ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19ใหม่ 21,881 ราย เสียชีวิตทำสถิติ 59 ราย “ธนกร” บอกบิ๊กตู่ขอบคุณประชาชนที่ไว้วางใจในการแก้ปัญหาโควิด คาด ก.ค.จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น สปสช.ปรับเกณฑ์จ่ายเงินยกล็อกเรื่องรักษาพยาบาล
เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,881 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมยืนยันตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 3,026,695 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 21,448 ราย ทำให้มียอดหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 2,770,939 ราย อยู่ระหว่างรักษา 232,521 ราย อาการหนัก 1,145 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 366 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 59 ราย เป็นชาย 32 ราย หญิง 27 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 2563 จำนวน 23, 235 ราย
สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดประกอบด้วย กทม. 2,147 ราย, นครศรีธรรมราช 980 ราย, สมุทรปราการ 888 ราย, ชลบุรี 883 ราย, นครราชสีมา 723 ราย, ปทุมธานี 707 ราย, นนทบุรี 700 ราย, สมุทรสาคร 670 ราย, พระนครศรีอยุธยา 633 ราย และภูเก็ต 612 ราย
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณประชาชนที่ให้ความไว้วางใจการทำงานของรัฐบาล ในการบริหารจัดการเพื่อรับมือสถานการณ์โควิด-19 ทุกระยะตั้งแต่เริ่มระบาด แม้ขณะนี้จะพบผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นจำนวนมาก แต่สถานการณ์อยู่ในระยะทรงตัวและชะลอการเพิ่มจำนวน กระทรวงสาธารณสุข คาดว่าสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศจะดีขึ้นตามลำดับ และเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นในต้นเดือน ก.ค.นี้
ขณะที่ พญ.นฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า กรมการแพทย์ได้ทบทวนและปรับแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วย ตามข้อมูลวิชาการในประเทศและต่างประเทศ เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. โดยกำหนดให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เมื่อตรวจ ATK กรณีมีผลบวกให้ประเมินอาการและความเสี่ยง หากไม่มี ให้เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกหรือลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ Home Isolation (HI) และแยกกักตัวที่บ้านได้ ซึ่งกรณีรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ระบบจะโทร.ติดตามอาการเมื่อครบ 48 ชั่วโมง หากมีอาการที่แย่ลงก็จะส่งต่อรักษาในโรงพยาบาล ส่วนกรณีผู้มีอาการและมีความเสี่ยง รวมถึงที่บ้านไม่มีความพร้อมในการแยกกักตัว จะเข้าสู่การดูแลในระบบ Hotel Isolation, Hospitel แล Community Isolation โดยไม่ต้องทำการตรวจ RT-PCR ซึ่งการตรวจ RT-PCR จะทำการตรวจเฉพาะกรณีที่ต้องเข้ารักษา หรือส่งต่อรักษาที่ รพ.
“การให้ยารักษานั้นกรณีผู้ป่วยไม่มีอาการหรือสบายดี จะไม่ให้ยาต้านไวรัส เช่น ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นต้น โดยแพทย์จะรักษาตามอาการ ให้ยาฟ้าทะลายโจร ขึ้นอยู่ตามดุลยพินิจของแพทย์ ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการ แพทย์จะพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ โดยเริ่มให้ยาเร็วที่สุด แต่หากมีอาการมาแล้วเกิน 5 วัน โดยผู้ป่วยไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยอาจไม่จำเป็นต้องให้ยา เพราะจากข้อมูลการรักษาพบว่าเชื้อโอมิครอน 80% ผู้ป่วยจะหายเองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน” พญ.นฤมลระบุ
ด้าน พญ.กฤติยา ศรีประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ตามที่กรมการแพทย์ได้ปรับแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 สปสช.จึงปรับหลักเกณฑ์การจ่ายค่าบริการเพื่อรองรับการให้บริการของหน่วยบริการ เริ่ม ณ วันที่ 1 มี.ค. ซึ่งรายการบริการต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงมีดังนี้ 1.บริการคัดกรองโควิด-19 โดยการตรวจแบบ RT-PCR ประเภท 2 ยีน อัตรา 900 บาท/ครั้ง และประเภท 3 ยีน อัตรา 1,100 บาท/ครั้ง การตรวจแบบ Antigen Professional ทั้งวิธี Chormatography อัตรา 250 บาท/ครั้ง และวิธี FIA อัตรา 350 บาท/ครั้ง 2.การสนับสนุนชุดตรวจการติดเชื้อโควิด-19 แบบ ATK สำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยง ในอัตรา 55 บาท/ชุด โดยจ่ายให้กับหน่วยบริการ ซึ่งประชาชนสามารถรับชุดตรวจครั้งละไม่เกิน 2 ชุด/ครั้ง โดยตรวจเว้นระยะห่างอย่างน้อย 5 วัน 3.บริการดูแลรักษาโรคโควิด-19 ที่เป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวที่บ้าน (OP self Isolation) เฉพาะผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเท่านั้น ซึ่งแยกจ่ายชดเชยเป็น 2 ส่วน คือ 1.ค่าบริการดูแลรักษาที่เป็นจ่ายแบบเหมาจ่าย 1,000 บาท/ราย และ 2.ค่าบริการสำหรับการให้คำปรึกษาหรือการดูแลรักษาเบื้องต้นหลังครบ 48 ชั่วโมงไปแล้ว เหมาจ่ายอัตรา 300 บาท/ราย
“กรณีการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มสีเขียว กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเช่นเดียวกับ Home Isolation และ Community Isolation (HI/CI) แบบเหมาจ่าย ทั้งกรณีรักษาในโรงพยาบาลที่เป็นหน่วยบริการในระบบ และกรณีเข้ารักษาในระบบ UCEP COVID ในหน่วยบริการนอกระบบ รวมถึงการรักษานอกโรงพยาบาล ซึ่งการจ่ายชดเชยกรณีการให้บริการรักษาตั้งแต่ 1-6 วัน จะอยู่ที่อัตรา 4,000 บาท หากมีบริการอาหารเพิ่มเป็น 6,000 บาท และบริการรักษา 7 วันขึ้นไป อยู่ที่ 8,000 บาท หากมีบริการอาหารเพิ่มเป็น 12,000 บาท”
ส่วนบริการผู้ป่วยนอกที่ไม่เข้าเกณฑ์ OP self Isolation จะครอบคลุมบริการตรวจแล็บและค่าเก็บตัวอย่าง จ่ายตามจริงไม่เกิน 7,200 บาท/ราย และค่ารถส่งต่อผู้ป่วย รวมค่าชุด PPE และยาฆ่าเชื้อจ่ายตามจริงตามระยะทางไม่เกิน 1,400 บาท/ครั้ง บริการผู้ป่วยใน กำหนดจ่ายตามระบบ DRG และจ่ายเพิ่มเติมทั้งในส่วนค่าตรวจแล็บ ค่ายารักษาเฉพาะผู้ป่วยโควิดไม่เกิน 7,200 บาท/ราย ค่าห้องดูแลรวมค่าอาหาร ตั้งแต่เตียงระดับ 1-3 ในอัตราตั้งแต่ 1,000-7,500 บาท ค่าชุด PPE อัตรา 550 บาท/ชุด และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกระบวนการและอุปกรณ์ในการป้องกันเชื้อ 300-11,000 บาท/วัน และค่ารถส่งต่อผู้ป่วย รวมค่าชุด PPE และยาฆ่าเชื้อจ่ายตามจริงตามระยะทางไม่เกิน 1,400 บาท/ครั้ง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อิ๊งค์’ลุยภูเก็ต หนุนท่องเที่ยว กลุ่ม‘ลักซ์ชูรี’
"นายกฯ อิ๊งค์" เปิดงานแสดงเรือนานาชาติ หนุนท่องเที่ยวลักซ์ชูรีไลฟ์สไตล์
2สัปดาห์ส่ง‘จ่าเอ็ม’กลับ เชื่อมีผู้ร่วมขบวนการอีก
นายกฯ สั่งทบทวนมาตรการป้องกันก่ออาชญากรรมในไทย
ชงแก้สัญญารถไฟฟ้าเชื่อม3สนามบิน
บอร์ดอีอีซีชงแก้สัญญารถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน เข้า ครม.ภายในเดือนเม.ย.นี้
ศาลนัด10ก.พ. 16บอสขอสิทธิ์ ได้ประกันสู้คดี
"ทนายดิไอคอน" จ่อยื่นประกันตัว 16 บอส ช่วงนัดตรวจหลักฐาน
นโยบายตปท.เสียเหลี่ยมเพื่อนบ้าน
สส.ฝ่ายค้านชำแหละ “นโยบายต่างประเทศ” เงียบๆ เสียเหลี่ยมเพื่อนบ้าน
ระวังไม่มีแผ่นดินอยู่ ชวนย้อนคำเตือนแม้ว18ปี ชี้สส.แก่สุดในเพื่อไทย2คน
"ชวน" สวนกลับ “ทักษิณ” สส.แก่สุดอยู่ในพรรคเพื่อไทย 2 คน