซื้อ เมืองที่มีกำลังการบริโภค คือเมืองที่กล้าลงทุน ถ้าเราปล่อยไปเราจะเต็มไปด้วยผู้สูงอายุที่ไม่มีเงิน เราจะมองเด็กคนหนึ่งในชุมชนที่รู้ว่าถ้าเด็กอยู่ในระบบนิเวศแบบนี้ เขาต้องโตมาเป็นเด็กที่ไม่มีความหวัง ไม่มีศักยภาพในการพัฒนาอาชีพ เมืองแบบนี้มันมีความหวังหรือ น่าลงทุนหรือ คนรวยอย่าหลอกตัวเองเลยทุกวันนี้คุณลงทุนในต่างประเทศ เพราะที่นี่ไม่มีแหล่งลงทุนใหม่ๆ ที่น่าสนใจใช่หรือไม่ เมื่อไม่มีการจ้างงาน ทักษะสูงก็ไม่มีเช่นกัน มันจะกลายเป็นเมืองต้องสาป
นายวิโรจ์ กล่าวอีกว่า เราต้องกระจายงบประมาณจากงบประมาณรวมศูนย์ที่สำนักงานเขต และงบกลางผู้ว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เพราะผู้ถืออำนาจคือคนถือเงิน และต้องการทำในสิ่งที่ทำได้ จะไม่มีผู้ว่าฯ กทม.คนไหนที่กระจายเงินไปแล้วสูบเงินกลับไปจากประชาชนอีก
"วันนี้ผมฟังวิสัยทัศน์แต่ละท่านผมทุกข์ เพราะทุกท่านฝากผู้ว่าฯ กทม. เวลาที่ท่านเจอปัญหาทำไมต้องอ้อนวอน ถ้าเรากระจายงบประมาณอย่างถูกต้องเราจะทำโปรเจกต์อะไรก็สามารถทำได้เลย เพราะงบประมาณถูกกระจายลงไปในชุมชนหมดแล้ว ไม่ต้องร้องขอ เพราะท่านเป็นผู้ทรงอำนาจที่สุดแล้ว ซึ่งเป็นกระดุมเม็ดแรกที่เปลี่ยนแปลงสังคมอย่างยั้งยืน และคืนอำนาจให้กับประชาชน" นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า เวลาที่ประชาชนได้รับความรุนแรงทางเพศ หรือความเดือดร้อนใดๆ ประชาชนเป็นเหยื่อ เขาต้องการให้ กทม.มีหน่วยงานที่เป็นเจ้าทุกข์แทนเขา ซึ่งเรื่องนี้หน่วยงานต่าๆ งในกทม.ต้องจัดการ ท้ายที่สุดหาบเร่แผงลอยคุณไม่ไว้วางใจประชาชน ไม่ใช่ว่าจะขายได้ทั้งหมดเสรี แต่ต้องให้ประชาชนคุยกันว่าจะวางกติกากันอย่างไร ไว้วางใจประชาชน แล้วคุณสร้างกลไกให้กับคนตัวใหญ่ได้ทำประโยชน์และช่วยเหลือประชาชนหรือไม่ ให้ประชาชนคุยกันว่าจะวางระเบียบไหนอย่างไร จะทำอย่างไรให้ถูกต้องตามกฎหมาย คิดว่าคุณกำลังทำเป็นเจ้าเข้าเจ้านาย เบื่อกับคำว่าจัดระเบียบ ผู้ว่าฯ กทม.ที่แท้จริงต้องเปิดเวทีให้ประชาชนมาพูดคุยกัน
ด้านนายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หมายเลข 4 พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทุกคนอาจเข้าถึงด้านสาธารณสุข การศึกษาที่ราคาถูกหรือไม่เสียเงิน แต่คำถามคือมีคุณภาพหรือไม่ ดังนั้นความตั้งใจคือเรื่องของคนกทม.ต้องเป็นเมืองสวัสดิการที่มีคุณภาพจริงๆ ทำให้ทุกคนได้ยืนขึ้นได้ ไม่จมน้ำและเดินไปข้างหน้าได้ ซึ่งเป็นรากฐานของทุกๆเมือง
อย่างไรก็ตนต้องการเปลี่ยน กทม.ให้เป็นเมืองสวัสดิการที่ทันสมัยต้นแบบของอาเซียน ในวันนี้ทุกคนใช้โทรศัพท์กัน แต่การบริการประชาชนตามเขตต่างๆ ยังต้องไปเขตอยู่ ซึ่งนโยบายคือคน กทม.ต้องใช้อินเตอร์เน็ตฟรี เพราะเป็นรากฐานสำคัญของความเท่าเทียม และเป็นจุดเชื่อมโยงของทุกๆ อย่าง วันนี้เด็กเรียนออนไลน์ หรือทำงานที่บ้านเราก็ต้องจ่ายเงิน ที่น่าเห็นใจผู้สูงอายุที่ต้องอยู่ตามลำพัง สิ่งที่กลัวคือเรื่องเหตุฉุกเฉิน เพราะฉะนั้นอินเตอร์เน็ตฟรีทำให้สามารถรายงานเหตุฉุกเฉินได้ทัน
"ผมอยากให้ กทม.เป็นประหนึ่งโตเกียวที่เราอยากจะไปเที่ยวกัน ทุกอย่างก็เรียบ ทุกคนไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลเอกชน ไปโรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้านได้ นโยบายของผมชัดเจนว่าต้องการเปลี่ยนชีวิตคน หยุดปัญหาซ้ำซาก" นายสุชัชวีร์ กล่าว
นายสุชัชวีร์ กล่าวอีกว่า นโยบายเงินเต็มบ้านงานเต็มเมือง กองทุนการสร้างงาน 2 พันชุมชนปีละ 6 แสนบาทต่อชุมชนสามารถจ้างงานได้ถึง 5 หมื่นอัตราแล้วงานตรงนี้ผู้สูงอายุในชุมชนได้โอกาสเป็นอันดับแรก เข้ามาช่วยดูแลเด็กเล็ก ดูแลผู้สูงอายุด้วยกัน ดูแลความปลอดภัย เพราะฉะนั้นกทม.ไม่เฉา ชีวิตเปลี่ยนทำงานแลกได้เงิน ส่วนเรื่องเด็กเล็กขอประกาศนโยบายว่าตั้งใจจะเป็นผู้ว่าฯที่อุดหนุน 0-6 ปี อย่างเสมอภาค และถ้วนหน้า นอกจากนี้เรื่องสตรีต้องปลูกฝังตั้งแต่ในโรงเรียนว่าการล่วงละเมิดทางเพศเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ นอกจากนี้ต้องการตั้งสภาผู้สูงอายุให้ผู้สูงอายุได้มาร่วมบริหารจัดงบประมาณด้วยตัวเองได้ถูกจุด ไม่ลงไปที่เขต เพราะนโยบายที่เขตออกไม่สามารถแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุในแต่ละเขตได้ตรงจุด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คนกรุงอ่วม! สภาพอากาศมีผลกระทบสุขภาพถึง 33 พื้นที่
เพจกรุงเทพมหานคร โพสต์กราฟฟิกพร้อมเนื้อหา
ฝุ่น PM 2.5 กทม. แนวโน้มลดลง เกินค่ามาตรฐานเหลือ 15 พื้นที่ อยู่ฝั่งธนบุรีเป็นส่วนมาก
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ขอรายงานสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ของสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรุงเทพมหานคร
คนกรุงเทพฯ สำลักฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน อยู่ในระดับสีส้ม 63 พื้นที่
ศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานครรายงานสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ณ เวลา 07.00 น. : ตรวจวัดได้ 34.3-74.3 มคก./ลบ.ม. พบว่าเกินมาตรฐานอยู่ในระดับสีส้ม เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ จำนวน 63 พื้นที่ คือ
นักวิชาการ เตือนคนกรุงฝุ่น PM 2.5 สูงมาก อากาศข้างนอกเย็นสบาย แต่ออกไปอาจป่วยตายได้
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า กรุงเทพฯช่วงนี้ อากาศข้างนอกเย็นสบายแต่ออกไปอาจป่วยตายได้..
'ภูมิธรรม' พร้อมดูข้อเท็จจริง ปมกมธ.การทหาร แฉค่ายร.23 พัน4 สร้างหลบ 'เขากระโดง'
'ภูมิธรรม' ยังไม่ดูรายละเอียด ปม กมธ.การทหาร ปูดค่ายทหารสร้างหลบเขากระโดง เผย 'วิโรจน์' ขอเข้าพบอยู่แล้วคงได้คุย