ไทยติดเชื้อนิวไฮ 1.7 หมื่นราย เสียชีวิต 22 คน นายกฯ ห่วงบุคลากรแพทย์ กำชับระวังป้องกันตนเองระหว่างปฏิบัติหน้าที่ "อนุทิน" รับยอดพุ่งแต่ยังอยู่ในกรอบ ยันรับมือได้ แจงไม่ได้ถอดโควิดพ้นยูเซป แค่ปรับวิธีให้บริการ ผุด "ยูเซปพลัส" ดูแลผู้ป่วยโควิดมีโรคร่วม สปสช.จ่อแจก ATK รอบ 2
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศประจำวันว่า พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 17,349 ราย แบ่งเป็นติดเชื้อในประเทศ 16,935 ราย จากเรือนจำ 169 ราย จากต่างประเทศ 245 รายสะสม 2,656,411 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 22 ราย สะสม 22,538 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 144,061 ราย โดยจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดคือ กทม. 3,063 ราย รองลงมาคือ สมุทรปราการ 866 ราย, ชลบุรี 821 ราย, นครศรีธรรมราช 743 ราย, ภูเก็ต 510 ราย, นนทบุรี 423 ราย, นครราชสีมา 415 ราย, สมุทรสาคร 414 ราย, ปทุมธานี 395 ราย และบุรีรัมย์ 339 ราย ส่วนข้อมูลผู้เสียชีวิตเป็นชาย 10 ราย หญิง 12 ราย อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป 20 ราย มีโรคเรื้อรัง 1 ราย และไม่มีโรคเรื้อรัง 1 ราย ทั้งนี้ ยอดการฉีดวัคซีนภายในประเทศเพิ่มขึ้น 182,122 โดส รวมยอดสะสม 120,702,893 โดส
สำหรับสถานการณ์ทั่วโลก พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 2,095,586 ราย สะสม 418,163,037 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 11,311 รายสะสม 5,869,003 ราย สำหรับประเทศในเอเชียที่พบผู้ติดเชื้อมากที่สุดในวันนี้คือเกาหลีใต้ 90,430 รายเสียชีวิต 39 ราย ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 31 ของโลก
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ฝากความห่วงใยบุคลากรทางการแพทย์ หลังพบวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา บุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อถึง 156 คน สูงที่สุดตั้งแต่มีการระบาดมา จึงขอให้บุคลาการทางการแพทย์ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ระมัดระวังป้องกันตนเองให้ดีระหว่างปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ได้กำชับกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอีกรอบ ย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ขั้นสูงสุด รวมทั้งยังย้ำให้ติดตามข่าวการพบผู้ป่วยโควิด-19 สายพันธุ์ผสมระหว่างเดลตาและโอมิครอน หรือเดลตาครอนรายแรกของโลกที่อังกฤษ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ทันกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ที่ศูนย์การแพทย์บางรัก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีการปลดโรคโควิด-19 จากสิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตรักษาฟรีทุกที่ (ยูเซป) ว่า เราไม่ได้ถอดโควิดออกจากยูเซป แต่เป็นการปรับปรุงวิธีการให้บริการตามอาการของผู้ป่วยโควิด สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือถอดออกจากเป็นโรคฉุกเฉิน เพราะโควิดเป็นโรคที่อยู่กับเรามา 2 ปีแล้ว ฉะนั้นต้องจัดระบบบริการเพื่อรองรับเขาได้ ประเทศไทยไม่ได้มีโรคโควิดอย่างเดียว แต่มีโรคติดต่ออื่นๆ และโรคไม่ติดต่อด้วย ที่รอใช้บริการทางการแพทย์ รอเตียง รอการบริการในโรงพยาบาล (รพ.) ต่างๆ
"ถ้าเราเน้นโควิดฉุกเฉินจะต้องแซงคิว จะต้องได้อภิสิทธิ์เหนือโรคอื่นทุกอย่าง จะทำให้ระบบสาธารณสุขรวนได้ นี่จึงเป็นการปรับระบบการให้บริการให้สอดคล้องสถานการณ์โรคที่เกิดขึ้นในไทย ทุกวันนี้โควิดไม่ใช่โรคใหม่ เราต่อสู้มา 2 ปีกว่าแล้ว เราก็ต้องทำให้ระบบพื้นฐานของเราไม่ให้รับผลกระทบ แต่ไม่ใช่การยกเลิกยูเซปเป็นอันขาด ขอให้ปรับความเข้าใจใหม่” นายอนุทินระบุ
สำหรับโควิดที่มีอาการฉุกเฉินจริงๆ เช่น หายใจไม่ได้ มีอาการเหนื่อยหอบ ไอรุนแรง ก็สามารถเข้ารักษาฉุกเฉินที่ใดก็ได้ เราให้การดูแลเช่นเดิม และตอนนี้เพื่อให้เกิดความสบายใจและคล่องตัว ทาง นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. ได้กำหนดโซนยูเซปพลัสขึ้นมา หากเป็นผู้ป่วยสีเขียวไม่มีอาการให้อยู่บ้าน (HI) แต่หากเป็นสีเหลือง สีแดง ต้องมีวิธีการให้การดูแลเฉพาะ
นายอนุทินกล่าวว่า ตัวเลขติดเชื้อที่สูงขึ้นอยู่ในกรอบที่กรมควบคุมโรคคาดการณ์ไว้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ ยังควบคุมได้ ขณะนี้กำลังเร่งฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสให้ประชาชนเพื่อช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ส่วนเรื่องเตียง ขณะนี้ยังมีเพียงพอ เพราะคนส่วนใหญ่ติดเชื้อไม่มีอาการ ถึง 85% และรักษาด้วยระบบ HI, CI สำหรับกรณีโอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2 ที่นักวิชาการระบุแพร่เร็วเดิม 1 ต่อ 18 คนนั้น มาตรการป้องกันส่วนตัวยังคงใช้ได้ดีอยู่ ขอเพียงสวมหน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือและมีระยะห่าง สำหรับการพบจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. กล่าวว่า โรคโควิด-19 มีการพิจารณาแล้วจะไม่ได้เป็นโรคฉุกเฉินอีกต่อไป ปัจจุบันคนติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เหมือนโรคหวัดทั่วไปที่มีคนป่วยหลายแสนรายต่อวันก็ไม่มีปัญหา เช่นเดียวกันตอนนี้คนติดโควิดที่จำเป็นต้องนอน รพ.มีไม่มาก ขณะนี้อยู่ที่ราว 700 คน จึงไม่น่าจะเป็นโรคฉุกเฉินอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยูเซปปัจจุบันมี 2 ส่วน คือยูเซปทั่วไปและยูเซปโควิด ซึ่งสามารถไปรักษาที่ รพ.เอกชนเวลาไหนก็ได้หากพบว่าติดโควิด เพราะเป็นเหตุเร่งด่วนฉุกเฉินทั้งหมด แต่ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลง การติดโควิดต้องไม่นำแล้ว แต่ยูเซปยังมีอยู่ โดยหากคนไข้โควิดมีอาการรุนแรงถึงขนาด เช่น มีโรคร่วมที่เป็นอันตรายรุนแรง อาทิ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ติดโควิด แม้โควิดไม่รุนแรงมาก แต่โรคไตรุนแรง จะพิจารณาให้เข้าข่ายเป็นยูเซปโควิด เพื่อให้ได้รับการดูแล จึงมีแนวคิดเรื่องการจัดทำยูเซปพลัส คือรองรับคนติดโควิดและมีโรคร่วมเดิม แม้ว่าโควิดจะไม่รุนแรง ซึ่งวันที่ 17 ก.พ. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) มีการหารือร่วมกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เพื่อพิจารณาเกณฑ์ที่เข้าข่ายรักษาแบบยูเซปพลัส แต่ในหลักการคือคนที่ติดโควิดและมีโรคร่วมเดิม ส่วนจะกำหนดนิยามของผู้ที่เข้าข่ายจะเป็นผู้ที่โรคร่วมเดิมอะไรบ้าง อยู่ที่ข้อสรุปของการหารือ
สำหรับคนทั่วไปที่ติดโควิด จากเดิมที่จะเข้าไปรับการรักษาที่ รพ.เอกชนใดก็ได้ ปรับเป็นการไปรักษาในสถานพยาบาลตามสิทธิ หากอาการไม่มากหรือไม่มีอาการ รพ.จะพิจารณาให้ดูแลตนเองที่บ้าน (HI) แต่หากไม่สะดวกและไม่สามารถที่จะอยู่ที่บ้านได้ จะมีระบบดูแลที่โรงแรม (Hotel Isolation) โดยที่จะมีบุคลากรติดตามอาการทางระบบออนไลน์ได้ แต่ไม่ใช่ฮอสพิเทล
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ไม่อยากให้ประชาชนกังวลกับสายพันธุ์ของโอมิครอน ไม่ว่าจะเป็น BA .1, 2, 3, 4 และ 5 การป้องกัน การรักษายังเหมือนเดิม ยังต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และมีระยะห่าง และการรับวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือเข็ม 3 เพราะการแพร่เชื้อของสายพันธุ์ BA.2 แพร่เร็วขึ้น แต่ความรุนแรง และการหลบภูมิคุ้มกัน ยังไม่ต่างจาก BA.1 ส่วนอัตราป่วยหนักและใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม ตรงกันข้ามอัตราตายของไทยต่ำกว่าต้นเดือนที่ผ่านมา จากเดิม 0.22 เหลือ 0.20 และถือว่าน้อยกว่าทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 1.4 แต่คนเสียชีวิตส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงอายุ
ที่ จ.เชียงใหม่ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูง 292 ราย รวมกับยอดตรวจ ATK อีก 1,737 ราย รวมติดเชื้อ 2,029 ราย เสียชีวิตเพิ่มมาอีก 2 ราย ที่ จ.ภูเก็ต พบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 480-500 คน เป็นขาขึ้น ส่วนยอด ATK ที่ผ่านมา 200- 300 คนต่อวัน เฉลี่ยเข้าระบบจำนวนเกือบพันคนต่อวัน ส่วนที่ จ.นครราชสีมา พบผู้ป่วยรายใหม่ 578 ราย ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ยก ‘ภูพระบาท’ เป็นมรดกโลก
คนไทยได้เฮ! อีก ยูเนสโกขึ้นทะเบียน "ภูพระบาท" จ.อุดรธานี
ฟ้องต้นตอหมอคางดำ
สภาทนายความฯ เตรียมฟ้องแพ่งบิ๊กเอกชน-หน่วยงานรัฐ ต้นตอ "เอเลี่ยนสปีชีส์"
‘ทศมรัชชจักรี’ เชิญชวนคนไทยพร้อมใจสวมเสื้อสีเหลืองร่วมเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ
ในหลวงทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ในการพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ
มงคล : แทนคุณชาติศาสน์กษัตริย์
“วุฒิสภา” จัดพิธีการรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานและรองประธานวุฒิสภา
‘เนวิน’รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดมิวสิคัลเทิดพระเกียรติ
“เนวิน” รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา แสดง แสง สี เสียง มิวสิคัล “ลมหายใจของแผ่นดิน” โดยบุรีรัมย์ออร์เคสตรา แสดงความจงรักภักดี 28-30 ก.ค.2567 สนามช้างอารีนา บุรีรัมย์
เผ่าภูมิยอมรับ ไร้‘สมาร์ทโฟน’ ใช้ดิจิทัลยาก!
“เผ่าภูมิ” ยันเคาะใช้จ่ายเงินหมื่นไม่เกินไตรมาส 4 แนะควรลงทะเบียนผ่านสมาร์ทโฟน