มาด้วยกันไปด้วยกัน ‘เสี่ยหนู’ยํ้า‘ภท.’ไม่ทิ้งรัฐบาล บิ๊กตู่ให้พรรคร่วมช่วยทำงาน

“ประยุทธ์” ตีมึนบอกจำไม่ได้พูดตอนไหน  “หนูช่วยหน่อยนะ” แต่ระบุบอกให้ทุกพรรคร่วมรัฐบาลช่วยทำงาน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการเมือง “อนุทิน” ย้ำมาด้วยกันไปด้วยกัน ลั่นเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวเป็นแค่ความเห็นต่างของสองหน่วยงาน “วิษณุ” แจงไม่มีการตั้งวอร์รูม   เตรียมฟังกันหูฉีกเพราะพูดเกิน 10 ประเด็นได้ “ชวน”  สอนแค่แนะนำไม่ใช่ศึกซักฟอก 21 ส.ส.แก๊งธรรมนัสยังไม่สะเด็ดน้ำ “กกต.” ยังไม่พิจารณา รอลุ้นประชุมอีกครั้ง  15 ก.พ. “สนธิญา” มาแปลกยื่นเรื่องให้ชะลอก่อน

เมื่อวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาค (ก.บ.ภ.)  และคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ครั้งที่ 1/2565 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข มายืนอยู่ข้างๆ ระหว่างให้สัมภาษณ์

นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ก็มีรองนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาประชุมด้วย ทั้งทางออนไลน์ ประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปด้วย และมีส่วนหนึ่งนั่งในห้องนี้ ซึ่งการประชุมวันนี้ไม่มีเรื่องอื่น ไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นพิเศษ  เป็นเรื่องปัญหาสุขภาพ ปัญหาเรื่องโควิด-19 และในหลายกิจกรรมที่เกี่ยวข้องที่เราเคยพูดมีข่าวออกไป โดยพอถึงจังหวะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้หันหน้าไปหานายอนุทินที่ยืนยิ้มอยู่ พร้อมกล่าวว่า “ผมไม่รู้ว่าไปพูดตอนไหนจำไม่ได้  หนูช่วยหน่อยนะ ผมก็บอกทุกท่าน ทั้งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ อะไรต่างๆ ในพรรคร่วมรัฐบาล หัวหน้าพรรค ก็บอกให้ช่วยกันหน่อยนะ ในการทำงานให้ประเทศชาติเดินหน้าไปให้ได้ พูดอย่างนี้ไม่ใช่ประเด็นทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองอยู่แล้ว พรรคร่วมรัฐบาลก็คือพรรคร่วมรัฐบาล และทุกพรรคยังยืนยันทำงานร่วมกันต่อไป ไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น”

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ขอความร่วมมือให้พรรคร่วมรัฐบาลช่วยกันทำงานเต็มที่เพื่อประเทศชาติและประชาชนว่า นายกฯ ขอความร่วมมือจากทุกพรรคร่วมรัฐบาลให้ช่วยกันทำงานในทุกเรื่อง ทั้งการเมือง  เศรษฐกิจ สังคม และการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชน โดยไม่ได้เฉพาะแค่ว่าเรื่องการเมืองเท่านั้น และไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าขอความร่วมมือจากพรรคภูมิใจไทย  (ภท.) เพียงพรรคเดียว แต่ขอความร่วมมือจากทุกพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาพรรคร่วมรัฐบาลเองก็ช่วยกันทำงานเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้นไม่อยากให้หยิบยกประเด็นนี้ไปขยายผลว่านายกฯ ขอความร่วมมือจากพรรคร่วมรัฐบาลเฉพาะเรื่องการเมืองเท่านั้น

"ที่ผ่านมาพรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนในทุกเรื่องเป็นอย่างดีมาตลอด การที่นายกฯ ขอความร่วมมือจากพรรคภูมิใจไทยครั้งนี้ ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนที่ท่านนายกฯ เคยขอความร่วมมือจากพรรคร่วมรัฐบาลพรรคอื่นๆ และเป็นการขอความร่วมมือให้ช่วยกันทำงานเพื่อประเทศในทุกเรื่องอย่างเต็มที่ ไม่ได้ขอให้ช่วยกันทำงานเฉพาะการเมืองอย่างเดียว จึงไม่อยากให้หยิบยกเรื่องนี้มาขยายผล" นายธนกรกล่าว

ด้านนายอนุทินกล่าวถึงกระแสข่าว พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า “หนูช่วยหน่อยนะ” ภายหลังการประชุม ศบค.เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ว่า เมื่อช่วงสายวันที่ 14 ก.พ. พล.อ.ประยุทธ์ได้สอบถามว่า “พี่พูดกับหนูเมื่อไหร่” จึงระบุไปว่าก็จำไม่ค่อยได้ แต่เป็นธรรมดาหาก พล.อ.ประยุทธ์บอกให้ช่วยก็ต้องช่วยกันทำงาน เป็นหน้าที่อยู่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์พูดทำนองนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าหนูช่วยหน่อยนะ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าให้ช่วยเรื่องอะไร แต่เป็นการช่วยทำงาน  ช่วยให้ทุกอย่างเกิดความเรียบร้อย

ผู้สื่อข่าวถามว่า การพูดคุยวันดังกล่าวได้ยืนยันตัวเลข  260 เสียงกับนายกฯ จริงหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ตัวเลขนี้ไม่รู้มาจากไหน ยืนยันจะพยายามทำให้เกิดความมีเสถียรภาพให้ได้มากที่สุด

เมื่อถามว่า ในการอภิปรายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา  152 แม้ไม่มีการลงมติ แต่ ภท.จะช่วยเหลือรัฐบาลอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต้องสนับสนุนนายกฯ เต็มประตูอยู่แล้ว นายกฯ ยังไม่เคยทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ผิดไปจากนโยบายที่ได้แถลง ทุกอย่างเป็นไปตามทำนองคลองธรรม สิ่งที่ท่านทำทุกอย่างถ้าเป็นประโยชน์กับประเทศ ด้วยความเป็นรัฐบาลด้วยกันเราก็ต้องสนับสนุน ต้องช่วยกัน

เสี่ยหนูย้ำมาด้วยกันไปด้วยกัน

เมื่อถามถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่  15 ก.พ. ในประเด็นรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะมีผลต่อท่าทีของพรรคในสภาหรือไม่ นายอนุทินระบุว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งของรัฐบาล เป็นเพียงความเห็นที่ไม่ตรงกันของสองหน่วยงาน เป็นของเรื่องของการทำงาน ไม่เกี่ยวกับการเมือง เป็นความเห็นที่ต่างกันของสองกระทรวงที่ต้องไปหาจุดลงตัวกันให้ได้ ถ้าหาไม่ได้ประธานในที่ประชุมอาจลงมติ มติออกมาอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ยืนยันเป็นเรื่องของการทำงาน ไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมือง 

เมื่อถามว่าจะไม่ทิ้งเรือลำนี้ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “เคยบอกไว้แล้ว มาด้วยกันก็ไปด้วยกัน ช่วยกันทำงานไป เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” 

นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ยืนยันว่า เสถียรภาพของรัฐบาลไม่มีปัญหา ยังเดินหน้าไปได้ ส่วนเรื่องสภาล่มบ่อยนั้นก็เป็นหน้าที่ของ ส.ส.ที่ต้องช่วยกันรับผิดชอบในเรื่องของการประชุมสภา องค์ประชุมต้องช่วยกันดูแล ซึ่ง  ปชป.ก็มีการกำชับทุกครั้งที่มีการประชุมพรรค

สำหรับความเคลื่อนไหวในญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 ในวันที่ 17-18 ก.พ.นั้น

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่มีการตั้งวอร์รูมแต่อย่างใด เพราะการอภิปรายครั้งนี้สามารถอภิปรายเรื่องที่ไม่มีในญัตติได้ คล้ายกับการตั้งกระทู้ถามหมู่ ถาม ครม.ทั้ง 36 คน หากมีประเด็นที่เกี่ยวข้องตนเองต้องตอบอยู่แล้ว และทราบว่ามีเรื่องที่เกี่ยวกับตน คือเรื่องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น โดยได้เตรียมทำการบ้านเอาไว้แล้ว เพราะถ้าชี้แจงเฉยๆ คงไม่มีอะไร แต่ถ้าจะต้องการให้มีตัวเลข ข้อมูล ทุกคนต้องเตรียมตัวอยู่แล้ว เนื่องจากไม่เหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เจาะจงเป็นรายบุคคล

“คราวนี้อภิปรายได้อย่างกว้างขวาง ครอบคลุมได้หมด สามารถแยกออกมาได้ประมาณ 10 ประเด็น โดยจะรายงานให้ที่ประชุม ครม.ทราบในวันที่ 15 ก.พ. แต่ไม่ได้จำกัดเคร่งครัดว่ามีแค่ 10 ประเด็นเท่านั้น เพราะประเด็นที่ 11 เขายกอะไรมาได้ทั้งนั้น เปรียบเหมือนซักฟอก ครม.ทั้ง 36 คนทีเดียว แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่มีอะไร ผ่านการอภิปรายแบบนี้มาทุกรัฐบาลแล้ว รัฐบาลนี้เองก็เคยเจอมาแล้ว”

นายนิโรธ สุนทรเลขา ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคได้เตรียมการแล้ว โดยพรรค พปชร.ได้ให้ฝ่ายวิชาการและฝ่ายกฎหมายร่วมกันศึกษาว่ามีประเด็นใดบ้าง โดยเฉพาะ 4 ประเด็นใหญ่ของฝ่ายค้าน  ส่วนเรื่ององค์ประชุมนั้นในการอภิปรายวันที่ 17-18  ก.พ.นี้ องค์ประชุมจะไม่ล่ม และฝ่ายค้านไม่สามารถหักหน้านายกฯ เนื่องจากฝ่ายรัฐบาลจะเป็นองค์ประชุมให้ฝ่ายค้าน เพราะรัฐบาลมีวุฒิภาวะในการทำหน้าที่

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเรื่องนี้ว่า การอภิปรายในวันที่ 17-18 ก.พ.สามารถเสนอข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลได้ แต่ไม่ใช่เรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนที่มีความเป็นห่วงเรื่องบรรยากาศ รวมถึงคำพูดวิวาทะต่างๆ ในระหว่างการประชุมนั้น เรามีระเบียบข้อบังคับอยู่ ที่ผ่านมาเรื่องความร่วมมือการประชุมอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ เพราะเห็นได้ชัดจากกฎหมายรัฐบาลทุกฉบับสามารถผ่านการพิจารณาได้หมด ไม่มีค้างแม้แต่เรื่องเดียว ถือเป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม เพราะว่ากฎหมายเป็นเครื่องมือกลไกในการบริหาร

วันเดียวกัน มีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง  (กกต.) ซึ่งเป็นที่จับตาอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นคำร้องกรณีนายสมัย รามัญอุดม พร้อมพวก รวม 155 คน  ซึ่งอ้างตัวเป็นสมาชิกพรรค พปชร.ยื่นคำร้องต่อ กกต.ว่า มติขับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พร้อมพวกรวม 21 คนไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคำร้องที่นายศรีสุวรรณ จรรยา  เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือขอให้ กกต.ตรวจสอบมติพรรค พปชร.กรณีขับ  21 ส.ส.ออกจากพรรคว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่  โดยก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาพิจารณา  แต่ในที่สุดก็ไม่มี โดยยังต้องติดตามต่อไปเพราะ กกต.ยังมีการประชุมอีกครั้งในวันอังคารที่ 15 ก.พ.ว่าจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาหรือไม่ และจะมีมติอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อก่อนวันที่ 18 ก.พ.ซึ่งจะครบกรอบเวลา  30 วันที่กลุ่ม 21 ส.ส.ต้องหาพรรคใหม่สังกัดหลังจากถูกขับพ้นพรรค พปชร.

ชงเลื่อนวินิจฉัย 21 ส.ส.

แหล่งข่าว กกต.กล่าวถึงกรอบเวลาการพิจารณาเรื่องนี้ว่า กฎหมายพรรคการเมืองไม่ได้กำหนดกรอบเวลาชัดเจนว่า กกต.ต้องตอบรับการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค หรือแจ้งรับทราบมติการขับสมาชิกพรรค ภายในกี่วัน โดยกฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบัน เมื่อพรรคมีมติก็จะถือว่ามีผลทางกฎหมายทันที แตกต่างกับกฎหมายพรรคการเมืองในอดีตที่แม้พรรคการเมืองมีมติ  แต่ต้องรอการตอบรับจากนายทะเบียนพรรคการเมืองจึงจะมีผลทางกฎหมาย ดังนั้นกรณีนี้เมื่อพรรคมีมติขับ 21  ส.ส. ผลทางกฎหมายเกิดขึ้นทันที โดย 21 ส.ส.ต้องหาพรรคการเมืองใหม่สังกัดภายใน 30 วัน แต่ต่อมานายทะเบียนพรรคการเมืองหรือ กกต.เห็นว่ามติขับไม่ถูกต้องและสั่งเพิกถอน ก็เท่ากับว่า 21 ส.ส.ยังคงเป็นสมาชิกพรรค พปชร.เช่นเดิม ไม่ได้ขาดสมาชิกภาพแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน นายสนธิญา สวัสดี ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน  สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนายสมัยได้เข้ายื่นคำร้องต่อ  กกต.ขอให้ชะลอการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องดังกล่าว เนื่องจากได้ยื่นคำร้องเพิ่มเติมอีก 11 ประเด็น จึงต้องการให้  กกต.พิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ

โดยนายสนธิญากล่าวว่า หลังจากที่นายสมัยพร้อมกับสมาชิกพรรค พปชร. 155 คนได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. ต่อมามีกระแสข่าวว่า กกต.ตรวจสอบจำนวนผู้ยื่นคำร้องแล้ว พบว่าในจำนวนดังกล่าวมีชื่อเป็นสมาชิกพรรค พปชร.เพียง 99 คน อีก 56 ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค วันนี้นายสุรเดช กองรัตน์ ประธานสาขาพรรค พปชร. จ.ปทุมธานี  และเป็นผู้รวบรวมรายชื่อทั้งหมดจึงต้องการมาตรวจสอบว่าเหตุใด กกต.จึงบอกว่า 56 คนไม่มีชื่อเป็นสมาชิกพรรค ทั้งที่คนเหล่านี้สมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร.มาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 โดยทั้ง 155 คนเป็นสมาชิกที่เป็นผู้ก่อตั้งพรรค 

“สมาชิกพรรคที่ยื่นตรวจสอบลำดับที่ 100-155  จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค พปชร.ได้อย่างไร ในเมื่อคนเหล่านี้มีชื่ออยู่ในลำดับสมาชิกที่ 51, 52 ซึ่งเป็นหนึ่งใน 500 ผู้ก่อตั้งพรรค จึงต้องมาร้อง กกต.ขอให้ชะลอการพิจารณาคำร้องของนายสมัย เพื่อให้ตรวจสอบจำนวนสมาชิกใหม่ทั้ง 155 คนให้ถูกต้องก่อน ว่าเหตุใดบางคนเป็นสมาชิก แต่อีกคนซึ่งมีเลขสมาชิกใกล้กันกลับไม่มีชื่อเป็นสมาชิก เพราะถ้า กกต.พิจารณาเลยก็อาจทำให้คำร้องนี้ตกไป เพราะ กกต.จะถือว่าสมาชิกที่ยื่นประกอบคำร้องไม่ถึง 100 คน” นายสนธิญากล่าว

ด้านนายสุรเดชยืนยันว่า ในการเลือกตั้งเมื่อปี  2562 พื้นที่ จ.ปทุมธานี พรรค พปชร.มีการส่งผู้สมัคร  โดยสมาชิกทั้ง 56 คนที่วันนี้ กกต.บอกว่าไม่มีชื่อเป็นสมาชิกล้วนเป็นหนึ่งในสมาชิกจำนวน 100 คน ที่ทำให้พรรคตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดได้ และทำไพรมารีโหวตส่งผู้สมัคร ซึ่งนายสมัยก็เป็นหนึ่งในผู้สมัครส.ส. โดยได้คะแนนถึงกว่า 2 หมื่นคะแนน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค หรือถ้า กกต.จะบอกว่ามีการลาออกของสมาชิก ถ้าลาออกจริง  กกต.ประจำจังหวัดก็ต้องแจ้งให้ตนเองทราบ แต่ล่าสุดยังได้รับการยืนยันจาก กกต.จังหวัดว่ายังเป็นตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดอยู่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ฟ้องต้นตอหมอคางดำ

สภาทนายความฯ เตรียมฟ้องแพ่งบิ๊กเอกชน-หน่วยงานรัฐ ต้นตอ "เอเลี่ยนสปีชีส์"

‘เนวิน’รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดมิวสิคัลเทิดพระเกียรติ

“เนวิน” รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา แสดง แสง สี เสียง มิวสิคัล “ลมหายใจของแผ่นดิน” โดยบุรีรัมย์ออร์เคสตรา แสดงความจงรักภักดี 28-30 ก.ค.2567 สนามช้างอารีนา บุรีรัมย์